
| คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5055/2567: การเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยายและสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคา
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยปริยาย เมื่อคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายยินยอมเลิกสัญญาโดยไม่มีการโต้แย้ง ทำให้ไม่สามารถเรียกค่าขาดราคาตามสัญญาได้ แต่ยังมีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคาของรถยนต์เช่าซื้อเพื่อให้คู่สัญญากลับคืนสู่ฐานะใกล้เคียงเดิมตามมาตรา 391 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พร้อมวิเคราะห์ถึงขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกันตามมาตรา 686
สรุปข้อเท็จจริง • วันที่ทำสัญญา: 20 พฤศจิกายน 2561 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ มูลค่า 1,598,688 บาท ชำระ 72 งวด • ผู้ค้ำประกัน: จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน • การชำระ: จำเลยที่ 1 ชำระเพียง 18 งวด เป็นเงิน 399,672 บาท ผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 19 (3 กรกฎาคม 2563) • การยึดคืน: โจทก์กลับเข้าครอบครองรถวันที่ 24 กันยายน 2563 และขายทอดตลาดได้ 830,000 บาท • ข้อเรียกร้อง: โจทก์ฟ้องเรียก 409,216 บาท พร้อมดอกเบี้ย อ้างค่าขาดราคาและความเสียหาย • คำพิพากษาศาลชั้นต้น: ให้จำเลยที่ 1 ชำระ 15,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี และผู้ค้ำรับผิดแทนหากไม่ชำระ • ศาลอุทธรณ์ภาค 4: ปรับให้ผู้ค้ำรับผิดเพียง 10,000 บาท ไม่รวมดอกเบี้ย • ศาลฎีกา: วินิจฉัยว่าการคืนรถเป็นการเลิกสัญญาโดยปริยาย โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามสัญญา แต่มีสิทธิเรียกค่าเสื่อมราคา 30,000 บาท รวมเป็น 45,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. การเลิกสัญญาโดยปริยาย: คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ทำให้สิทธิหน้าที่ตามสัญญาสิ้นสุด 2. การใช้กฎหมายเทียบเคียง: ไม่มีบทกฎหมายเฉพาะ จึงอ้างอิงมาตรา 391 วรรคหนึ่ง ป.พ.พ. ตามมาตรา 4 3. สิทธิเรียกค่าเสื่อมราคา: เนื่องจากรถเสื่อมสภาพตามเวลาและการใช้งาน ผู้เช่าซื้อต้องชดใช้ค่าเสื่อมราคาให้เจ้าของ 4. ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน: ตามมาตรา 686 วรรคสอง ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิดค่าเสื่อมราคาที่เกิดหลังการเลิกสัญญา รับผิดเพียงค่าขาดประโยชน์ที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • มาตรา 391 ป.พ.พ.: ใช้บังคับเมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งเลิกสัญญา ต้องคืนสู่ฐานะเดิม • หลักการเลิกสัญญาโดยปริยาย: แม้ไม่มีการบอกเลิกอย่างเป็นทางการ แต่พฤติการณ์ยอมรับการคืนทรัพย์เป็นการเลิกสัญญา • ผลทางกฎหมาย: ไม่สามารถใช้ข้อสัญญาเรียกค่าขาดราคา แต่สามารถเรียกค่าเสื่อมราคาเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม • ข้อจำกัดของผู้ค้ำประกัน: ผู้ค้ำไม่รับผิดในหนี้ที่เกิดหลังจากการเลิกสัญญา
IRAC Issue (ประเด็น) โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามสัญญาเช่าซื้อหลังจากเลิกสัญญาโดยปริยายหรือไม่ และผู้ค้ำต้องรับผิดเพียงใด Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง (การคืนสู่ฐานะเดิมเมื่อเลิกสัญญา) • ป.พ.พ. มาตรา 4 (การใช้กฎหมายเทียบเคียง) • ป.พ.พ. มาตรา 686 วรรคสอง (ขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน) • ป.พ.พ. มาตรา 224 (ดอกเบี้ยผิดนัด) Application (การปรับใช้) เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 คืนรถโดยไม่มีการโต้แย้ง ถือว่าเลิกสัญญาโดยปริยาย ทำให้สิทธิตามสัญญาสิ้นสุด โจทก์จึงไม่สามารถเรียกค่าขาดราคาตามสัญญาได้ แต่เนื่องจากรถเสื่อมสภาพ จำเลยที่ 1 ต้องชดใช้ค่าเสื่อมราคา 30,000 บาท รวมกับค่าขาดประโยชน์ 15,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดในส่วนค่าเสื่อมราคาเพราะเกิดหลังการเลิกสัญญา Conclusion (ข้อสรุป) ศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระ 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี ส่วนจำเลยที่ 2 รับผิดเพียง 10,000 บาท
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การเลิกสัญญาโดยปริยายสามารถเกิดขึ้นได้จากพฤติการณ์ของคู่สัญญา • เมื่อเลิกสัญญา สิทธิตามสัญญาสิ้นสุด แต่ยังคงมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดจากการใช้ทรัพย์ • ผู้ค้ำประกันมีขอบเขตความรับผิดจำกัดตามเวลาที่หนี้เกิดขึ้น
สรุปภาษาอังกฤษ The Supreme Court Judgment No. 5055/2567 concerns the implied termination of a hire-purchase agreement. When both parties voluntarily ended the contract without dispute, the lessor could not claim the price difference under the agreement. However, the lessor was entitled to depreciation costs under Section 391 of the Civil and Commercial Code. The guarantor was not liable for depreciation occurring after termination but remained liable for agreed loss of use.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5055/2567 โจทก์ติดตามยึดรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนในขณะที่สัญญาเช่าซื้อยังไม่เลิกกัน เมื่อไม่ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 โต้แย้งคัดค้านที่โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ พฤติการณ์ถือได้ว่าโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 14 จะระบุว่า "...หรือสัญญา สิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยกรณีอื่นใดก็ตาม และเจ้าของได้กลับเข้าครอบครองรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..." แต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย อันเป็นผลให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาต่อกันอีก โจทก์จึงไม่อาจอาศัยข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อเรียกร้องค่าขาดราคาจากจำเลยที่ 1 ได้
เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย แต่กรณีเช่นว่านี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงผลของการเลิกสัญญาที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเทียบเคียง ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติถึงการเลิกสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญา อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่งตาม ป.พ.พ. มาตรา 4 ดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ซึ่งเฉพาะการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์นั้น เนื่องจากรถยนต์เป็นทรัพย์ที่เสื่อมสภาพและเสื่อมราคาไปตามกาลเวลาและการใช้งาน การกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ในกรณีเช่นนี้เห็นได้อยู่ในตัวว่าไม่อาจทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้เหมือนดังเช่นขณะทำสัญญา ดังนั้น เพื่อให้โจทก็ได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ใกล้เคียงกับขณะทำสัญญาเท่าที่พอจะเป็นไปได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์ โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 ชำระเงิน 409,216 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 8.0562 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วนให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ดังกล่าวแทน จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 15,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 มีนาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้ดังกล่าวแก่โจทก์แทน กับให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนเท่าทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า หากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระหนี้ ให้จำเลยที่ 2 ชำระแทนเป็นเงิน 10,000 บาท โดยไม่ต้องรับผิดชำระดอกเบี้ย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ในราคา 1,598,688 บาท ผ่อนชำระเป็นงวด งวดละ 22,204 บาท รวม 72 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 3 มกราคม 2562 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 3 ของทุกเดือน โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกัน แต่จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 18 งวด เป็นเงิน 399,672 บาท โดยผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 19 ประจำวันที่ 3 กรกฎาคม 2563 เป็นต้นมา โจทก์บอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 ล่วงพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด โจทก์กลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2563 และนำออกประมูลขายได้ในราคา 830,000 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดในค่าขาดราคาหรือไม่ เพียงใด ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า แม้สัญญาเช่าซื้อข้อ 14 จะระบุว่า "...หรือสัญญาสิ้นสุดลงไม่ว่าด้วยกรณีอื่นใดก็ตาม และเจ้าของได้กลับเข้าครอบครองรถเป็นที่เรียบร้อยแล้ว..." แต่เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย อันเป็นผลให้คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายไม่มีสิทธิและหน้าที่ตามสัญญาต่อกันอีก โจทก์จึงไม่อาจอาศัยข้อตกลงตามสัญญาเช่าซื้อเรียกร้องค่าขาดราคาจากจำเลยที่ 1 ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาต่อกันโดยปริยาย โจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาอันเป็นค่าเสียหายตามข้อตกลงในสัญญาเช่าซื้อได้นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง เมื่อโจทก์และจำเลยที่ 1 ต่างสมัครใจเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อกันโดยปริยาย แต่กรณีเช่นว่านี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติถึงผลของการเลิกสัญญาที่จะยกมาปรับคดีได้ จึงต้องวินิจฉัยโดยอาศัยเทียบเคียงประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติถึงการเลิกสัญญาที่คู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิเลิกสัญญา อันเป็นบทกฎหมายที่ใกล้เคียงอย่างยิ่ง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 4 ดังนั้น โจทก์และจำเลยที่ 1 จำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิม ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ซึ่งเฉพาะการส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์นั้น เนื่องจากรถยนต์เป็นทรัพย์ที่เสื่อมสภาพและเสื่อมราคาไปตามกาลเวลาและการใช้งาน การกลับเข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อของโจทก์ในกรณีเช่นนี้เห็นได้อยู่ในตัวว่าไม่อาจทำให้โจทก์กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้เหมือนดังเช่นขณะทำสัญญา ดังนั้น เพื่อให้โจทก์ได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมได้ใกล้เคียงกับขณะทำสัญญาเท่าที่พอจะเป็นไปได้ จำเลยที่ 1 จึงต้องชดใช้ค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์ ในข้อนี้ แม้พยานหลักฐานของโจทก์จะไม่ได้ความชัดเจนว่า รถยนต์ที่เช่าซื้อเสื่อมราคาไปเพียงใด แต่ปรากฏตามสัญญาเช่าซื้อว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อเป็นรถใหม่ มีราคาเงินสดไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 1,299,532.71 บาท หักเงินดาวน์ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 13,103.74 บาท คงเหลือราคาเงินสดเป็นเงิน 1,286,428.97 บาท จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มมาแล้ว 373,525.20 บาท โดยครอบครองใช้สอยรถยนต์ที่เช่าซื้อรวมแล้วประมาณ 1 ปี 10 เดือน และปรากฏตามใบตรวจเช็คสภาพรถยนต์ว่ามีการใช้งานเป็นระยะทาง 32,299 กิโลเมตร จึงเห็นสมควรกำหนดค่าเสื่อมราคาของรถยนต์ที่เช่าซื้อให้แก่โจทก์เป็นเงิน 30,000 บาท และเมื่อค่าเสื่อมราคาที่กำหนดให้นี้เป็นหนี้เงิน โจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยผิดนัดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 ที่ใช้บังคับในขณะยื่นฟ้องและที่แก้ไขใหม่ตามลำดับ นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่เนื่องจากโจทก์ฎีกาขอดอกเบี้ยมาในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ดอกเบี้ยนับแต่วันฟ้องถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 จึงกำหนดให้ในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามที่ขอ เมื่อรวมกับค่าขาดประโยชน์ 15,000 บาท ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้ว จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดชำระเงินแก่โจทก์ทั้งสิ้น 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้ดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 ให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น เนื่องจากค่าเสื่อมราคาที่โจทก์มีสิทธิได้รับตามที่วินิจฉัยมาข้างต้นเป็นค่าเสียหายที่จำเลยที่ 1 จะต้องชำระเพื่อให้โจทก์ได้กลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมภายหลังจากการที่สัญญาเลิกกันแล้ว เมื่อโจทก์บอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 ล่วงพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในส่วนนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 686 วรรคสอง คงต้องรับผิดเฉพาะแต่ค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 10,000 บาท ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 45,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 10 มีนาคม 2564) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ไม่เกินอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|





