![](https://www.peesirilaw.com/images/column_1718776501/lawyer-under-800-129.jpg)
![](/images_profiles/heading2.jpg)
จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหาย
มีเหตุอันสมควรเข้าไปในบ้านผู้เสียหายไม่มีเจตนาบุกรุก คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6506/2542
จำเลยเข้าไปบ้านของผู้เสียหายที่ 1 เพราะต้องการจะไปหา ส. ซึ่งเป็นภริยาและบุตรของจำเลยซึ่งเพิ่งคลอดจาก ส. แม้ ม. จะห้ามไม่ให้เข้าบ้านโดยอ้างว่า ส. ไม่อยู่จำเลยก็ไม่ยอมฟังเพราะจำเลยไม่เชื่อว่า ส. จะไม่อยู่ในบ้านดังกล่าวการที่จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 จึงมีเหตุอันสมควรเพื่อต้องการไปหาภริยาและบุตรของจำเลย จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุก โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเข้าไปในบ้านอันเป็นอสังหาริมทรัพย์และเคหสถานของนางมยุรี ผู้เสียหายที่ 1 โดยไม่มีเหตุอันสมควร และใช้ท่อนเหล็กยาวประมาณ 1 ฟุต จำนวน 1 อัน เหวี่ยงฟาดทำร้ายบุคคลและทรัพย์สินภายในบ้านจนท่อนเหล็กถูกนายพลชัย ผู้เสียหายที่ 2 บริเวณศรีษะและลำคอได้รับอันตรายแก่กาย อันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของผู้เสียหายโดยปกติสุข ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 362, 364, 365 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 365(1) ประกอบด้วยมาตรา 362 และ 364,391 กรณีเป็นการกระทำกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 365(1) ประกอบด้วย มาตรา 362 และ 364 ซึ่งเป็นบทหนักตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 1 ปี และปรับ 6,000 บาท ข้อนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้างมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือนและปรับ 4,000 บาท จำเลยเคยอยู่กินฉันสามีภริยากับบุตรของผู้เสียหายที่ 1 มาก่อนเหตุที่จำเลยบุกรุกเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 ก็เพื่อต้องการจะพบภริยาและบุตร ตามพฤติการณ์ในการกระทำความผิดของจำเลยไม่ร้ายแรงนักประกอบกับจำเลยมีอาชีพเป็นหลักแหล่ง และไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน จึงสมควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดีสักครั้งหนึ่งโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยโดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติรวม 3 ครั้ง ตามที่พนักงานคุมประพฤติกำหนดภายในกำหนดเวลา 1 ปี หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ฐานทำร้ายร่างกายไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กาย ให้ปรับ 500 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29, 30 ข้อหาอื่นให้ยก โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุ จำเลยได้เข้าไปในบ้านผู้เสียหายที่ 1 และจำเลยได้ชกต่อยทำร้ายร่างกายกันกับผู้เสียหายที่ 2 เป็นเหตุให้จำเลยและผู้เสียหายที่ 2 ต่างได้รับบาดเจ็บความผิดฐานทำร้ายร่างกายโจทก์ และจำเลยไม่ได้ฎีกาคดีจึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยได้กระทำความผิดฐานบุกรุกหรือไม่โจทก์มีนางมยุรี ชัยยศมานนท์ ผู้เสียหายที่ 1 เบิกความเป็นพยานว่า ในวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 17 นาฬิกา ขณะที่พยานกับผู้เสียหายที่ 2 และนายมาฆะ สาตะนิมิ ทนายความกำลังคุยอยู่ในห้องทำงานภายในบ้าน ขณะนั้นนางสมลักษณ์บุตรสาวของพยานและนางอังคณาหลานของพยานอยู่บริเวณหน้าบ้าน ระหว่างที่พยานนั่งคุยนั้นได้ยินเสียงนางสมลักษณ์และนางอังคณาห้ามไม่ให้คนเข้ามาในบ้าน ขณะนั้นพยานไม่ทราบว่าใคร พยานให้ผู้เสียหายที่ 2 ออกไปดู สักครู่ก็ได้ยินเสียงโต้เถียงกันต่อมาประมาณ 10 นาที นายมาฆะได้ตามออกไปดูและพยานได้ตามออกไปดูด้วยเห็นผู้เสียหายที่ 2 นายมาฆะ นางสมลักษณ์ นางอังคณา ยืนคุยกันอยู่ภายในบ้าน พยานได้สอบถามผู้เสียหายที่ 2 จึงทราบว่าจำเลยบุกรุกเข้ามาในบ้านและได้กลับไปแล้วผู้เสียหายที่ 1 เบิกความตอบคำถามค้านว่า เมื่อแต่งงานกันแล้วนางสมใจได้แยกไปพักอาศัยอยู่กับจำเลยที่บ้านอีกหลังหนึ่งแต่ยังไปมาหาสู่ที่บ้านพยาน และจำเลยเคยมานอนค้างที่บ้านพยาน นางสมใจคลอดบุตรที่โรงพยาบาลแล้ว จำเลยก็รับไปอยู่สถานพักฟื้นประมาณ 1 เดือนหลังจากนั้นก็พากันไปอยู่ที่บ้านของจำเลยใกล้กับบ้านของพยานขณะเกิดเหตุคดีนี้บุตรของนางสมใจอายุเพียง 1 เดือนเศษเมื่อออกจากสถานพักฟื้นแล้วนางสมใจพักอยู่กับจำเลยประมาณ 2 เดือน หลังจากนั้นจึงเลิกอยู่กินกันโดยนางสมใจ มาพักอยู่กับพยาน ทุกวันนี้นางสมใจก็ยังพักอยู่กับพยาน ระหว่างพักอยู่กับพยาน พยานไม่ทราบว่านางสมใจจะไปมาหาสู่กับจำเลยบ้างหรือไม่ หลังจากนางสมใจกลับมาอยู่กับพยานแล้ว พยานไม่ได้พูดห้ามจำเลยโดยตรงว่าอย่าเข้ามาในบ้านเพียงแต่พูดฝากไว้กับลูก ๆ ให้ช่วยบอกจำเลยและขณะเกิดเหตุคดีนี้นางสมใจยังพักอยู่กับจำเลยไม่ได้แยกมาอยู่กับพยาน พยานโจทก์ปากนี้เบิกความตอบคำถามติงว่า ขณะเกิดเหตุนั้นนางสมใจยังไม่ได้เลิกอยู่กินกับจำเลย นางสมลักษณ์ จิรอนุพงศ์ พยานโจทก์เบิกความว่าในวันเกิดเหตุจำเลยได้เข้ามาในบ้าน พยานได้ห้ามไม่ให้จำเลยเข้าบ้าน จำเลยบอกว่าจะมาหานางสมใจ พยานได้บอกว่านางสมใจไม่อยู่ แต่จำเลยไม่เชื่อ และพยายามจะดันเข้ามาในบ้าน เมื่อพยานผลักไม่ให้จำเลยเข้าบ้านจำเลยได้เงื้อมือที่ถือเหล็กเส้นขึ้นขณะนั้นผู้เสียหายที่ 2 ได้เข้ามาห้าม โดยเข้ามาขวางระหว่างพยานกับจำเลยและได้เกิดต่อสู้กันขึ้น ต่อมาผู้เสียหายที่ 1 และนายมาฆะ ออกมาจากห้องด้านใน เมื่อจำเลยเห็นก็ได้วิ่งหนีไป จากคำเบิกความของพยานโจทก์แสดงว่าการที่จำเลยเข้าไปบ้านของผู้เสียหายที่ 1 นั้น เพราะจำเลยต้องการจะไปหานางสมใจซึ่งเป็นภรรยาและบุตรของจำเลยซึ่งเพิ่งคลอดกับนางสมใจ แม้นางสมลักษณ์จะห้ามไม่ให้เข้าบ้านโดยอ้างว่านางสมใจไม่อยู่ จำเลยก็ไม่ยอมฟังเพราะจำเลยไม่เชื่อว่านางสมใจจะไม่อยู่ในบ้านดังกล่าว การที่จำเลยเข้าไปในบ้านของผู้เสียหายที่ 1 จึงมีเหตุอันสมควรเพื่อต้องการไปหาภรรยาและบุตรของจำเลย จำเลยไม่มีเจตนาบุกรุก ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้นชอบด้วยเหตุผลแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น" พิพากษายืน การช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกัน การช่วยเหลือหมายถึง การช่วยปฏิบัติหน้าที่ในครอบครัวเพื่อให้ครอบครัวดำรงคงอยู่ได้ด้วยความผาสุก เช่น ดูแลบ้านเรือน ดูแลบุตร การอุปการะเลี้ยงดูหมายถึงการให้สิ่งจำเป็นแก่การดำรงชีพ ไม่ว่าจะเป็นการให้เงินทองเครื่องอุปโภคหรือทรัพย์สินอื่นใดเพื่อเป็นปัจจัยในการดำรงชีพ ตามปกติประเพณีถือว่าสามีเป็นฝ่ายมีหน้าที่หาเลี้ยงครอบครัว ส่วนภริยารับผิดชอบในการจัดการบ้านเรือน แต่ถ้าสามีไม่สามารถประกอบอาชีพเล้ยงดูภริยาได้ ภริยาอาจจะต้องเป็นฝ่ายอุปการะเลี้ยงดูสามีก็ได้ ในการพิจารณาถึงการอุปการะเลี้ยงดูนี้น่าจะต้องคำนึงถึง อายุ สุขภาพ รายได้ และทรัพย์สินของคู่สมรส ฐานะทางสังคม ภาระหน้าที่ของคู่สมรสในการให้ความอุปการะเลี้ยงดูบุตร รวมทั้งความสามารถทั้งทางร่างกายและจิตใจของคู่สมรสในการประกอบกิจการงานด้วย ฉะนั้นอาหารและเครื่องนุ่งห่มบางอย่างที่เป็นของฟุ่มเฟือยสำหรับภริยาคนธรรมดา แต่อาจจะเป็นของจำเป็นสำหรับภริยาเศรษฐีก็ได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูนั้นให้ชำระเป็นเงินโดยวิธีชำระเป็นครั้งคราวตามกำหนด เว้นแต่จะมีการตกลงกันให้ชำระเป็นอย่างอื่น หรือโดยวิธีอื่น สืทธิที่จะได้ค่าอุปการะเลี้ยงดูนี้จะสละหรือโอนมิได้ และไม่อยู่ในข่ายแห่งการบังคับคดี ทั้งนี้ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1598/41 หากสามีภริยาทะเลาะกันแล้วทำสัญญาแยกกันอยู่ต่างหากโดยภริยาระบุว่าไม่เรียกร้องเงินทองหรือทรัพย์สินที่มีต่อกันแต่อย่างใดทั้งสิ้นนั้น ภริยาก็ยังมีสิทธิฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามีได้ เพราะการสละสิทธิที่จะได้รับค่าอุปการะเลี้ยงดูจากสามีนี้ไม่มีผลบับคับ การที่บุคคลภายนอกมา กระทำละเมิดทำให้สามีหรือภริยาได้รับบาดเจ็บหรือถึงแก่ความตาย ภริยาหรือสามีอีกฝ่ายหนึงย่อมถูกกระทบกระเทือนสิทธิในการรับความช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดู จึงมีสิทธิได้รับค่าสินไหมทดแทนจากผู้กระทำละเมิดในค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดแรงงาน และค่าสินไหมทดแทนเพื่อการขาดไร้อุปการะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 445 และมาตรา 443 |
![]() ![]() ![]() ![]() |