
| คดีเช่าซื้อรถ & สิทธิผู้ค้ำประกัน, ดอกเบี้ยพักหนี้ (ฎีกา 2276/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระในช่วงการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ซึ่งเจ้าหนี้ได้ให้พักชำระหนี้ 6 เดือน แต่ยังคิดดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้ และพยายามเรียกเก็บจากลูกหนี้และผู้ค้ำประกัน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิดหากเจ้าหนี้ผ่อนเวลาโดยไม่ได้รับความยินยอม และดอกเบี้ยในระหว่างพักหนี้ไม่อาจเรียกเก็บได้ ถือเป็นแนววินิจฉัยสำคัญในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภค
สรุปข้อเท็จจริง • จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกัน • ภายหลังเกิดสถานการณ์โควิด-19 โจทก์ให้พักชำระหนี้ 6 งวด (ก.พ.–ก.ค. 2563) แต่ยังคิดดอกเบี้ย 12.09% ต่อปี รวม 14,422.22 บาท • จำเลยที่ 1 ชำระได้เพียง 21 งวด ก่อนผิดนัดติดต่อกัน 3 งวด โจทก์บอกเลิกสัญญาและฟ้องเรียกคืนรถหรือราคาแทน รวมทั้งดอกเบี้ยและค่าเสียหาย • ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาให้คืนรถหรือชำระราคาแทน แต่ยกฟ้องผู้ค้ำบางส่วน และไม่ให้ดอกเบี้ยช่วงพักหนี้ • โจทก์ฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน (ป.พ.พ. มาตรา 700) o การที่โจทก์ให้พักชำระหนี้ 6 งวด โดยไม่ขอความยินยอมจากจำเลยที่ 2 ผู้ค้ำ ถือว่าเป็น “การผ่อนเวลา” o เมื่อผู้ค้ำไม่ได้ตกลงด้วย จึงไม่ต้องรับผิดตามกฎหมาย o ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ว่ายกฟ้องจำเลยที่ 2 2. สิทธิคิดดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้ (ป.พ.พ. มาตรา 391) o ดอกเบี้ย 14,422.22 บาท เป็นผลประโยชน์นอกเหนือจากค่าเช่าซื้อที่ตกลงกันเดิม o เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน ต้องคืนสู่ฐานะเดิมตามมาตรา 391 o โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกเก็บดอกเบี้ยดังกล่าว ผลลัพธ์: ศาลฎีกาพิพากษายืน ยกฟ้องผู้ค้ำ และไม่ให้โจทก์เรียกดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้
การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. สิทธิและหน้าที่ของผู้ค้ำประกัน • มาตรา 700 ป.พ.พ. กำหนดว่า หากเจ้าหนี้ผ่อนเวลาให้ลูกหนี้ โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้ำ ผู้ค้ำจะไม่ต้องรับผิด • คดีนี้สะท้อนหลักการคุ้มครองผู้ค้ำไม่ให้ตกเป็นภาระเกินกว่าที่ตกลง 2. การพักหนี้และดอกเบี้ย • การพักหนี้ไม่ใช่สิทธิที่จะทำให้เจ้าหนี้เรียกดอกเบี้ยเพิ่มเกินสัญญา • ศาลตีความว่าเป็นค่าเช่าซื้อค้างที่หมดสิทธิเรียกเมื่อสัญญาเลิก 3. หลักคืนสู่ฐานะเดิม (Restitution) • เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิก คู่สัญญาต้องคืนประโยชน์ตามมาตรา 391 • เจ้าหนี้จึงไม่อาจเรียกเก็บดอกเบี้ยช่วงพักหนี้ย้อนหลัง
IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue: • ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดหรือไม่ เมื่อเจ้าหนี้พักหนี้โดยไม่ให้ผู้ค้ำยินยอม? • เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้หรือไม่? Rule: • ป.พ.พ. มาตรา 700: เจ้าหนี้ผ่อนเวลาโดยไม่ให้ผู้ค้ำยินยอม ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิด • ป.พ.พ. มาตรา 391: เมื่อสัญญาเลิก คู่สัญญาต้องคืนสู่ฐานะเดิม ผลประโยชน์ที่เรียกเกินไม่อาจบังคับได้ Application: • โจทก์พักหนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากจำเลยที่ 2 → ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิด • ดอกเบี้ย 14,422.22 บาท เป็นผลประโยชน์เกินจากค่าเช่าซื้อ → ศาลไม่อนุญาตให้เรียกเก็บ Conclusion: • จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำไม่ต้องรับผิด • โจทก์ไม่มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยระหว่างพักหนี้ • พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์
ข้อคิดทางกฎหมาย • การให้พักชำระหนี้หรือผ่อนเวลา ต้องให้ผู้ค้ำยินยอม มิฉะนั้นผู้ค้ำไม่ต้องรับผิด • ดอกเบี้ยหรือผลประโยชน์ใด ๆ ที่เกิดขึ้นเกินจากสัญญา ไม่สามารถบังคับได้เมื่อสัญญาเลิก • คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญในการคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในคดีเช่าซื้อและการค้ำประกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2276/2568 การที่โจทก์พักชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นเวลา 6 เดือน แต่โจทก์ยังคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.09 ต่อปี ในระหว่างการพักชำระหนี้เป็นเงินรวม 14,422.22 บาท ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นผลประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่โจทก์คิดขณะทำสัญญาเช่าซื้อจำนวน 193,067.66 บาท ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อต้องชำระในแต่ละงวด และเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน คู่กรณีแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยในระหว่างพักชำระหนี้อันเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนสัญญาเช่าซื้อเลิกกันได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 499,264.97 บาท ให้จำเลยทั้งสองชำระดอกเบี้ยในระหว่างพักชำระหนี้ 14,422.22 บาท ให้จำเลยทั้งสองชำระค่าขาดประโยชน์ 60,000 บาท และค่าเสียหายในอัตราเดือนละ 5,000 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนหรือใช้ราคาแทนเสร็จสิ้น พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ของต้นเงิน 573,687.19 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจำเลยทั้งสองจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (พิพากษาวันที่ 25 เมษายน 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ และค่าขาดประโยชน์ 30,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 30,000 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 มีนาคม 2565) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ให้ไม่เกิน 6 เดือน และดอกเบี้ยในระหว่างพักชำระหนี้ 14,422.22 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา ให้จำเลยที่ 2 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 300,000 บาท ค่าขาดประโยชน์ 5,000 บาท และค่าดอกเบี้ยในระหว่างฟ้อง (ที่ถูก พัก) ชำระหนี้ 14,422.22 บาท กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนแก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 330,600 บาท ยกคำขอดอกเบี้ยในระหว่างพักชำระหนี้ 14,422.22 บาท ยกฟ้องจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2561 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ จากโจทก์ โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันตามฟ้อง หลังจากทำสัญญา เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) โจทก์พักชำระหนี้แก่จำเลยทั้งสอง 6 งวด ตั้งแต่งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 และเริ่มชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป ต่อมาจำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์เพียง 21 งวดเศษ แล้วผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าซื้อแก่โจทก์ตั้งแต่งวดที่ 22 ประจำวันที่ 10 มกราคม 2564 เป็นเวลา 3 งวดติดต่อกัน โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามและบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยทั้งสองโดยชอบแล้ว แต่จำเลยทั้งสองเพิกเฉย
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การที่โจทก์ได้ผ่อนปรนการชำระหนี้ให้จำเลยที่ 1 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) โดยจำเลยทั้งสองไม่ต้องชำระต้นเงินค่าเช่าซื้องวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 และเริ่มชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนสิงหาคม 2563 เป็นต้นไป และชำระค่าเช่าซื้องวดสุดท้ายในวันที่ 10 พฤษภาคม 2568 ย่อมเป็นการขยายระยะเวลาชำระหนี้ค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดสุดท้ายออกไปมีกำหนด 6 เดือน ทำให้ครบกำหนดชำระหนี้ให้เสร็จสิ้นตามสัญญาเช่าซื้อภายในเดือนพฤษภาคม 2568 แม้โจทก์ดำเนินการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้โดยพักชำระหนี้ตามมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ในช่วงสถานการณ์การระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID - 19) ของธนาคารแห่งประเทศไทย ฉบับลงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2563 ก็ตาม แต่โจทก์ก็มิได้ดำเนินการให้จำเลยที่ 2 ตกลงในการผ่อนเวลาด้วยตามที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์กำหนด ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความว่า ในระหว่างที่โจทก์พักชำระหนี้ต้นเงินแก่ลูกหนี้ โจทก์ยังคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.09 ต่อปี ในระหว่างการพักชำระหนี้ด้วย บ่งชี้ให้เห็นได้อย่างชัดแจ้งว่าเป็นการผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 700 เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันหนี้อันจะต้องชำระ ณ เวลามีกำหนดแน่นอนและเจ้าหนี้ยอมผ่อนเวลาให้แก่ลูกหนี้ โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์มีลายมือชื่อของจำเลยที่ 2 มาแสดงหรือจำเลยที่ 2 ตกลงในการผ่อนเวลาด้วย จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาต่อไปว่า โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยระหว่างพักชำระหนี้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การที่โจทก์พักชำระหนี้ให้แก่จำเลยที่ 1 งวดเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ถึงงวดเดือนกรกฎาคม 2563 เป็นเวลา 6 เดือน แต่โจทก์ยังคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 12.09 ต่อปี ในระหว่างการพักชำระหนี้เป็นเงินรวม 14,422.22 บาท ดอกเบี้ยดังกล่าวจึงเป็นผลประโยชน์เพิ่มเติมนอกเหนือจากที่โจทก์คิดขณะทำสัญญาเช่าซื้อจำนวน 193,067.66 บาท ซึ่งถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของราคาเช่าซื้อที่ผู้เช่าซื้อต้องชำระในแต่ละงวด และเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน เมื่อสัญญาเช่าซื้อเลิกกัน คู่กรณีแต่ละฝ่ายจำต้องให้อีกฝ่ายกลับคืนสู่ฐานะดังที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ดังนั้น โจทก์ผู้ให้เช่าซื้อจึงไม่มีสิทธิเรียกให้จำเลยที่ 1 ชำระดอกเบี้ยในระหว่างพักชำระหนี้อันเป็นค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระก่อนสัญญาเช่าซื้อเลิกกันได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 วินิจฉัยมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ |




