
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2567: สิทธิผู้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 573 และการเรียกค่าขาดราคา
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของผู้เช่าซื้อในการบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 แม้จะผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรก หากส่งคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อโดยเสียค่าใช้จ่ายเองและเจ้าของรับมอบ สัญญาถือเป็นเลิกกันตามกฎหมาย พร้อมวินิจฉัยสิทธิของผู้ให้เช่าซื้อในการเรียกค่าขาดราคาและการใช้ดุลพินิจของศาลเพื่อลดจำนวนเมื่อเห็นว่าเกินส่วน
สรุปข้อเท็จจริง 1. จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ ราคาค่าเช่าซื้อรวมภาษี 639,539.90 บาท ผ่อน 84 งวด งวดละ 7,614 บาท โดยมีจำเลยที่ 2 ค้ำประกัน 2. จำเลยที่ 1 ผิดนัดตั้งแต่งวดแรก (5 ก.พ. 2562) และค้างชำระต่อเนื่อง 3 งวด 3. วันที่ 28 เม.ย. 2562 จำเลยที่ 1 ส่งคืนรถยนต์ให้โจทก์โดยไม่มีข้อพิพาท 4. โจทก์ขายทอดตลาดได้ราคาต่ำกว่ายอดหนี้ที่เหลือ จึงฟ้องเรียกค่าขาดราคาและดอกเบี้ย 15% ต่อปี 5. ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระบางส่วน และให้จำเลยที่ 2 รับผิดจำกัด 6. โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภครับวินิจฉัย
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ผู้เช่าซื้อแม้ผิดนัด ก็มีสิทธิบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 หากส่งมอบทรัพย์คืนโดยเสียค่าใช้จ่ายเอง และเจ้าของรับมอบ • การส่งคืนรถยนต์ในกรณีนี้ถือเป็นการเลิกสัญญาตามกฎหมาย ไม่ใช่การยินยอมเลิกกันโดยปริยาย • ผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามสัญญา แต่เป็นการกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้า (เบี้ยปรับ) จึงต้องพิจารณาตามมาตรา 379 และสามารถลดได้ตามมาตรา 383 หากสูงเกินส่วน • ศาลกำหนดค่าขาดราคาใหม่เป็น 106,000 บาท บวกค่าขาดประโยชน์ 21,000 บาท รวมเป็น 127,000 บาท • ไม่อนุญาตให้เรียกดอกเบี้ย 15% ต่อปีของค่าขาดราคา เพราะเงื่อนไขสัญญาไม่ได้กำหนดไว้ • จำเลยที่ 2 หลุดพ้นจากความรับผิดค่าขาดราคา เนื่องจากโจทก์บอกกล่าวเกินกำหนด
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อของผู้เช่าซื้อ o แม้สัญญาไม่ได้กำหนดสิทธิเลิก แต่ ป.พ.พ. มาตรา 573 ให้อำนาจผู้เช่าบอกเลิกได้ทุกเวลา หากส่งคืนทรัพย์โดยเสียค่าใช้จ่ายเอง o กรณีนี้ชัดเจนว่าเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย ไม่ใช่การเลิกโดยความยินยอมร่วมกัน 2. การเรียกค่าขาดราคา o สัญญากำหนดให้ผู้เช่าซื้อรับผิดชำระส่วนต่างหากขายทอดตลาดได้ต่ำกว่าหนี้คงค้าง o ถือเป็นการกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้า (เบี้ยปรับ) จึงใช้มาตรา 379 และ 383 ควบคุม o ศาลใช้ดุลพินิจลดจำนวนเพื่อให้สอดคล้องกับความเสียหายจริง 3. ดอกเบี้ยค่าขาดราคา o เงื่อนไขในสัญญาไม่ได้ครอบคลุมเบี้ยปรับส่วนนี้ o ดอกเบี้ยจึงต้องคิดตามมาตรา 224 วรรคหนึ่ง 4. ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน o การบอกกล่าวล่าช้าเกิน 60 วันตามเงื่อนไข ส่งผลให้ผู้ค้ำพ้นความรับผิดในค่าขาดราคา
IRAC Issue (ประเด็นปัญหา) ผู้เช่าซื้อที่ผิดนัดตั้งแต่งวดแรก สามารถใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 573 ได้หรือไม่ และผู้ให้เช่าซื้อมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาเพียงใด Rule (บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง) • ป.พ.พ. มาตรา 573: สิทธิผู้เช่าเลิกสัญญาได้ทุกเวลาโดยส่งคืนทรัพย์และออกค่าใช้จ่ายเอง • ป.พ.พ. มาตรา 379: ข้อตกลงกำหนดค่าเสียหายล่วงหน้าเป็นเบี้ยปรับ • ป.พ.พ. มาตรา 383: ศาลลดเบี้ยปรับได้หากสูงเกินส่วน • ป.พ.พ. มาตรา 224: ดอกเบี้ยหนี้เงิน Application (การวิเคราะห์) • จำเลยที่ 1 ส่งคืนรถหลังผิดนัด 3 งวดโดยไม่มีข้อพิพาท แสดงเจตนาเลิกสัญญา และเข้าเงื่อนไขมาตรา 573 • โจทก์มีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามสัญญา แต่เนื่องจากรวมผลประโยชน์และภาษีเกินจริง ศาลลดลงตามมาตรา 383 • ดอกเบี้ยค่าขาดราคาต้องเป็นไปตามมาตรา 224 ไม่ใช่ตามสัญญา • จำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดเพราะบอกกล่าวล่าช้า Conclusion (ข้อสรุป) จำเลยที่ 1 ต้องชำระ 127,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย ส่วนจำเลยที่ 2 พ้นความรับผิดในค่าขาดราคา
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ผู้เช่าซื้อยังคงมีสิทธิบอกเลิกสัญญาตามมาตรา 573 แม้ผิดนัด หากคืนทรัพย์ตามเงื่อนไข • ค่าขาดราคาต้องพิจารณาความเหมาะสมและอาจถูกศาลลดได้ • เงื่อนไขดอกเบี้ยต้องชัดเจน มิฉะนั้นใช้ตามกฎหมายทั่วไป • การบอกกล่าวผู้ค้ำต้องทำภายในเวลาที่กำหนด ไม่เช่นนั้นอาจหลุดพ้นความรับผิด
สรุปภาษาอังกฤษแบบย่อ The Supreme Court Judgment No. 4836/2567 clarifies that a hire-purchaser, even in default from the first installment, can terminate the contract under Section 573 of the Civil and Commercial Code by returning the asset at their own expense, provided the owner accepts it. The lessor retains the right to claim the price difference if the resale value is lower than the outstanding debt, but such pre-agreed damages may be reduced by the court under Section 383 if excessive. In this case, the court reduced the claim to THB 127,000 and ruled that the guarantor was released from liability due to late notice.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4836/2567
การที่จำเลยที่ 1 ผู้เช่าซื้อผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรก ต่อมาจำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อโดยไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อพิพาทโต้แย้งในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ที่เช่าซื้อกัน พฤติการณ์แสดงให้เห็นว่าเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ได้ และที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ภายหลังจากที่ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ บ่งชี้ถึงเจตนาที่แสดงว่าจำเลยที่ 1 ต้องการที่จะเลิกสัญญาเช่าซื้อ เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 1 ได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้สิทธิจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ก็ยังบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 ที่บัญญัติว่า ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง อันเป็นบทบัญญัติกำหนดสิทธิและวิธีบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยผู้เช่าซื้อไว้เป็นการเฉพาะนอกจากการเลิกสัญญาตามที่บัญญัติไว้ใน ป.พ.พ. บรรพ 2 ลักษณะ 2 สัญญา หมวด 4 ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์โดยมีเจตนาจะเลิกสัญญา และโจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันเลิกกันด้วยเหตุที่จำเลยที่ 1 ซึ่งผิดนัดเป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 573 พฤติการณ์แห่งคดีหาใช่เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยาย โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามข้อกำหนดและเงื่อนไขในสัญญาเช่าซื้อรถยนต์
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 291,569.90 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 21,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 5 เมษายน 2564) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาซึ่งออกตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้จำเลยที่ 2 ปฏิบัติการชำระหนี้แทน แต่ให้จำเลยที่ 2 รับผิดเพียง 15,000 บาท และไม่ต้องรับผิดในส่วนดอกเบี้ยหลังฟ้อง กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ส่วนที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2561 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ในราคาเช่าซื้อรวมภาษีมูลค่าเพิ่ม 639,539.90 บาท ตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือน เดือนละ 7,614 บาท รวม 84 งวด เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 5 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบถ้วน โดยมีจำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันต่อโจทก์ ตามสัญญาเช่าซื้อรถยนต์และสัญญาค้ำประกัน หลังจากทำสัญญาจำเลยที่ 1 ผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ 1 ประจำวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 เป็นต้นมา ต่อมาวันที่ 28 เมษายน 2562 จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาหรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์โดยตกลงชำระค่าเช่าซื้อ 639,539.90 บาท ด้วยวิธีการผ่อนชำระเป็นรายเดือน เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2562 งวดต่อไปชำระทุกวันที่ 5 ของทุกเดือนติดต่อกันไปรวม 84 เดือน จำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันในอันที่จะต้องชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ตามจำนวนและกำหนดเวลาที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ข้อเท็จจริงปรากฏตามที่โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าจำเลยที่ 1 มิได้ปฏิบัติการชำระหนี้ตามสัญญา โดยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดแรกเป็นต้นมา จากนั้นวันที่ 28 เมษายน 2562 จำเลยที่ 1 ก็ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีข้อพิพาทโต้แย้งในส่วนที่เกี่ยวกับรถยนต์ที่เช่าซื้อกันแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงที่ได้ความแสดงให้เห็นพฤติการณ์ที่ไม่ชำระค่าเช่าซื้อว่าเป็นเพราะจำเลยที่ 1 ไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อให้แก่โจทก์ได้ และที่ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์ภายหลังจากที่ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อติดต่อกันเป็นจำนวน 3 งวด บ่งชี้ถึงเจตนาที่แสดงออกมาด้วยว่าจำเลยที่ 1 ต้องการที่จะเลิกสัญญาเช่าซื้อ เช่นนี้ แม้จำเลยที่ 1 ได้ชื่อว่าเป็นลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อ และสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้สิทธิจำเลยที่ 1 บอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ได้ จำเลยที่ 1 ก็ยังบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อต่อโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 ที่บัญญัติว่า ผู้เช่าจะบอกเลิกสัญญาในเวลาใดเวลาหนึ่งก็ได้ ด้วยส่งมอบทรัพย์สินกลับคืนให้แก่เจ้าของโดยเสียค่าใช้จ่ายของตนเอง อันเป็นบทบัญญัติกำหนดสิทธิและวิธีบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อโดยผู้เช่าซื้อไว้เป็นการเฉพาะนอกจากการเลิกสัญญาตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 2 ลักษณะ 2 สัญญา หมวด 4 ดังนั้น ที่จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนให้แก่โจทก์โดยมีเจตนาจะเลิกสัญญาตามที่วินิจฉัยมา และโจทก์รับมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อไว้ สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นอันเลิกกันด้วยเหตุทึ่จำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายบอกเลิกสัญญาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 573 พฤติการณ์แห่งคดีหาใช่เป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยที่ 1 สมัครใจเลิกสัญญากันโดยปริยายดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยมาไม่ โจทก์จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดราคาตามข้อกำหนดและเงื่อนไขการเช่าซื้อรถยนต์ ข้อ 11 ที่กำหนดไว้ใจความว่า เมื่อสัญญานี้สิ้นสุดลงไม่ว่ากรณีใด ๆ หากโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายโดยวิธีการประมูลหรือวิธีการขายทอดตลาดที่เหมาะสม หากได้ราคาน้อยกว่ามูลหนี้ส่วนที่ขาดอยู่ตามสัญญา จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดส่วนที่ขาด ซึ่งในเรื่องนี้โจทก์ฟ้องและนำสืบว่าโจทก์นำรถยนต์ที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้ราคาน้อยกว่าจำนวนหนี้คงค้างตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 จึงต้องรับผิดชำระค่าขาดราคาแก่โจทก์ แต่ข้อตกลงที่กำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในส่วนที่ขาดนี้เป็นการกำหนดค่าเสียหายไว้ล่วงหน้า มีลักษณะเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 หากสูงเกินส่วนศาลย่อมมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 วรรคหนึ่ง เมื่อค่าขาดราคา 269,319.90 บาท ที่เรียกร้องมาโจทก์คำนวณจากค่าเช่าซื้อตามสัญญาหักด้วยเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดรถยนต์ แต่ค่าเช่าซื้อตามสัญญานี้เป็นการรวมผลประโยชน์ตลอดอายุสัญญาจำนวน 133,286.82 บาท และภาษีมูลค่าเพิ่ม 41,839.06 บาท เข้าไว้ด้วย ทั้งสัญญาเช่าซื้อเป็นอันเลิกกันก่อนครบกำหนดเวลาตามสัญญา ค่าขาดราคาที่โจทก์เรียกร้องมานี้จึงสูงเกินส่วน เมื่อพิจารณาถึงเงินลงทุนของโจทก์กับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดประกอบกับทางได้เสียทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว จึงเห็นสมควรกำหนดค่าขาดราคาให้แก่โจทก์เป็นเงิน 106,000 บาท ค่าขาดราคาที่กำหนดให้นี้เมื่อรวมกับค่าขาดประโยชน์ 21,000 บาท ซึ่งยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วเป็นเงินที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดทั้งสิ้น 127,000 บาท ส่วนที่โจทก์ฎีกาเรียกดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของค่าขาดราคา นั้น โดยที่ข้อกำหนดและเงื่อนไขการเช่าซื้อรถยนต์ ข้อ 14 กำหนดถึงความรับผิดในเบี้ยปรับเฉพาะแต่เบี้ยปรับของค่าเช่าซื้อที่ผิดนัด นับแต่วันถึงกำหนดชำระค่าเช่าซื้อแต่ละงวดจนถึงวันชำระครบถ้วน และค่าเสียหายเพียงเท่าที่โจทก์ได้ใช้จ่ายไปจริงกรณีที่โจทก์ได้รับความเสียหายใด ๆ เนื่องจากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง ข้อกำหนดและเงื่อนไขดังกล่าวหาได้กำหนดรวมถึงเบี้ยปรับของค่าขาดราคาด้วยไม่ โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยของค่าขาดราคาในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่อย่างไรก็ตามค่าขาดราคาเป็นหนี้เงินโจทก์จึงมีสิทธิเรียกดอกเบี้ยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 224 วรรคหนึ่ง เช่นเดียวกับดอกเบี้ยของค่าขาดประโยชน์ที่ศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยไว้ สำหรับจำเลยที่ 2 เมื่อโจทก์บอกกล่าวการผิดนัดไปยังจำเลยที่ 2 ล่วงพ้นกำหนด 60 วัน นับแต่วันที่จำเลยที่ 1 ผิดนัด ซึ่งปัญหานี้ยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และค่าขาดราคาเป็นค่าเสียหายที่เกิดขึ้นในวันที่ขายทอดตลาดรถยนต์ที่เช่าซื้อ จำเลยที่ 2 จึงหลุดพ้นจากความรับผิดในค่าขาดราคานี้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยบางส่วน ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 127,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราและกำหนดเวลาตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ |