
| สรุปคดีเช่าซื้อ-จำนำรถยนต์ & อำนาจฟ้อง (ฎีกา 3230/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีผู้เช่าซื้อรถยนต์ภายใต้สัญญาเช่าซื้อที่มอบสิทธิในการครอบครองและใช้รถยนต์ให้แก่บิดาหรือมารดา เมื่อมารดานำรถยนต์ไปจำนำกับบุคคลที่สามโดยที่ผู้เช่าซื้อไม่ทราบเรื่อง ศาลวินิจฉัยว่า ผู้เช่าซื้อไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคาแทน เนื่องจากไม่ใช่คู่สัญญาจำนำ และไม่ใช่เจ้าของรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ สรุปข้อเท็จจริง • โจทก์ (ผู้เช่าซื้อ) ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์กับบริษัท น. โดยมีมารดา (นางภัทรียา) เป็นผู้ค้ำประกัน • หลังจากนั้น มารดาโจทก์ได้ใช้และครอบครองรถยนต์คันดังกล่าว รวมทั้งร่วมผ่อนชำระค่างวดเช่าซื้อกับโจทก์ • มารดาของโจทก์นำรถยนต์พิพาทไปจำนำกับจำเลย โดยที่โจทก์ไม่ทราบเรื่อง และไม่มีสิทธิหรืออำนาจในสัญญาจำนำระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลย • โจทก์ยื่นฟ้องจำเลยให้ส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ในสภาพดีพร้อมใช้ และขอเงิน 40,000 บาท พร้อมดอกเบี้ย 15% ต่อปี หรือหากไม่คืนให้ใช้ราคาแทน 379,995 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไป • ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง แต่อนุญาตให้โจทก์ฟ้องใหม่ได้ • ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กลับคำพิพากษาโดยให้จำเลยส่งมอบรถยนต์แก่โจทก์ หรือหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 285,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตรา 7.5% ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2563 ถึง 10 เมษายน 2564 และอัตรา 5% ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป (ปรับตาม พ.ร.ฎ. ตาม ป.พ.พ. มาตรา 7 (ใหม่)) รวมทั้งให้จำเลยชดใช้ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความ • จำเลยยื่นฎีกาและได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา • ที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า โจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจำนำรถยนต์กับจำเลย ดังนั้น โจทก์จึงไม่อาจอ้างสิทธิจากสัญญาจำนำได้ ทั้งยังไม่มีอำนาจไถ่ถอนจำนำแทนมารดา และไม่ได้รับมอบอำนาจให้ฟ้องคดีแทนมารดา • นอกจากนี้ โจทก์มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าวในสัญญาเช่าซื้อ ดังนั้น โจทก์ไม่มีสิทธิติดตามรถยนต์หรือใช้ราคาแทนจากจำเลย • ศาลฎีกาพิพากษากลับให้ยกฟ้องโจทก์ และให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ ประเด็นสำคัญของ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3230/2568 อยู่ที่ “สิทธิและอำนาจฟ้องของผู้เช่าซื้อรถยนต์” เมื่อทรัพย์สินที่เช่าซื้อถูก “ผู้ครอบครองจริง” (มารดา) นำไปจำนำโดยไม่ได้รับอนุญาตจากผู้เช่าซื้อ ซึ่งศาลฎีกาได้อ้างอิงและวินิจฉัยโดยอาศัยหลักกฎหมายสำคัญจาก ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังต่อไปนี้ 🏛️ มาตรากฎหมายที่ศาลใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย 1. มาตรา 702 และ 703 (เรื่องสัญญาจำนำ) o กำหนดให้ “ผู้จำนำ” ต้องเป็นเจ้าของทรัพย์หรือมีสิทธิครอบครองทรัพย์เพื่อจำนำ และ “คู่สัญญา” คือผู้จำนำกับผู้รับจำนำเท่านั้น o บุคคลอื่นที่ไม่ใช่คู่สัญญา ไม่มีสิทธิอ้างหรือฟ้องเกี่ยวกับสัญญาจำนำได้ 2. มาตรา 459 และ 460 (เรื่องสัญญาเช่าซื้อ) o ระบุว่าผู้เช่าซื้อยังไม่เป็นเจ้าของทรัพย์สิน จนกว่าจะชำระค่าครบตามสัญญา o กรรมสิทธิ์ยังคงเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ 3. มาตรา 1336 และ 1370 (สิทธิของเจ้าของทรัพย์และผู้ครอบครอง) o เจ้าของเท่านั้นที่มีสิทธิติดตามเอาทรัพย์คืนจากผู้ครอบครองโดยมิชอบ o ผู้ที่ไม่มีกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครองโดยชอบย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง 4. หลักทั่วไปเรื่อง “อำนาจฟ้อง” (ป.วิ.พ. มาตรา 55 ประกอบ มาตรา 56) o ผู้ฟ้องต้องเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายในทรัพย์หรือสิทธิที่ถูกละเมิด จึงจะมีอำนาจฟ้องได้ 🔑 5 คำสำคัญ (Key Legal Keywords) พร้อมขยายประเด็นสั้น ๆ 1. “อำนาจฟ้อง” → ประเด็นหลักของคดีคือโจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อไม่มีสถานะเป็นคู่สัญญาจำนำและไม่ได้รับมอบอำนาจจากมารดา (ผู้จำนำ) จึง “ไม่มีอำนาจฟ้อง” ให้จำเลยคืนรถหรือใช้ราคาแทน 2. “สัญญาจำนำ” → การจำนำรถเกิดขึ้นระหว่างมารดาโจทก์และจำเลยเท่านั้น บุคคลภายนอกที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาไม่อาจใช้สิทธิตามสัญญาจำนำได้ 3. “สัญญาเช่าซื้อ” → โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าซื้อ ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อ จึงไม่อาจอ้างสิทธิในทรัพย์เพื่อฟ้องได้ 4. “กรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครอง” → การที่โจทก์มอบสิทธิใช้สอยรถยนต์ให้มารดาโดยสิ้นเชิง ทำให้โจทก์ไม่มีสถานะผู้ครอบครองโดยชอบ และไม่อาจติดตามทรัพย์จากผู้รับจำนำได้ 5. “มอบอำนาจ” → มารดาไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ไถ่ถอนหรือฟ้องแทน จึงเป็นข้อสำคัญที่ทำให้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ขาดอำนาจฟ้องโดยเด็ดขาด สรุปสั้น ๆ: คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่ศาลฎีกาใช้หลัก สิทธิฟ้องตามสถานะทางสัญญา และ ความเป็นเจ้าของหรือผู้ครอบครองโดยชอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 702, 703, 459, 460, 1336 และหลักอำนาจฟ้องใน ป.วิ.พ. เพื่อชี้ว่า “ผู้เช่าซื้อที่ไม่ใช่เจ้าของ และไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้จำนำ ย่อมไม่มีสิทธิดำเนินคดีในเรื่องจำนำได้” คำวินิจฉัย ศาลฎีกาได้วินิจฉัยประเด็นหลักดังนี้ กรรมสิทธิ์และการครอบครอง ศาลรับฟังว่า โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์กับบริษัท น. ส่วนมารดาโจทก์เป็นผู้ค้ำประกัน และมารดาได้ใช้และครอบครองรถยนต์ดังกล่าวจริง ข้อเท็จจริงนี้ไม่มีข้อโต้แย้งเพิ่ม สัญญาจำนำกับจำเลย มารดาโจทก์ได้ไปจำนำรถยนต์นั้นกับจำเลย โดยที่โจทก์ไม่ทราบ มากไปกว่านั้น โจทก์ไม่ใช่ผู้ร่วมทำสัญญาจำนำกับจำเลย และไม่มีมอบอำนาจจากมารดาให้ไถ่ถอนจำนำหรือฟ้องคดีแทน อำนาจฟ้องของโจทก์ เนื่องจากโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจำนำ (สัญญาส่ง-มอบรถยนต์นั้นเกิดระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลย) และไม่ได้รับมอบอำนาจให้กระทำแทนมารดาโจทก์ ศาลเห็นว่าโจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคาแทน อีกทั้ง โจทก์มิใช่เจ้าของรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ (เป็นผู้เช่า) และได้มอบสิทธิในการใช้สอยแก่มารดาโจทก์อย่างชัดเจน ซึ่งเป็นหลักฐานว่า โจทก์ไม่มีสิทธิขาดที่จะติดตามเอารถยนต์คืนจากจำเลย ผลของคำพิพากษา จากนั้น ศาลฎีกาพิจารณาและเห็นว่า ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับคำอุทธรณ์ของศาลอุทธรณ์ และให้ยกฟ้องโจทก์ โดยให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ ขยายความประเด็นทางกฎหมาย 1. สัญญาเช่าซื้อและกรรมสิทธิ์ ภายใต้สัญญาเช่าซื้อ โดยทั่วไปผู้เช่าซื้อจะมีสิทธิเช่าใช้และอาจได้รับสิทธิครอบครอง แต่กรรมสิทธิ์อาจยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระครบตามสัญญา กรณีนี้ แม้โจทก์จะเป็นผู้เช่าซื้อ แต่ได้มอบสิทธิการใช้สอยและครอบครองให้มารดาโจทก์อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นการแสดงว่าผู้ใช้สอยหลักคือมารดาโจทก์ 2. สัญญาจำนำและอำนาจฟ้อง สัญญาจำนำเกิดขึ้นระหว่างผู้จำนำ (มารดาโจทก์) กับผู้รับจำนำ (จำเลย) โดยรถยนต์เป็นทรัพย์สินที่ถูกให้เป็นประกันหนี้ ผู้ที่ไม่ใช่คู่สัญญาจำนำ และไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้จำนำ ไม่อาจอ้างสิทธิจากสัญญาจำนำดังกล่าว เช่น ขอไถ่ถอน หรือฟ้องให้คืนทรัพย์ได้ ดังนั้น แม้ผู้เช่าซื้อจะมีสิทธิในการใช้ แต่ถ้าไม่ใช่ผู้จำนำหรือได้รับมอบอำนาจจากผู้จำนำ ก็ไม่อาจดำเนินการแทนได้ 3. สิทธิผู้เช่าซื้อ vs สิทธิผู้จำนำ ผู้เช่าซื้อแม้จะมีความสัมพันธ์ทางสัญญาเช่าซื้อ หากไม่ได้เป็นผู้จำนำ หรือเป็นเจ้าของรถโดยสมบูรณ์ ก็ไม่มีสิทธิฟ้องเพื่อเอารถคืนจากผู้รับจำนำ กรณีนี้ แม้โจทก์ร้องขอให้ส่งมอบหรือใช้ราคาแทน แต่เจตนาและฐานะของโจทก์ไม่ตรงตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด 4. ผลทางคดีและแนวทางปฏิบัติ คำพิพากษานี้ชี้ให้เห็นว่า ในคดีเช่าซื้อ–จำนำรถยนต์ ผู้ที่จะฟ้องให้คืนหรือใช้ราคาแทนจากผู้รับจำนำ จะต้องตรวจสอบว่าเป็นผู้จำนำจริง ได้รับมอบอำนาจหรือเป็นเจ้าของรถอย่างแท้จริง มิใช่เพียงผู้ใช้หรือผู้เช่า สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การเป็นผู้เช่าซื้อไม่ได้แปลว่ามีอำนาจฟ้องในเรื่องการจำนำของผู้จำนำ หากไม่ได้เป็นคู่สัญญาจำนำหรือได้รับมอบอำนาจ • ผู้เช่าซื้อควรพิจารณาสถานะกรรมสิทธิ์และสิทธิการใช้สอยในรถยนต์ก่อนดำเนินการทางกฎหมาย • คดีเช่าซื้อ–จำนำรถยนต์ควรตรวจสอบความสัมพันธ์สัญญาทั้งสอง (เช่าซื้อ และ จำนำ) และผู้มีอำนาจฟ้องอย่างชัดเจน • ในทางปฏิบัติ หากผู้เช่าซื้อถูกผู้จำนำทอดปล่อยให้ผู้รับจำนำจำนำรถยนต์ ผู้เช่าซื้ออาจไม่มีช่องทางฟ้องให้คืนรถหรือใช้ราคาแทนได้ IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ประเด็น): ผู้เช่าซื้อรถยนต์ (โจทก์) มีอำนาจฟ้องให้ผู้รับจำนำ (จำเลย) คืนรถยนต์ตามสัญญาจำนำ หรือใช้ราคาแทนหรือไม่ เมื่อรถยนต์ถูกมารดา (ผู้ค้ำประกันและผู้ใช้/ครอบครอง) นำไปจำนำโดยที่โจทก์ไม่ทราบ Rule (กฎหมายที่ใช้): • ผู้จำนำ = บุคคลที่ได้ทำสัญญาจำนำกับผู้รับจำนำ • ผู้รับจำนำ = บุคคลที่รับทรัพย์สินไว้เป็นประกันหนี้ • บุคคลที่มิได้เป็นคู่สัญญาจำนำ หรือมิได้มีมอบอำนาจจากผู้จำนำ ไม่อาจอ้างสิทธิจากสัญญาจำนำได้ • ภายใต้ สัญญาเช่าซื้อ ผู้เช่าซื้ออาจมีสิทธิใช้สอย แต่กรรมสิทธิ์อาจยังอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าสัญญาจะสิ้นสุด Application (การใช้กฎหมายสู่ข้อเท็จจริง): • โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์และมารดาเป็นผู้ค้ำประกัน รวมทั้งใช้และครอบครองรถยนต์คันนั้น • มารดาของโจทก์เป็นผู้ที่นำรถยนต์ไปจำนำกับจำเลยโดยที่โจทก์ไม่ทราบ และโจทก์ไม่ได้ร่วมเป็นคู่สัญญาจำนำ • โจทก์ไม่มีมอบอำนาจจากมารดาให้ไถ่ถอนจำนำหรือฟ้องคดีแทน • โจทก์ยังไม่เป็นเจ้าของรถยนต์ ตามสัญญาเช่าซื้อ และได้มอบสิทธิการใช้สอยให้แก่มารดาโจทก์อย่างแท้จริง • ดังนั้น ภายใต้กฎเกณฑ์ ผู้ที่ไม่มีสถานะเป็นผู้จำนำหรือได้รับมอบอำนาจ ย่อมไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถคืนหรือใช้ราคาแทน Conclusion (บทสรุป): โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนรถยนต์หรือใช้ราคาแทน เนื่องจากไม่ใช่ผู้จำนำ ไม่ได้เป็นคู่สัญญาจำนำ และไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้จำนำ อีกทั้งมิได้เป็นเจ้าของรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อด้วย ศาลฎีกาจึงพิพากษากลับคำอุทธรณ์ ยกฟ้องโจทก์ 🧭 คำถามที่ 1: ในกรณีที่ผู้เช่าซื้อรถยนต์มอบสิทธิการใช้รถยนต์ให้มารดาโดยสิ้นเชิง และมารดานำรถยนต์ไปจำนำกับบุคคลภายนอกโดยผู้เช่าซื้อไม่ทราบเรื่อง ผู้เช่าซื้อมีสิทธิหรืออำนาจฟ้องให้ผู้รับจำนำคืนรถยนต์หรือชดใช้ราคาแทนได้หรือไม่? คำตอบ: จากข้อเท็จจริงในคดีนี้ โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อกับบริษัท น. โดยมีมารดาเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาโจทก์มอบสิทธิในการใช้สอยและครอบครองรถยนต์ให้มารดาใช้โดยสิ้นเชิง ภายหลังมารดานำรถยนต์ไปจำนำกับจำเลยเพื่อประกันหนี้ส่วนตัว โดยโจทก์ไม่ทราบเรื่องมาก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การจำนำดังกล่าวเป็นเรื่องระหว่างมารดาของโจทก์กับจำเลยเท่านั้น เนื่องจาก “สัญญาจำนำ” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 เป็นสัญญาซึ่งผู้จำนำต้องเป็น “ผู้ส่งมอบทรัพย์” ให้แก่ผู้รับจำนำเพื่อเป็นประกันหนี้ ดังนั้นผู้ที่ไม่ได้เป็นคู่สัญญาในจำนำ ย่อมไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ตามสัญญานั้นได้ อีกทั้ง โจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อ มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์ตาม มาตรา 572 เพราะกรรมสิทธิ์ในทรัพย์ยังคงอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระครบถ้วน จึงไม่อาจใช้สิทธิติดตามทรัพย์คืนตาม มาตรา 1336 ซึ่งให้สิทธิเฉพาะ “เจ้าของทรัพย์” เท่านั้น นอกจากนี้ มารดาโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ไถ่ถอนจำนำหรือฟ้องคดีแทน จึงไม่เข้าหลัก “ตัวแทนโดยมอบอำนาจ” ตาม มาตรา 797 ดังนั้น ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องให้คืนรถยนต์หรือเรียกราคาแทนได้ เพราะมิใช่เจ้าของรถยนต์ มิใช่คู่สัญญาจำนำ และไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้จำนำ กล่าวโดยสรุป ผู้เช่าซื้อที่ไม่ได้เป็นเจ้าของรถยนต์ และไม่ได้รับมอบอำนาจจากผู้จำนำ ย่อมไม่มีสิทธิฟ้องผู้รับจำนำให้ส่งมอบรถยนต์คืนหรือชดใช้ราคาแทน เพราะขาดอำนาจฟ้องตามกฎหมาย ⚖️ คำถามที่ 2: การที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง” นั้น มีเหตุผลทางกฎหมายและหลักสิทธิตามสัญญาอย่างไร และมีผลทางคดีอย่างไรต่อสิทธิของโจทก์ในฐานะผู้เช่าซื้อรถยนต์? คำตอบ: ศาลฎีกายึดหลักสำคัญของ “อำนาจฟ้อง” (standing to sue) ซึ่งเป็นเงื่อนไขแห่งสิทธิในการดำเนินคดี บุคคลจะมีอำนาจฟ้องได้ก็ต่อเมื่อเป็นผู้มีสิทธิตามกฎหมายในทรัพย์หรือสิทธิที่ถูกละเมิดเท่านั้น ตามหลักใน ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 ในคดีนี้ โจทก์มิได้เป็นเจ้าของรถยนต์ เนื่องจากตาม มาตรา 572 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ สัญญาเช่าซื้อเป็นเพียงการให้สิทธิใช้สอยและคำมั่นว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ในอนาคต กรรมสิทธิ์ในรถยนต์ยังคงเป็นของบริษัทผู้ให้เช่าซื้อจนกว่าจะชำระครบถ้วน ส่วน “การจำนำ” ตาม มาตรา 747 เป็นสัญญาที่เกิดขึ้นโดยการส่งมอบทรัพย์ระหว่างผู้จำนำกับผู้รับจำนำ ซึ่งบุคคลภายนอกไม่อาจแทรกแซงหรืออ้างสิทธิตามสัญญานั้นได้ เมื่อมารดาโจทก์เป็นผู้จำนำและไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ จึงถือว่าโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาและไม่มีสิทธิเรียกร้องใด ๆ จากจำเลย ศาลฎีกายังชี้ให้เห็นว่า แม้โจทก์จะมีส่วนร่วมชำระค่างวดเช่าซื้อกับมารดา แต่เนื่องจากโจทก์ได้มอบการใช้รถยนต์ให้มารดาโดยสิ้นเชิง จึงมิใช่ผู้ครอบครองโดยชอบ และไม่มีสิทธิติดตามทรัพย์คืนจากบุคคลภายนอกตาม มาตรา 1336 อีกด้วย ผลทางคดีคือ ศาลฎีกาพิพากษากลับคำอุทธรณ์ภาค 8 ให้ ยกฟ้องโจทก์ เพราะโจทก์ไม่มีสถานะทางกฎหมายที่จะดำเนินคดีนี้ได้ และกำหนดให้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลเป็นพับ กล่าวอีกนัยหนึ่ง หลัก “อำนาจฟ้อง” ในคดีนี้เป็นการตอกย้ำว่า บุคคลจะดำเนินคดีได้ต่อเมื่อมีสถานะเป็น “เจ้าของสิทธิ” หรือได้รับ “มอบอำนาจโดยชอบ” เท่านั้น หากเป็นเพียงผู้เกี่ยวข้องทางอ้อม เช่น ผู้เช่าซื้อหรือผู้ร่วมชำระค่างวด โดยไม่มีกรรมสิทธิ์หรืออำนาจแทน ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องทางศาลในเรื่องทรัพย์นั้นได้ สรุปภาพรวม: สองประเด็นนี้สะท้อนหลักกฎหมายพื้นฐานที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัย ได้แก่ 1️.สิทธิในการฟ้องต้องอิง “สถานะตามกฎหมายและสัญญา” ของผู้ฟ้อง 2️.สัญญาจำนำมีผลเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น บุคคลภายนอกไม่มีสิทธิอ้างสิทธิหรือดำเนินคดีแทนได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3230/2568 มารดาโจทก์เป็นผู้ใช้และครอบครองรถยนต์รวมทั้งร่วมกับโจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อด้วยกัน มารดาโจทก์นำรถยนต์พิพาทไปจำนำกับจำเลยโดยที่โจทก์ไม่ทราบเรื่อง เช่นนี้ การจำนำรถยนต์พิพาทจึงเป็นเรื่องระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจำนำรถยนต์พิพาท โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ตามสัญญาจำนำระหว่างมารดาโจทก์กับจำเลยได้ ทั้งการที่โจทก์จะขอไถ่ถอนจำนำแทนมารดาโจทก์ก็ได้ความว่ามารดาโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ไถ่ถอนแทน ในการฟ้องคดีนี้มารดาโจทก์ก็ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีแทนเช่นกัน โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากบริษัท น. ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท การที่โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทประกอบกับโจทก์ได้มอบการครอบครองและการใช้รถยนต์พิพาทให้เป็นสิทธิขาดของมารดาโจทก์ที่จะใช้สอยรถยนต์พิพาทจึงไม่มีสิทธิติดตามเอารถยนต์พิพาทคืนจากจำเลย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนรถยนต์พิพาทหรือใช้ราคา โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนให้แก่โจทก์ในสภาพเรียบร้อยและใช้การได้ดีพร้อมกับรับเงิน 40,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี จากโจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้จำเลยชดใช้ราคาแทนเป็นเงิน 379,995 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนให้แก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ แต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขก xxx สุราษฎร์ธานี คืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 285,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ 14 ธันวาคม 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป ให้ปรับเปลี่ยนลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้ตามที่พระราชกฤษฎีกาซึ่งตราขึ้นตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 (ใหม่) บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละสองต่อปี แต่ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์แทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 8,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสองศาลให้เป็นพับ จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในชั้นนี้ว่า โจทก์เป็นบุตรนางภัทรียา โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ หมายเลขทะเบียน ขก xxx สุราษฎร์ธานี กับบริษัท น. โดยมีนางภัทรียาเป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมานางภัทรียานำรถยนต์พิพาทที่เช่าซื้อไปจำนำเพื่อประกันหนี้กู้ยืมกับจำเลย โจทก์และนางภัทรียา ติดต่อขอไถ่รถยนต์คืนจากจำเลย แต่ไม่สามารถตกลงกันได้โดยฝ่ายโจทก์และนางภัทรียาจะขอไถ่ถอนจำนำในจำนวน 40,000 บาท ส่วนจำเลยจะให้โจทก์และนางภัทรียาไถ่ถอนจำนำพร้อมทรัพย์สินอื่นที่นางภัทรียานำมาประกันหนี้กู้ยืมเงินรวม 500,000 บาท โจทก์ไม่สามารถชำระค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ บริษัท น. ผู้ให้เช่าซื้อบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อและยื่นฟ้องโจทก์ผู้เช่าซื้อและนางภัทรียาผู้ค้ำประกันต่อศาลชั้นต้น และศาลชั้นต้นพิพากษาให้โจทก์ (จำเลยที่ 1) และนางภัทรียา (จำเลยที่ 2) ส่งมอบรถยนต์คันที่เช่าซื้อคืน หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 285,000 บาท คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีอำนาจฟ้องให้จำเลยส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนหรือใช้ราคาหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยรับจำนำรถยนต์พิพาทจากนางภัทรียามารดาโจทก์ในราคา 40,000 บาท และมีคำขอให้จำเลยรับเงิน 40,000 บาท และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีจากโจทก์ แล้วส่งมอบรถยนต์พิพาทคืนโจทก์ จำเลยให้การต่อสู้ว่าโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจำนำ นางภัทรียามารดาโจทก์นำรถยนต์พิพาทมาจำนำกับจำเลยในวงเงิน 300,000 บาท โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง เมื่อโจทก์กล่าวอ้าง จำเลยปฏิเสธ ภาระการพิสูจน์จึงตกแก่โจทก์ แต่ได้ความตามที่โจทก์นำสืบและเบิกความว่า นางภัทรียามารดาโจทก์เป็นผู้ใช้และครอบครองรถยนต์รวมทั้งร่วมกับโจทก์ผ่อนชำระค่าเช่าซื้อด้วยกัน นางภัทรียามารดาโจทก์นำรถยนต์พิพาทไปจำนำกับจำเลยโดยที่โจทก์ไม่ทราบเรื่อง เช่นนี้ การจำนำรถยนต์พิพาทจึงเป็นเรื่องระหว่างนางภัทรียามารดาโจทก์กับจำเลย เมื่อโจทก์ไม่ใช่คู่สัญญาจำนำรถยนต์พิพาท โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ตามสัญญาจำนำระหว่างนางภัทรียามารดาโจทก์กับจำเลยได้ ทั้งการที่โจทก์จะขอไถ่ถอนจำนำแทนนางภัทรียามารดาโจทก์ ก็ได้ความว่านางภัทรียามารดาโจทก์ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์มาไถ่ถอนแทน ในการฟ้องคดีนี้นางภัทรียามารดาโจทก์ก็ไม่ได้มอบอำนาจให้โจทก์ฟ้องคดีแทนอีกเช่นกัน โดยนางภัทรียามารดาโจทก์มาเป็นพยานโจทก์เบิกความว่า จำนำรถยนต์พิพาทกับจำเลยหลายครั้งเพื่อนำเงินไปเล่นการพนันเท่านั้น นอกจากนั้น โจทก์เป็นเพียงผู้เช่าซื้อรถยนต์พิพาทจากบริษัท น. ผู้ให้เช่าซื้อซึ่งเป็นเจ้าของรถยนต์พิพาท การที่โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์พิพาทประกอบกับโจทก์ได้มอบการครอบครองและการใช้รถยนต์พิพาทให้เป็นสิทธิขาดของนางภัทรียามารดาโจทก์ที่จะใช้สอยรถยนต์พิพาทจึงไม่มีสิทธิติดตามเอารถยนต์พิพาทคืนจากจำเลย ดังนั้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยคืนรถยนต์พิพาทหรือใช้ราคา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2530 สรุปย่อ: ในคดีนี้ โจทก์ซึ่งเป็นทายาทผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก (ผู้เช่าซื้อเดิมถึงแก่กรรม) อ้างสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์รถยนต์ตามสัญญาเช่าซื้อ แม้ว่ากรรมสิทธิ์ในรถยังอยู่กับผู้ให้เช่าซื้อ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เช่าซื้อมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ได้ และมีหน้าที่ส่งคืนรถให้ผู้ให้เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยเมื่อถึงกรณีต้องคืน ผู้เช่าซื้อจึงมีอำนาจฟ้องเมื่อมีผู้อื่นแย่งไปจากการครอบครอง ซึ่งสามารถเปรียบเทียบกับกรณี 3230/2568 ในแง่ของ “ผู้เช่าซื้อ” กับ “ผู้จำนำ/ผู้ให้ใช้” ได้ (ดูสรุปในแหล่ง: สรุปบทความ “คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6007/2530 …” เหตุที่เกี่ยวโยง: – แสดงแนวทางว่า แม้ผู้เช่าซื้อยังไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ถาวร ก็อาจมีสิทธิครอบครองและใช้ประโยชน์ (แตกต่างจากกรณี 3230/2568 ที่ผู้เช่าซื้อยอมมอบให้มารดาใช้) – เน้นประเด็น “อำนาจฟ้อง” ว่าอยู่ที่ผู้มีสิทธิครอบครองหรือไม่ 2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 386/2551 สรุปย่อ: โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อรถยนต์บรรทุก ที่แม้จะยังชำระค่าเช่าซื้อไม่ครบ กรรมสิทธิ์ยังเป็นของผู้ให้เช่าซื้อ แต่ผู้เช่าซื้อได้ครอบครองใช้ประโยชน์ รถถูกยักยอกชิ้นส่วนไป จากนั้นโจทก์ฟ้องว่าได้รับความเสียหาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้เช่าซื้อมีสิทธิครอบครองใช้ประโยชน์ตามสัญญาเช่าซื้อ จึงเป็น “ผู้เสียหาย” มีอำนาจร้องทุกข์ ดำเนินคดีได้ในฐานะผู้เสียหาย เหตุที่เกี่ยวโยง: – เน้นประเด็น “สิทธิครอบครอง” แม้ยังไม่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ สะท้อนกรณี 3230/2568 ที่โจทก์เป็นผู้เช่าซื้อ แม้จะไม่ใช่เจ้าของ – แตกต่างที่ว่าใน 386/2551 ผู้เช่าซื้อได้ใช้ครอบครองเอง ส่วนใน 3230/2568 ผู้เช่าซื้อมอบให้มารดาใช้ จึงถูกศาลวินิจฉัยว่าไม่มีสิทธิฟ้อง 3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 723/2545 สรุปย่อ: คดีนี้เป็นกรณีรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องซึ่งเป็นผู้เช่าซื้อและเป็นผู้รับมอบอำนาจจากผู้ร้องอีกท่าน กล่าวว่าตนมีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลาง แต่ศาลวินิจฉัยว่า ผู้ร้องใช้สิทธิทางศาลโดยไม่สุจริต (because มอบอำนาจให้บุคคลอื่นร้องแทน) จึงไม่มีสิทธิขอคืนรถยนต์ของกลาง เหตุที่เกี่ยวโยง: – สะท้อนประเด็น “มอบอำนาจ” และ “อำนาจฟ้อง” ว่าแม้มีสิทธิครอบครอง/เช่าซื้อ แต่อาจขาดอำนาจฟ้องหากการใช้สิทธิไม่สุจริต – เปรียบได้กับ 3230/2568 ที่โจทก์ ไม่ได้รับมอบอำนาจ จากมารดา ทำให้ศาลวินิจฉัยว่าไม่มีอำนาจฟ้อง 4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 483/2534 สรุปย่อ: จำเลยโต้ว่าโจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถยนต์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง คดีนี้ศาลอุทธรณ์ลดค่าชดเชยให้จำเลย แล้วจำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องต้องมีสิทธิเป็นเจ้าของหรือมีอำนาจฟ้องจริง มิใช่เพียงชื่อบนสัญญาเท่านั้น เหตุที่เกี่ยวโยง: – เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนด้าน “เจ้าของทรัพย์” กับ “ผู้มีอำนาจฟ้อง” ซึ่งคล้ายกับประเด็นใน 3230/2568 – ผู้เช่าซื้อไม่ใช่เจ้าของทรัพย์จริง ให้ไม่อาจฟ้องคืนทรัพย์ได้ – สามารถใช้เปรียบเทียบถึงว่า “เจ้าของกรรมสิทธิ์” มีอำนาจฟ้อง หรือต้องได้รับมอบอำนาจในกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของ 5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5704/2559 สรุปย่อ: เกี่ยวกับสัญญาเช่าซื้อ ตาม มาตรา 572 ของ ป.พ.พ. ว่าแม้ผู้ให้เช่าซื้อในขณะทำสัญญาจะไม่ได้เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์โดยตรงก็ได้ เพราะกรรมสิทธิ์โอนภายหลังการชำระเงินครบ ศาลวินิจฉัยว่า สัญญาเช่าซื้อดังกล่าวสมบูรณ์ตามกฎหมาย และผู้เช่าซื้อมีสิทธิที่อาจได้รับกรรมสิทธิ์ในอนาคต เหตุที่เกี่ยวโยง: – เป็นตัวอย่างที่ชี้ว่า “ผู้เช่าซื้อ” แม้กรรมสิทธิ์ยังไม่โอน ก็อาจได้รับสิทธิครอบครอง/ใช้ประโยชน์ ซึ่งใน 3230/2568 โจทก์ก็เป็นผู้เช่าซื้อ – แต่แตกต่างที่ว่าในคดีนั้น โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิเองแต่ส่งให้มารดาใช้ ทำให้ขาดอำนาจฟ้อง
– ช่วยเติมมุมกฎหมายสัญญาเช่าซื้อที่เป็นพื้นฐานสำหรับคดีนี้ |





.jpg)