
(ฎีกาที่ 3524/2567) ความรับผิดค่าเสียหายจากการคืนรถเช่าซื้อไม่เรียบร้อย และสิทธิฟ้องตามมูลหนี้คำพิพากษา
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์
บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการคืนรถเช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี โดยโจทก์อ้างสิทธิฟ้องตามมูลหนี้จากคำพิพากษาในคดีก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้เจ้าหนี้มีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215 หากมีการคืนทรัพย์ที่ไม่เป็นไปตามคำพิพากษา แต่ค่าขาดราคาที่เกิดจากการขายทอดตลาดไม่ถือเป็นความเสียหายที่แท้จริงอันเกิดจากสภาพรถ ศาลจึงพิพากษายืนยกฟ้อง และยังชี้ให้เห็นหลักการเรื่องการบังคับหนี้ที่ไม่อาจแบ่งแยกตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551
ข้อเท็จจริงโดยสรุป • โจทก์เคยฟ้องจำเลยที่ 1 เรื่องผิดสัญญาเช่าซื้อ และจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาค้ำประกัน ศาลพิพากษาให้คืนรถหรือชำระราคาแทน • จำเลยคืนรถในสภาพที่โจทก์อ้างว่าชำรุดทรุดโทรม จึงนำออกขายทอดตลาดได้เงิน 598,130.84 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคารถที่ศาลกำหนดไว้ 930,000 บาท • โจทก์ฟ้องใหม่ เรียกค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถ 331,869.16 บาท พร้อมดอกเบี้ย อ้างสิทธิจากคำพิพากษาเดิม • ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาอนุญาตให้ฎีกา
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1. เรื่องค่าขาดราคา ศาลเห็นว่า ค่าขาดราคาที่คำนวณจากส่วนต่างราคาขายทอดตลาดกับราคารถที่ศาลกำหนด มิใช่ความเสียหายที่แท้จริงจากการชำรุดของรถ เพราะราคาประมูลขึ้นอยู่กับสภาพตลาดและความนิยม ไม่ใช่เพียงสภาพชำรุดทรุดโทรม ดังนั้น ค่าเสียหายดังกล่าวไม่อาจฟ้องบังคับได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215 2. เรื่องความรับผิดของจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันและลูกหนี้ตามคำพิพากษาเดิม แต่เมื่อการชำระหนี้เป็นลักษณะไม่อาจแบ่งแยกได้ หากจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดด้วย ศาลจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ โดยอ้างอิง ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1), 252 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย • สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษา (มาตรา 215 ป.พ.พ.) ศาลยืนยันว่า หากลูกหนี้คืนทรัพย์ไม่เรียบร้อย เจ้าหนี้สามารถเรียกค่าเสียหายได้ แต่ต้องพิสูจน์ว่าเป็นความเสียหายแท้จริง ไม่ใช่เพียงค่าขาดราคาจากการขายทอดตลาด • ความแตกต่างระหว่าง “ค่าขาดประโยชน์” กับ “ค่าขาดราคา” คำพิพากษานี้ตอกย้ำว่า ค่าขาดราคาไม่ใช่ค่าเสียหายอัตโนมัติ แต่เป็นเรื่องภาระการพิสูจน์ ซึ่งหากโจทก์ไม่อาจนำสืบได้ ก็ไม่สามารถบังคับจำเลยชดใช้ได้ • หลักการหนี้ไม่อาจแบ่งแยก (Indivisible Obligation) เมื่อหนี้ตามคำพิพากษามีลักษณะไม่อาจแบ่งแยก จำเลยที่ 2 ฐานผู้ค้ำประกันย่อมไม่ต้องรับผิด หากจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด
IRAC Analysis Issue (ปัญหา) โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมจากการคืนรถเช่าซื้อไม่เรียบร้อย และสามารถให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดได้หรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) • ป.พ.พ. มาตรา 215 ว่าด้วยการชำระหนี้ไม่ตรงตามคำพิพากษา • ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1), 252 ว่าด้วยการบังคับหนี้ไม่อาจแบ่งแยก • พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 Application (การวิเคราะห์) • ค่าขาดราคาจากการขายทอดตลาดไม่ใช่ความเสียหายที่แท้จริง เพราะขึ้นกับตลาดและการประมูล ไม่ใช่สภาพชำรุด • โจทก์ไม่มีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่ารถมีสภาพทรุดโทรม • หนี้ที่พิพากษาเป็นลักษณะไม่อาจแบ่งแยก หากจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิด จำเลยที่ 2 ก็ไม่ต้องรับผิดเช่นกัน Conclusion (ข้อสรุป) ศาลฎีกาพิพากษายืนยกฟ้อง ค่าขาดราคาไม่ใช่ความเสียหายที่แท้จริง และจำเลยที่ 2 ไม่ต้องร่วมรับผิดตามหลักหนี้ไม่อาจแบ่งแยก
สรุปข้อคิดทางกฎหมาย คำพิพากษานี้ตอกย้ำว่า การฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการคืนทรัพย์ไม่เรียบร้อย ต้องพิสูจน์ว่าเกิดความเสียหายแท้จริง มิใช่เพียงการอ้างส่วนต่างราคาขายทอดตลาด และยังยืนยันหลักการหนี้ไม่อาจแบ่งแยกว่าผู้ค้ำประกันไม่ต้องรับผิด หากลูกหนี้หลักไม่ต้องรับผิด
English Summary The Supreme Court Decision No. 3524/2567 concerns a claim for damages arising from the return of a leased car not in proper condition. The Court ruled that the shortfall in auction price does not constitute actual damage under Section 215 of the Civil and Commercial Code, as it depends on market conditions rather than vehicle defects. Furthermore, since the debt was indivisible, the guarantor (Defendant No. 2) was not liable when the principal debtor (Defendant No. 1) was not held responsible. The judgment reinforces the burden of proof on creditors and clarifies the principle of indivisible obligations in consumer cases.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3524/2567
โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองให้ชำระค่าเสียหายโดยอาศัยอำนาจแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถที่เช่าซื้อในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดี อันเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่จากการคืนรถที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ซึ่งเป็นการชำระหนี้ที่ไม่ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 215 แต่ค่าขาดราคาที่คำนวณจากส่วนต่างของเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดกับราคารถใช้แทนตามคำพิพากษาในคดีก่อนมิใช่ความเสียหายที่แท้จริงอันเกิดจากความชำรุดทรุดโทรมที่เกิดจากการใช้รถโดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงใช้ จึงมิใช่ค่าเสียหายอันเนื่องจากการคืนรถที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถได้
จำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อน ซึ่งจะต้องชำระหนี้อย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ถือเป็นการชำระหนี้อันมิอาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 252 และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 331,869.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์ และให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความเป็นเงิน 5,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นนี้ให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาใหม่ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ว่าผิดสัญญาเช่าซื้อ และจำเลยที่ 2 ผิดสัญญาค้ำประกัน เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ 979/2562 หมายเลขแดงที่ ผบ 1113/2562 วันที่ 4 ตุลาคม 2562 ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบรถที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาเป็นเงิน 930,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์พร้อมดอกเบี้ย หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตาม ให้จำเลยที่ 2 ชำระหนี้แทนเฉพาะค่าขาดประโยชน์ 20,000 บาท ต่อมาวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2563 โจทก์ได้รับมอบรถคันที่เช่าซื้อคืน และวันที่ 21 เมษายน 2563 โจทก์นำรถที่เช่าซื้อออกขายทอดตลาดได้เงิน 598,130.84 บาท
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดค่าเสียหายแก่โจทก์หรือไม่ เพียงใด โดยโจทก์ฎีกาขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถเป็นเงิน 331,869.16 บาท พร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ โดยคำนวณจากส่วนต่างราคารถใช้แทนตามคำพิพากษาในคดีก่อนกับเงินที่ได้จากการขายทอดตลาด เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่ารถที่เช่าซื้อที่โจทก์ได้รับคืนมานั้นอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมจากการใช้งานโดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงใช้ จึงเป็นการฟ้องให้ชำระค่าเสียหายโดยอาศัยอำนาจแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ต้องคืนรถที่เช่าซื้อในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดี อันเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่จากการคืนรถที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดี ซึ่งเป็นการชำระหนี้ที่ไม่ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้จะเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายอันเกิดแต่การนั้นก็ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 อย่างไรก็ดี ราคารถที่ได้จากการขายทอดตลาดขึ้นอยู่กับความต้องการ และความพอใจของผู้เข้าประมูลซื้อทอดตลาด และสภาพทั่วไปของรถ เช่น ปีที่ผลิตรถ ความนิยมของรถ การใช้งานและความสมบูรณ์ของรถ ดังนั้น ค่าขาดราคาที่คำนวณจากส่วนต่างของเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดกับราคารถใช้แทนตามคำพิพากษาในคดีก่อน จึงไม่อาจใช้เป็นข้อพิสูจน์ถึงความชำรุดของรถได้ เพราะมิใช่ความเสียหายที่แท้จริงอันเกิดจากความชำรุดทรุดโทรมของรถที่เช่าซื้อที่เกิดจากการใช้รถโดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงใช้ ค่าขาดราคาที่โจทก์ฎีกาจึงมิใช่ค่าเสียหายอันเนื่องจากการคืนรถที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีที่จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดตามคำพิพากษาในคดีก่อน โจทก์จึงไม่อาจฟ้องขอให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าเสียหายเป็นค่าขาดราคารถได้ เมื่อโจทก์ฟ้องโดยกล่าวอ้างข้อเท็จจริงว่ารถที่เช่าซื้อที่ส่งมอบคืนแก่โจทก์นั้นอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมอันเนื่องจากการใช้งานโดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงใช้ โจทก์จึงมีภาระในการพิสูจน์ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวอ้าง พยานโจทก์คงมีเพียงนายอลงกรณ์ ผู้รับมอบอำนาจช่วงโจทก์และทนายความเป็นพยานเพียงปากเดียวเบิกความแต่เพียงว่า โจทก์ได้เข้าครอบครองรถยนต์คันที่เช่าซื้อและได้นำรถยนต์คันที่เช่าซื้อประมูลออกขายทอดตลาด มีบุคคลภายนอกเข้าสู้ประมูลราคากัน แต่เนื่องจากรถยนต์มีสภาพทรุดโทรม อันเนื่องจากการใช้งานโดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงใช้ โดยมีผู้เข้าประมูลสู้ราคารถยนต์ที่เช่าซื้อได้เป็นเงิน 598,130.84 บาท เมื่อนำไปหักชำระหนี้ตามคำพิพากษาแล้วยังมีส่วนต่างอีก 331,869.16 บาท โดยไม่ปรากฏพยานหลักฐานอื่นสนับสนุน ทั้งเมื่อพิจารณาตามบันทึกการตรวจสภาพและส่งมอบรถยนต์และภาพถ่ายรถยนต์ที่เช่าซื้อท้ายคำฟ้องก็ไม่ปรากฏว่ารถอยู่ในสภาพทรุดโทรม พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมาจึงรับฟังไม่ได้ว่า สภาพรถที่เช่าซื้อที่คืนแก่โจทก์นั้นมีความชำรุดทรุดโทรมอันเนื่องจากการใช้งานโดยปราศจากความระมัดระวังเยี่ยงวิญญูชนพึงใช้ตามที่โจทก์กล่าวอ้าง จึงมีผลเท่ากับว่ารถที่เช่าซื้อที่โจทก์ได้รับคืนมานั้นอยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดี อันเป็นการชำระหนี้ที่ต้องตามความประสงค์อันแท้จริงแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว โจทก์จึงไม่อาจเรียกเอาค่าสินไหมทดแทนจากจำเลยที่ 1 ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 215 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
คดีนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการสุดท้ายว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า โจทก์ฟ้องโดยอาศัยหนี้ที่เกิดขึ้นตามคำพิพากษาเป็นหลักแห่งข้อหาในการบังคับตามสิทธิของโจทก์เรียกร้องค่าเสียหายจากจำเลยทั้งสองให้รับผิดชดใช้ราคารถยนต์ส่วนที่ยังขาดจำนวนได้ เห็นว่า เมื่อจำเลยที่ 2 เป็นลูกหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อน ซึ่งจะต้องชำระหนี้อย่างเดียวกับจำเลยที่ 1 ถือเป็นการชำระหนี้อันมิอาจแบ่งแยกได้ จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์เช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่ 2 ที่มิได้ฎีกาได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 245 (1) ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับผิดชำระค่าเสียหายแก่โจทก์ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 ยกฟ้องจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
|