ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสเป็นสินสมรส

ทนายความ ฟ้องหย่า lawyer

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2563

โจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านเล็กๆ มีแต่หลังคาแต่ไม่มีฝาบ้านในระหว่างสมรส และใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ ในการก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว แม้เป็นการก่อสร้างในระหว่างที่โจทก์เป็นสามีภริยากันก็จะถือว่าบ้านเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรสหาไม่ได้ แต่บ้านดังกล่าวเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่สามีออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้

เงินบำนาญได้มาในระหว่างสมรสย่อมถือว่าเงินบำนาญนั้นเป็นสินสมรส

เงินบำนาญเป็นเงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ข้าราชการผู้ที่พ้นจากราชการแล้วตามกฎหมายเมื่อมีคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นการได้เงินมาในระหว่างสมรส ย่อมถือว่าเงินบำนาญนั้นเป็นสินสมรส เมื่อนำเงินนั้นมาซื้อที่ดินและต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินในระหว่างสมรส ที่ดินและบ้านจึงเป็นสินสมรส จำเลยที่ 1 (สามี) ขายที่ดินพร้อมบ้านสินสมรสให้จำเลยที่ 2โดยโจทก์คู่สมรสไม่ได้ให้ความยินยอมโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2765/2537 

เงินบำนาญเป็นเงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ข้าราชการผู้ที่พ้นจากราชการแล้วตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการเมื่อข้าราชการผู้นั้นมีคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่จึงเป็นการได้เงินมาในระหว่างสมรส ย่อมถือว่าเงินบำนาญนั้นเป็นสินสมรส เมื่อนำเงินนั้นมาซื้อที่ดินและต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินในระหว่างสมรส ที่ดินและบ้านจึงเป็นสินสมรสตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1474(1) จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมบ้านสินสมรสให้จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสไม่ได้ให้ความยินยอม ราคาที่ขายเป็นราคาถูกมาก และตามพฤติการณ์จำเลยที่ 2 ต้องทราบว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์เป็นสามีภริยากัน จำเลยที่ 2 จึงรับโอนที่ดินพร้อมบ้านโดยไม่สุจริต โจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1480 วรรคสอง

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันมีที่ดินเป็นสินสมรส 1 แปลงตามโฉนดเลขที่ 7934 พร้อมบ้านซึ่งปลูกในที่ดินนั้น จำเลยที่ 1 ขายที่ดินและบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2โดยมิได้รับความยินยอมจากโจทก์ โดยจำเลยทั้งสองทราบดีว่าทรัพย์สินดังกล่าวเป็นสินสมรส นิติกรรมการขายกระทำโดยไม่สุจริต ขอให้เพิกถอนสัญญาซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ระหว่างจำเลยที่ 1 ผู้ขายกับจำเลยที่ 2 ผู้ซื้อดังกล่าวโดยให้ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างกลับคืนสู่สภาพเดิมก่อนการโอน

จำเลยทั้งสองให้การทำนองเดียวกันว่า ที่ดินตามฟ้องไม่ใช่สินสมรสเพราะจำเลยที่ 1 ใช้เงินบำนาญซื้อมาและจำเลยที่ 1ได้กู้เงินจำเลยที่ 2 มาใช้ในการสร้างบ้าน จำเลยที่ 1 มีสิทธิขายที่ดินตามฟ้อง จำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพร้อมบ้านโดยสุจริตขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในที่ดินโฉนดเลขที่ 7934 เล่ม 80 หน้า 34เลขที่ดิน 121 หน้าสำรวจ 952 ตำบลศิลาดาน อำเภอมโนรมย์จังหวัดชัยนาท ระหว่างจำเลยที่ 1 กับจำเลยที่ 2 ฉบับลงวันที่13 มกราคม 2530 ให้อยู่ในสภาพเดิมก่อนการโอน

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ถึงแก่กรรม จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกของจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทนศาลอุทธรณ์อนุญาต

จำเลยทั้งสองฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความนำสืบและไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีกาฟังได้ในเบื้องต้นว่าเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2511 จำเลยที่ 1 กับโจทก์ได้จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยากัน ต่อมาในปี 2518 จำเลยที่ 1 ได้ลาออกจากราชการครูไปบวชเป็นพระภิกษุ เมื่อวันที่ 19 มกราคม 2526 จำเลยที่ 1 ได้ซื้อที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ จากนางอู่ เกษสาคร ซึ่งได้แบ่งขายจากโฉนดที่ดินเดิม ตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาแบ่งขายที่ดินเอกสารหมาย ล.1 และต่อมาที่ดินแปลงดังกล่าวได้ออกโฉนดที่ดินใหม่เป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 7934 ตามภาพถ่ายเอกสารหมาย จ. 2 ในปี 2528 จำเลยที่ 1ได้ปลูกสร้างบ้านเลขที่ 57/1 ลงในที่ดินนั้น โดยเอาเงินบำนาญที่สะสมไว้ไปซื้อที่ดินและก่อสร้างบ้าน จำเลยที่ 1 สึกในปี 2529 ต่อมาวันที่ 13 มกราคม 2530 ก่อนจำเลยที่ 1 ฟ้องหย่าโจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ขายที่ดินพร้อมบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 ในราคา 20,000 บาท ตามภาพถ่ายหนังสือสัญญาขายที่ดินเอกสารหมาย จ.3 หรือ ล.3 โดยโจทก์ไม่ทราบ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยทั้งสองข้อแรกมีว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 7934 พร้อมบ้านบนที่ดินเป็นสินสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์หรือไม่ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเดิมจำเลยที่ 1 รับราชการเป็นครูต่อมาได้ลาออกจากราชการ ซึ่งจำเลยที่ 2 เบิกความว่า จำเลยที่ 1 ได้รับบำนาญจากทางราชการและได้เอาเงินบำนาญมาซื้อที่ดินจากนางอู่ และต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านในที่ดินนั้นจำเลยทั้งสองฎีกาว่า เงินบำนาญเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 เอาเงินบำนาญมาซื้อที่ดินและก่อสร้างบ้านในที่ดิน บ้านพร้อมที่ดินจึงเป็นสินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 มิใช่สินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น เห็นว่า เงินบำนาญเป็นเงินที่ทางราชการจ่ายให้แก่ข้าราชการผู้ที่พ้นจากราชการแล้วตามกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญข้าราชการ เมื่อข้าราชการผู้นั้นมีคู่สมรสที่ชอบด้วยกฎหมายยังมีชีวิตอยู่ จึงเป็นการได้เงินมาในระหว่างสมรสย่อมถือว่าเงินบำนาญนั้นเป็นสินสมรส ทั้งนี้ตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 2528/2522 ระหว่าง กระทรวงการคลัง โจทก์ นายหล บุนนาค จำเลย นางสวิงบุนนาค ผู้ร้อง ดังนั้นเงินบำนาญที่จำเลยที่ 1 ได้รับจากทางราชการจึงเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1 นำเงินนั้นมาซื้อที่ดินและต่อมาได้ปลูกสร้างบ้านซึ่งเป็นส่วนควบของที่ดินในระหว่างสมรส เช่นนี้ ที่ดินและบ้านจึงเป็นสินสมรสตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่มาตรา 1474(1) ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะนั้น หาใช่สินส่วนตัวของจำเลยที่ 1 ดังที่จำเลยทั้งสองฎีกาไม่

ปัญหาต่อมาตามฎีกาจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยที่ 2 ได้ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากจำเลยที่ 1 โดยสุจริตหรือไม่ โจทก์เบิกความว่าเมื่อจำเลยที่ 1 สึกแล้ว จำเลยที่ 2 มารับจำเลยที่ 1 ไปที่บ้านของตนและต่อมาจำเลยที่ 2 มาบอกให้โจทก์หย่าขาดจากจำเลยที่ 1 แต่โจทก์ไม่ยอม เพราะจำเลยที่ 1 ไม่ได้มาบอกกล่าวด้วยตนเองอีกทั้งโจทก์ไม่มีเรื่องโกรธเคืองกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 กลับเบิกความว่าไม่รู้จักโจทก์ เห็นว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันตั้งแต่ปี 2511 ในขณะที่จำเลยที่ 1 รับราชการเป็นครู ส่วนจำเลยที่ 2 ก็รับราชการเป็นครูจังหวัดเดียวกัน และเรียกจำเลยที่ 1 ว่าลุง เพราะมารดาจำเลยที่ 1 เป็นพี่สาวของยายจำเลยที่ 2 จำเลยที่ 2 จึงมีศักดิ์เป็นหลานของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 เบิกความตอบคำถามค้านของทนายโจทก์ว่า หลังจากจำเลยที่ 2 ซื้อที่ดินพร้อมบ้านจากจำเลยที่ 1 ไม่นาน จำเลยที่ 1 ได้ฟ้องขอหย่ากับโจทก์และในขณะที่จำเลยที่ 1 โอนขายที่ดินพร้อมบ้านให้จำเลยที่ 2 จำเลยที่ 1 มีอายุถึง 67 ปีแล้ว จำเลยที่ 1 ซึ่งเคยป่วยมาก่อนและอยู่ในวัยชราภาพอาจไม่มีผู้ดูแล จำเลยที่ 1 จึงมาอยู่ใกล้ชิดกับจำเลยที่ 2 การที่จำเลยที่ 1 ฟ้องขอหย่ากับโจทก์ จำเลยที่ 2 น่าจะมีส่วนรู้เห็นด้วย กรณีจึงเป็นไปไม่ได้ที่จำเลยที่ 2 จะไม่รู้จักโจทก์และไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 กับโจทก์จดทะเบียนสมรสเป็นสามีภริยากัน นอกจากนี้จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมบ้านให้จำเลยที่ 2 ในราคาเพียง 20,000 บาท ซึ่งเป็นราคาที่ถูกมาก เพราะจำเลยที่ 2 เบิกความว่า เฉพาะค่าปลูกสร้างบ้านต้องใช้เงิน 30,000-40,000 บาท ดังนั้นที่จำเลยที่ 1 ขายที่ดินพร้อมบ้านให้จำเลยที่ 2 คงประสงค์ให้มีการโอนกรรมสิทธิ์หลุดพ้นจากจำเลยที่ 1 โดยมิได้คำนึงถึงราคาที่แท้จริง เมื่อจำเลยที่ 1 โอนที่ดินพร้อมบ้านซึ่งเป็นสินสมรสให้จำเลยที่ 2 โดยโจทก์ซึ่งเป็นคู่สมรสไม่ได้ให้ความยินยอมและตามพฤติการณ์ชี้ให้เห็นว่าจำเลยที่ 2 รับโอนที่ดินพร้อมบ้านโดยไม่สุจริต โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้เพิกถอนนิติกรรมนั้นได้ตามบทบัญญัติบรรพ 5 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ได้ตรวจชำระใหม่มาตรา 1480 วรรคสองเดิม ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทั้งสองฟังไม่ขึ้น"

ทรัพย์ที่ก่อสร้างในระหว่างที่เป็นสามีภริยากันแต่ใช้เงินส่วนไม่ถือว่าบ้านเป็นทรัพย์สินที่ได้มาระหว่างสมรส

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 145/2563

โจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นบ้านเล็กๆ มีแต่หลังคาแต่ไม่มีฝาบ้านมาในระหว่างสมรส และใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ในการก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาทของโจทก์ แม้เป็นการก่อสร้างในระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันก็จะถือว่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มาระหว่างสมรสหาได้ไม่ บ้านพิพาทย่อมเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองและบริวารขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์ ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินและบ้านคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อย ห้ามจำเลยทั้งสองเกี่ยวข้องอีกต่อไป และให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 50,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะออกจากที่ดินและบ้านของโจทก์

จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองและบริวารออกจากที่ดินตามใบจอง (น.ส. 2) เล่มที่ 12 หน้า 94 สารบบเลขที่ 212 หมู่ที่ 2 ตำบลห้วงน้ำขาว อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด และบ้านเลขที่ 47/1 ตำบลห้วงน้ำขาว อำเภอเมืองตราด จังหวัดตราด ให้จำเลยทั้งสองส่งมอบที่ดินและบ้านพิพาทคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและห้ามเกี่ยวข้องอีกต่อไป ให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระค่าเสียหายเดือนละ 20,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 8 ธันวาคม 2559) เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองและบริวารจะขนย้ายทรัพย์สินออกจากที่ดินและบ้านพิพาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 30,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ

จำเลยทั้งสองอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า โจทก์ประกอบกิจการขายเสื้อผ้าสำเร็จรูป และกิจการให้เช่าพระเครื่อง พระบูชา ตั้งอยู่ที่ศูนย์การค้าเทศบาลเมืองตราด เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2556 โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินส่วนหนึ่งตามใบจอง เล่มที่ 12 หน้า 94 สารบบเลขที่ 212 เนื้อที่ 15 ไร่ พร้อมบ้าน จากนางธัญกมล ราคา 630,000 บาท ชำระเงินครบถ้วนและได้รับมอบการครอบครองที่ดินพร้อมบ้านในวันทำสัญญา เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2556 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกัน จำเลยที่ 2 เป็นบุตรของจำเลยที่ 1 กับภริยาคนก่อน โจทก์ฟ้องหย่าจำเลยที่ 1 ต่อศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดตราด คดีถึงที่สุดโดยศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ให้ยกฟ้องโจทก์ คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทด้วยเงินส่วนตัวของโจทก์ ที่ดินพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์โดยแท้ จำเลยทั้งสองมิได้ฎีกาโต้แย้ง ปัญหาดังกล่าวจึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้หรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานเบิกความว่า ที่ดินพิพาทที่ซื้อจากนางธัญกมลมีบ้านหลังเล็ก ๆ เลขที่ 47/1 ซึ่งมีแต่หลังคาและพื้นบ้านกว้างประมาณ 4 เมตร ยาวประมาณ 6 เมตร แต่ไม่มีฝาบ้าน เมื่อเดือนสิงหาคม 2556 พยานมอบหมายให้จำเลยที่ 1 ไปติดต่อว่าจ้างนายธงชัย ผู้รับเหมาให้มาก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาท เป็นค่าแรง 190,000 บาท และค่าวัสดุก่อสร้าง 700,000 บาท บ้านสร้างเสร็จเดือนกันยายน 2556 ส่วนโรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำสร้างเสร็จเดือนมกราคม 2557 พยานเป็นผู้ชำระเงินทั้งหมดให้แก่นายธงชัย โดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) และมีนายธงชัย เป็นพยานเบิกความสนับสนุนว่า โจทก์ให้จำเลยที่ 1 ติดต่อว่าจ้างพยานไปก่อสร้างบ้านในที่ดินพิพาท พยานคิดค่าแรง 70,000 บาท สร้างเสร็จประมาณวันที่ 27 กันยายน 2556 และเดือนธันวาคม 2556 พยานได้สร้างโรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำให้โจทก์ ค่าแรง 120,000 บาท สร้างเสร็จเดือนมกราคม 2557 พยานได้รับเงินค่าจ้างทั้งหมดจากโจทก์สอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ที่ยืนยันว่าโจทก์เป็นผู้ซื้อวัสดุก่อสร้างและชำระเงินค่าจ้างก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำทั้งหมดให้แก่นายธงชัย โดยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบัญชีเงินฝากส่วนตัวของโจทก์ ทั้งจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านรับว่า เงินที่นำมาซื้อที่ดินพิพาทและก่อสร้างบ้านเป็นเงินจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ซึ่งเปิดไว้ก่อนที่โจทก์จะมาอยู่กินฉันสามีภริยากับจำเลยที่ 1 และโจทก์เป็นผู้มีสิทธิเบิกถอนเงินจากบัญชีดังกล่าวเพียงผู้เดียว แสดงว่านอกจากโจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ที่มีมาก่อนจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ซื้อที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ยังใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำด้วย จำเลยทั้งสองคงมีแต่คำเบิกความของจำเลยที่ 1 เพียงลอย ๆ ว่า เงินในบัญชีเงินฝากของโจทก์ดังกล่าวเป็นเงินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ทำมาหาได้ร่วมกัน โดยจำเลยทั้งสองไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุน จึงรับฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้ชำระค่าถมดิน ปลูกบ้าน สร้างคอกวัว และทำคันรอบบ่อเลี้ยงปลาเป็นเงินกว่า 3,000,000 บาท ดังที่จำเลยทั้งสองให้การต่อสู้ ยิ่งกว่านั้นยังได้ความจากจำเลยที่ 1 เบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านอีกว่า ก่อนอยู่กินฉันสามีภริยากับโจทก์ จำเลยที่ 1 เป็นหนี้ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 100,000 กว่าบาท เป็นหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและคำพิพากษาตามยอมในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 59/2556 ของศาลชั้นต้น 400,000 บาท และเป็นหนี้อื่น ๆ อีกประมาณ 800,000 บาท รวมเป็นหนี้กว่า 1,300,000 บาท จึงไม่น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 1 จะมีฐานะการเงินพอที่จะปลูกสร้างบ้านพิพาทได้ โจทก์มีพยานบุคคลและพยานเอกสารประกอบด้วยเหตุผลมีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าโจทก์ใช้เงินสินส่วนตัวของโจทก์ก่อสร้างบ้าน โรงจอดรถ คอกวัว และศาลาริมน้ำในที่ดินพิพาทของโจทก์ แม้เป็นการก่อสร้างในระหว่างที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยากันก็จะถือว่าบ้านพิพาทเป็นทรัพย์สินที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 ได้มาระหว่างสมรสหาได้ไม่ บ้านพิพาทย่อมเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยทั้งสองออกจากบ้านพิพาทและเรียกค่าเสียหายได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น

พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์และฎีกาให้เป็นพับ




สินสมรส

บันทึกท้ายทะเบียนการหย่าเรื่องแบ่งสินสมรส, การแบ่งสินสมรสในการหย่า, ส่วนควบ
ข้อตกลงตามบันทึกท้ายทะเบียนหย่าให้คู่หย่าฝ่ายชายจัดการสินสมรสและภาระหนี้สิน
ภริยายินยอมให้ใส่ชื่อสามีฝ่ายเดียวในที่ดินสินสมรสเป็นการให้ความยินยอมไว้ล่วงหน้า
ฟ้องหย่าแบ่งสินสมรสคดีอยู่ระหว่างพิจารณา-สามีตาย
สามีโจทก์ได้สมยอมแกล้งเป็นหนี้พี่สาวแล้วทำสัญญายอมความยึดสินสมรส
ทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้ประกอบอาชีพเพียงอย่างเดียวเป็นสินสมรส
ข้อตกลงเรื่องการหย่าและข้อตกลงเรื่องการแบ่งทรัพย์สิน(สินสมรส)
ฟ้องแบ่งที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างสินสมรสระหว่างคนไทยและคนต่างด้าว
ที่ดินพิพาทเป็นสินสมรสมีชื่อภรรยาเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์คนเดียว
ขณะทำพินัยกรรมจดทะเบียนหย่ากันแล้วพินัยกรรมไม่เป็นโมฆะ
จัดการสินสมรสเป็นที่เสียหายถึงขนาด-เหตุแยกสินสมรส