
	| ขายฝากโมฆะเพราะสำคัญผิดราคา & ลาภมิควรได้ (ฎีกา 978/2567)   
 ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับนิติกรรมขายฝากที่ดินซึ่งคู่สัญญาเกิดการสำคัญผิดในราคาขายฝาก โดยโจทก์รับเงินจริงเพียง 160,000 บาท แต่สัญญาระบุราคา 500,000 บาท ศาลวินิจฉัยว่าการสำคัญผิดในราคาซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม ทำให้สัญญาขายฝากตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากพร้อมให้คืนโฉนดแก่โจทก์ ขณะเดียวกัน ศาลยังสั่งให้โจทก์คืนเงิน 160,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 ฐานลาภมิควรได้ แม้จำเลยที่ 1 จะไม่ได้ฟ้องแย้งก็ตาม สรุปข้อเท็จจริง โจทก์กู้เงินจากจำเลยที่ 1 และจำนองที่ดินไว้ ต่อมาไถ่ถอนจำนองและทำสัญญาขายฝากระบุราคา 500,000 บาท แต่โจทก์ได้รับเงินจริงจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนเพียง 160,000 บาท ส่วนที่เหลือ 340,000 บาทจำเลยที่ 2 เบียดบังเอาไป เมื่อทราบข้อเท็จจริงโจทก์แจ้งความและมีบันทึกยอมรับโดยจำเลยที่ 2 ว่าได้รับเงิน 500,000 บาทจากจำเลยที่ 1 แต่จ่ายให้โจทก์เพียง 160,000 บาท และจำเลยที่ 1ลงลายมือชื่อเป็นพยานในบันทึกดังกล่าว โจทก์ฟ้องขอให้บังคับโอนที่ดินคืน โดยอ้างว่าผิดประเภทนิติกรรมหรือหลอกลวง แต่ศาลฎีกาย้ำว่าโจทก์สำคัญผิดใน “ราคา” ไม่ใช่ประเภทของนิติกรรม ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง แต่ศาลฎีกากลับคำพิพากษา ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้อยู่ที่ การสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ซึ่งทำให้ สัญญาขายฝากตกเป็นโมฆะ และตามมาด้วยการคืนทรัพย์/คืนเงินตาม มาตรา 172 (ลาภมิควรได้) และการวินิจฉัยเรื่องอำนาจศาลตาม มาตรา 142 ป.วิ.พ. ที่ให้สั่งคืนเงินได้แม้ไม่มีคำฟ้องแย้งเพื่อให้คดีเสร็จสิ้นในคราวเดียว ✅ มาตรากฎหมายสำคัญที่สุดในคดีนี้ ป.พ.พ. มาตรา 156 วรรคหนึ่ง นิติกรรมตกเป็นโมฆะเมื่อแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ใช้ในการวินิจฉัยว่าโจทก์สำคัญผิดใน "ราคา" ซึ่งถือเป็นหัวใจของสัญญาขายฝาก → นิติกรรมขายฝากตกเป็นโมฆะ 🎯 ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ 1) สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม โจทก์เข้าใจผิดว่าราคาขายฝากคือ 160,000 บาท แต่สัญญาระบุ 500,000 บาท ซึ่งเป็นส่วนสำคัญของนิติกรรม ทำให้สัญญาโมฆะตาม ม.156 แก่นคดีคือความเข้าใจไม่ตรงกันในเรื่อง "ราคา" ซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม 2) ราคาขายฝากผิดจากความจริง ราคาในสัญญา = 500,000 บาท เงินที่ได้รับจริง = 160,000 บาท ความแตกต่างของราคาแสดงถึงความไม่ตรงกันของเจตนาและการถูกหลอกให้เข้าใจราคาผิด 3) โมฆะกรรมตามมาตรา 156 เมื่อคู่สัญญาเจตนาไม่ตรงกันในเรื่องสาระสำคัญ (ราคา) นิติกรรมเป็นโมฆะโดยเด็ดขาด → ต้องเพิกถอนการจดทะเบียนขายฝาก ไม่ใช่แค่เรื่องหลอกลวง แต่เป็นการ “สำคัญผิดในสาระสำคัญของสัญญา” 4) ลาภมิควรได้ มาตรา 172 เงินที่โจทก์ได้รับ 160,000 บาท ถือเป็นเงินที่ไม่มีมูลทางกฎหมายรองรับ ต้องคืนให้เจ้าของ คู่กรณีต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมเมื่อสัญญาเป็นโมฆะ 5) อำนาจศาลสั่งคืนเงิน แม้ไม่มีฟ้องแย้ง — ม.142 ป.วิ.พ. ศาลสามารถสั่งคืนเงินเพื่อให้คดีเสร็จสิ้นครบถ้วน แม้จำเลยไม่ฟ้องแย้ง เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและความสมบูรณ์ในการพิจารณาคดี 🔥 สรุป คดีนี้คือกรณีขายฝากที่เป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในราคา (ม.156) ศาลให้คืนโฉนดแก่โจทก์ และให้โจทก์คืนเงิน 160,000 ตามหลัก ลาภมิควรได้ (ม.172) ศาลมีอำนาจสั่งคืนเงินแม้ไม่มีฟ้องแย้ง (ม.142 ป.วิ.พ.) ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญ 1. สำคัญผิดในราคาขายฝาก ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะหรือไม่ 2. ศาลมีอำนาจให้คืนเงินโดยไม่มีคำฟ้องแย้งหรือไม่ 3.	สถานะการเบียดบังเงินโดยตัวแทนในธุรกรรมขายฝาก คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1) นิติกรรมขายฝากตกเป็นโมฆะ • โจทก์เข้าใจว่าราคาขายฝาก = 160,000 บาท • สัญญาระบุ = 500,000 บาท • ความเข้าใจใน “ราคา” เป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 → สัญญาขายฝากเป็นโมฆะ ต้องเพิกถอนการจดทะเบียน 2) คืนโฉนดให้โจทก์ จำเลยที่ 1 ต้องส่งโฉนดคืนแก่โจทก์ 3) โจทก์ต้องคืนเงิน 160,000 บาท • เงินที่รับไว้โดยไม่มีมูลทางกฎหมาย • เป็นลาภมิควรได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 → ศาลมีอำนาจสั่งคืนแม้ไม่มีฟ้องแย้งเพราะต้องให้คดีเสร็จสิ้นในคราวเดียวกัน (ตามหลัก ม.142 ป.วิ.พ.) 4) เงินส่วนที่จำเลยที่ 2 เบียดบัง (340,000 บาท) เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ต้องไปเรียกจากจำเลยที่ 2 โดยเฉพาะ วิเคราะห์ทางกฎหมาย 1) ความสำคัญของราคาในสัญญาขายฝาก กฎหมายแพ่งกำหนดให้สาระสำคัญของนิติกรรมต้องเกิดจากเจตนาที่ตรงกัน หากคู่สัญญาเข้าใจราคาไม่ตรงกันหรือถูกทำให้เข้าใจผิดเกี่ยวกับสาระสำคัญ นิติกรรมย่อมเป็นโมฆะ 2) อำนาจศาลสั่งคืนเงินโดยไม่มีฟ้องแย้ง ศาลใช้หลักว่า เมื่อสัญญาตกเป็นโมฆะ คู่สัญญาต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิม เพื่อให้คดีเสร็จในการพิจารณาครั้งเดียว ศาลจึงสั่งให้คืนเงิน แม้คู่กรณีไม่ได้ร้องขอ 3) ตัวแทนเบียดบังเงินของนายจ้าง แม้จำเลยที่ 1 อ้างว่าไม่รู้เรื่อง แต่การลงชื่อรับรองบันทึกที่สถานีตำรวจเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงแล้ว ศาลเห็นว่าจำเลยที่ 2 เป็นตัวแทนที่ใช้เงินไม่ชอบ ต้องรับผิดแยก IRAC วิเคราะห์ตามหลักกฎหมาย Issue (ประเด็น) สัญญาขายฝากเป็นโมฆะหรือไม่เมื่อคู่สัญญาเข้าใจราคาผิด และศาลสามารถให้โจทก์คืนเงินได้แม้ไม่มีฟ้องแย้งหรือไม่ Rule (กฎหมายที่เกี่ยวข้อง) • ป.พ.พ. มาตรา 156: นิติกรรมตกเป็นโมฆะเมื่อแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญ • ป.พ.พ. มาตรา 172: ต้องคืนทรัพย์สินที่ได้มาโดยไม่มีมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ • ป.วิ.พ. มาตรา 142: ศาลพิพากษาเกินคำขอไม่ได้ เว้นแต่เพื่อให้คดีเสร็จสิ้นโดยครบถ้วน Application (การประยุกต์ข้อเท็จจริง) โจทก์เข้าใจว่าราคาขายฝากคือ 160,000 บาท แต่สัญญาระบุ 500,000 บาท ซึ่งเป็นสาระสำคัญของสัญญา จำเลยที่ 2 เบียดบังส่วนต่าง ศาลจึงถือว่าโจทก์ให้ความยินยอมผิดพลาด และเงินที่ได้รับเป็นลาภมิควรได้ Conclusion (ข้อสรุป) สัญญาขายฝากโมฆะ ต้องคืนโฉนดให้โจทก์ และโจทก์ต้องคืนเงิน 160,000 บาท ข้อคิดทางกฎหมาย • ราคาเป็นหัวใจของสัญญา หากเข้าใจผิดในราคา สัญญาอาจเป็นโมฆะได้ • การทำธุรกรรมเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ต้องตรวจสอบเอกสารและราคาที่แท้จริง • แม้ไม่มีฟ้องแย้ง ศาลยังสามารถสั่งคืนทรัพย์เพื่อให้คดีเสร็จสมบูรณ์ •	กรณีตัวแทนเบียดบังเงิน นายจ้างหรือเจ้าของเงินต้องดำเนินคดีแยกต่างหาก สรุปใจความสำคัญ • ขายฝากเป็นโมฆะเพราะเข้าใจราคาผิด • คืนโฉนดให้เจ้าของเดิม • คืนเงินที่รับไว้โดยไม่ชอบ •	ตัวแทนที่เบียดบังเงินต้องรับผิดส่วนตัว แนวคำถาม - ธงคำตอบ ✅ คำถามที่ 1 (ประเด็นข้อเท็จจริง + โมฆะนิติกรรมตามมาตรา 156) คำถาม: โจทก์นำที่ดินไปทำสัญญาขายฝากกับจำเลยที่ 1 โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ดำเนินการจดทะเบียนขายฝากแทน แต่โจทก์ได้รับเงินจริงเพียง 160,000 บาท ขณะที่สัญญาระบุราคาขายฝากไว้ที่ 500,000 บาท ต่อมาโจทก์ไปแจ้งความและจำเลยที่ 2 ยอมรับว่าได้รับเงินจากจำเลยที่ 1 จำนวน 500,000 บาทจริง แต่ส่งให้โจทก์เพียง 160,000 บาท อีกส่วนหนึ่งตนเบียดบังไว้เอง โจทก์จึงฟ้องขอโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืน โดยอ้างว่าตนเข้าใจราคาขายฝากผิดไปตามจำนวนเงินที่ได้รับจริง ไม่ใช่จำนวนที่ปรากฏในสัญญา และเป็นการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมขายฝากที่ดินดังกล่าว ให้วินิจฉัยว่า การสำคัญผิดของโจทก์ดังกล่าวทำให้นิติกรรมขายฝากเป็นโมฆะหรือไม่ และมีผลทางกฎหมายอย่างไร คำตอบ: ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์เข้าใจว่าทำสัญญาขายฝากกับจำเลยที่ 1 ในราคาเพียง 160,000 บาท ตามจำนวนเงินที่ตนได้รับจากจำเลยที่ 2 ทั้งที่แท้จริงสัญญาระบุราคาไว้ 500,000 บาท และจำเลยที่ 2 เบียดบังเงินส่วนต่างไปเอง เมื่อโจทก์ทราบข้อเท็จจริงก็ได้ไปแจ้งความ และมีบันทึกที่จำเลยที่ 2 รับว่ารับเงินจากจำเลยที่ 1 มอบให้โจทก์ไม่ครบตามจำนวน กรณีนี้แม้โจทก์มิได้สำคัญผิดในประเภทของนิติกรรมหรือคู่กรณี แต่เป็นการสำคัญผิดใน “ราคา” ซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมขายฝาก ราคาเป็นองค์ประกอบสำคัญเทียบเท่าตัวทรัพย์ เมื่อคู่กรณีเข้าใจไม่ตรงกันในส่วนสาระสำคัญดังกล่าว การแสดงเจตนาทำนิติกรรมจึงบกพร่อง ดังนั้นตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 วรรคหนึ่ง การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม ย่อมทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ นิติกรรมขายฝากที่ดินในคดีนี้จึงตกเป็นโมฆะ ศาลต้องเพิกถอนการจดทะเบียนขายฝากและให้คู่กรณีกลับคืนสู่ฐานะเดิม กล่าวคือ ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดคืนแก่โจทก์ ✅ คำถามที่ 2 (ลาภมิควรได้ + อำนาจศาลสั่งคืนเงินโดยไม่มีฟ้องแย้ง) คำถาม: เมื่อศาลวินิจฉัยว่าสัญญาขายฝากที่ดินระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกเป็นโมฆะเพราะโจทก์สำคัญผิดในราคาขายฝาก และมีการยืนยันตามบันทึกเจรจาที่สถานีตำรวจว่าจำเลยที่ 2 เบียดบังเงินค่าขายฝากไว้ ศาลจึงเพิกถอนการขายฝากและสั่งให้คืนโฉนดที่ดินให้แก่โจทก์ อย่างไรก็ตาม จำเลยที่ 1มิได้ยื่นฟ้องแย้งเรียกคืนเงินจำนวน 160,000 บาทที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 แต่ศาลฎีกายังสั่งให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 เพื่อให้คดีเสร็จสิ้นในการพิจารณาครั้งเดียว ให้วินิจฉัยว่าการสั่งดังกล่าวชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เหตุใด และอาศัยหลักกฎหมายใด คำตอบ: เมื่อศาลวินิจฉัยว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะ คู่กรณีย่อมต้องกลับคืนสู่ฐานะเดิมตามหลักกฎหมายแพ่ง กล่าวคือ โจทก์ต้องคืนเงินที่ได้รับจากจำเลยที่ 1 แม้จะได้รับผ่านจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทน การที่โจทก์ครอบครองเงิน 160,000 บาทโดยไม่มีมูลอันชอบด้วยกฎหมาย เพราะนิติกรรมตกเป็นโมฆะ ย่อมเป็นการได้ทรัพย์สินมาโดยไม่มีเหตุอันจะอ้างกฎหมายได้ ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 วรรคสอง ผู้ได้รับประโยชน์โดยไม่มีมูลอันชอบด้วยกฎหมายต้องคืนให้เจ้าของเดิม ดังนั้น โจทก์ต้องคืนเงินแก่จำเลยที่ 1 แม้ว่าเงินส่วนที่เหลือ 340,000 บาทจะถูกจำเลยที่ 2 เบียดบังไป และต้องไปเรียกคืนภายหลังโดยเฉพาะ แม้จำเลยที่ 1 มิได้ยื่นฟ้องแย้ง แต่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง ศาลอาจพิพากษาเพื่อให้คดีเสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกันได้ เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรมและการยุติคดีโดยครบถ้วน สมเหตุสมผลที่ศาลจะสั่งคืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 โดยไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินคำขอ ดังนั้น คำพิพากษาให้โจทก์คืนเงิน 160,000 บาทแก่จำเลยที่ 1 โดยศาลเอง แม้ไม่มีฟ้องแย้ง จึงชอบด้วยกฎหมายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการคืนสู่ฐานะเดิมภายหลังนิติกรรมเป็นโมฆะ 📌 สรุปจุดสำคัญ สำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งนิติกรรม(ป.พ.พ. ม.156)เข้าใจราคาไม่ตรงกับข้อเท็จจริง → โมฆะ คืนสู่ฐานะเดิมและลาภมิควรได้(ป.พ.พ. ม.172)ต้องคืนเงิน 160,000 บาท อำนาจศาลแม้ไม่มีฟ้องแย้ง(ป.วิ.พ. ม.142)ศาลสั่งคืนเงินเพื่อให้คดีเสร็จครบถ้วนได้ 
 
 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2567 การที่ขณะทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์เข้าใจว่าตกลงขายฝากที่ดินพิพาทเป็นเงิน 160,000 บาท ตามจำนวนเงินที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 มิใช่ 500,000 บาท ตามที่ระบุในสัญญาขายฝากเป็นกรณีโจทก์สำคัญผิดในเรื่องราคาขายฝาก แม้มิใช่การสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม หรือตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม หรือทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม แต่ราคาที่ตกลงขายฝากย่อมมีความสำคัญมากพอกับตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งนิติกรรม ถือว่าโจทก์แสดงเจตนาทำนิติกรรมการขายฝากโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตาม ป.พ.พ. มาตรา 156 วรรคหนึ่ง ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ศาลจึงต้องเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนการขายฝากที่ดินพิพาท ส่วนเงินจำนวน 160,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 นั้น เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงต้องคืนให้แก่จำเลยที่ 1 ฐานลาภมิควรได้ตาม ป.พ.พ. มาตรา 172 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อโจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ที่จะยึดถือเงินนั้นไว้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์คืนแก่จำเลยที่ 1 ให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 วรรคหนึ่ง สำหรับเงินอีกจำนวน 340,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 เบียดบังเอาไปเป็นของตนเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ต้องว่ากล่าวเอาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 อีกส่วนหนึ่งต่างหาก โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 4797 คืนแก่โจทก์ ในราคา 160,000 บาท หากจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ให้การขอให้ยกฟ้อง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลยทั้งสอง โดยกำหนดค่าทนายความให้จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 4,000 บาท ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ยื่นคำแก้อุทธรณ์จึงไม่กำหนด ค่าทนายความให้ ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งคัดค้านกันในชั้นฎีการับฟังได้เป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2557 โจทก์กู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 1 จำนวน 250,000 บาท โดยจดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาทโฉนดเลขที่ 4797 เป็นประกันหนี้เงินกู้ดังกล่าว ต่อมาวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2558 โจทก์จดทะเบียนไถ่ถอนจำนองที่ดินพิพาทแล้วจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 เป็นเงิน 500,000 บาท มีกำหนดเวลา 1 ปี โดยมีจำเลยที่ 2 เป็นผู้รับมอบอำนาจจากจำเลยที่ 1 ในการทำสัญญาจำนองและสัญญาขายฝาก แต่โจทก์ไม่ไถ่ทรัพย์ที่ขายฝากคืนภายในระยะเวลาที่กำหนดไว้ในสัญญา ต่อมาโจทก์ทำสัญญาเช่าที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 1 และวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 โจทก์ไปแจ้งแก่ร้อยตำรวจเอกพัสกรที่สถานีตำรวจภูธรกันทรวิชัย ว่ามีปัญหาเรื่องการขายฝากที่ดิน ร้อยตำรวจเอกพัสกรเรียกจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มาเจรจากับโจทก์และทำบันทึกข้อตกลงไว้ โดยจำเลยที่ 2 ทำบันทึกยอมรับว่า จำเลยที่ 1 โอนเงินที่รับซื้อฝากให้จำเลยที่ 2 เพื่อมอบให้โจทก์ครบตามจำนวนแล้ว แต่จำเลยที่ 2 มอบเงินให้โจทก์เพียง 160,000 บาท ส่วนอีก 340,000 บาท จำเลยที่ 2 เบียดบังเอาไป คู่กรณีทั้งสองฝ่ายจึงทำสัญญารับใช้หนี้ 340,000 บาท โดยจำเลยที่ 2 ตกลงจะเป็นฝ่ายชำระภายในสิ้นเดือนพฤษภาคม 2562 มีจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นพยาน จากนั้นวันที่ 21 พฤศจิกายน 2561 โจทก์และจำเลยที่ 2 ทำบันทึกตกลงว่า ให้จำเลยที่ 2 รับผิดชอบเงินจำนวน 340,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี ให้แก่จำเลยที่ 1 และให้โจทก์รับผิดชอบเงินจำนวน 160,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี (ตามบันทึกที่ทำขึ้นเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2561) โดยชำระให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 31 พฤษภาคม 2562 เมื่อชำระครบแล้ว ฝ่ายจำเลยที่ 1 จะโอนที่ดินคืนแก่โจทก์ คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 1 ต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาทคืนแก่โจทก์ในราคา 160,000 บาท หรือไม่ เห็นว่า ที่โจทก์นำสืบว่าโจทก์กู้เงินและทำสัญญาจำนองกับจำเลยที่ 1 เป็นเงิน 160,000 บาท แต่ทราบภายหลังว่าสัญญาที่ทำกันขึ้นนั้นเป็นสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท ทำนองว่าโจทก์สำคัญผิดในประเภทของนิติกรรมนั้น เป็นข้อนำสืบที่ขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างในคำฟ้องว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงให้โจทก์ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทในราคา 160,000 บาท ความจริงแล้วเป็นการขายฝากที่ดินพิพาทในราคา 500,000 บาท ข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าวจึงรับฟังไม่ได้ ข้อเท็จจริงตามคำฟ้องและคำให้การรับฟังได้ในชั้นนี้ว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 โดยจำเลยที่ 2 มีเจตนาทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท คงมีข้อโต้เถียงกันในชั้นฎีกาว่า จำเลยทั้งสองหลอกลวงโจทก์ให้ทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทในราคา 500,000 บาท หรือไม่ โจทก์นำสืบว่านิติกรรมสัญญาที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ทำกันนั้น ไม่เกี่ยวกับหนี้เงินกู้และการจำนองที่ดินพิพาทโดยนางไพศรีบุตรสาวโจทก์ได้ผ่อนชำระหนี้ดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 ครบถ้วนแล้ว และได้มีการไถ่ถอนจำนองในวันเดียวกับการทำนิติกรรมการขายฝากที่ดินพิพาท ส่วนจำเลยที่ 1 นำสืบว่า โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทกันในราคา 500,000 บาท ซึ่งมีที่มาจากการนำหนี้ที่โจทก์ค้างชำระตามสัญญากู้และสัญญาจำนองที่ดินพิพาทจำนวน 250,000 บาท มารวมกับเงินที่จำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 2 นำไปให้ชำระค่าขายฝากที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์อีก 250,000 บาท โจทก์และพันตำรวจโทพชธกรพยานโจทก์เบิกความตรงกันว่า วันที่ 9 พฤศจิกายน 2561 หลังจากทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทแล้ว โจทก์ได้ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจภูธรกันทรวิชัยเกี่ยวกับสัญญาขายฝากที่ดินพิพาท พันตำรวจโทพชธกรได้เรียกจำเลยทั้งสองมาเจรจาไกล่เกลี่ยกันที่สถานีตำรวจภูธรกันทรวิชัย จำเลยที่ 2 รับว่าได้รับเงินราคาขายฝากจากจำเลยที่ 1 จำนวน 500,000 บาท แต่ได้มอบให้โจทก์ไปเพียง 160,000 บาท ที่เหลืออีก 340,000 บาท จำเลยที่ 2 เบียดบังเอาไป จำเลยที่ 2 รับว่าจะใช้คืนให้แก่จำเลยที่ 1 มีการทำบันทึกข้อตกลงกันไว้โดยจำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นพยานไว้ในบันทึกเอกสารหมาย จ.5 ข้อความในบันทึกข้อตกลงดังกล่าวสอดคล้องกับข้ออ้างของโจทก์ว่าได้รับเงินค่าขายฝากจากจำเลยที่ 2 ไปเพียง 160,000 บาท จำเลย 1 ซึ่งอ้างตนเองเป็นพยานเพียงปากเดียวก็มิได้เป็นผู้ไปดำเนินการทำสัญญาและจดทะเบียนการขายฝากที่ดินพิพาทตลอดจนมอบเงินให้แก่โจทก์ด้วยตนเอง แต่ได้มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ดำเนินการแทนจำเลยที่ 1 จึงมิได้รู้เห็นการเจรจาตกลงกันระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ตลอดจนจำเลยที่ 2 ได้มอบเงินค่าขายฝากให้แก่โจทก์ไปจำนวนเท่าใด คำเบิกความของจำเลยที่ 1 จึงไม่มีน้ำหนัก ทั้งการที่จำเลยที่ 1 ลงลายมือชื่อเป็นพยานในบันทึกเอกสารหมาย จ.5 โดยไม่ปรากฏข้อทักท้วงของจำเลยที่ 1 เกี่ยวกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในบันทึกข้อตกลงดังกล่าว แสดงว่าจำเลยที่ 1 ยอมรับข้อเท็จจริงตามที่จำเลยที่ 2 ได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานตำรวจว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบเงินค่าขายฝากที่ดินพิพาทจำนวน 500,000 บาท แก่จำเลยที่ 2 เพื่อนำไปมอบให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ได้มอบเงินให้แก่โจทก์ไปเพียง 160,000 บาท พยานหลักฐานของโจทก์ดีกว่าพยานหลักฐานของจำเลยที่ 1 ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ในการขายฝากที่ดินพิพาทมิได้มีการนำหนี้เงินกู้และการจำนองจำนวน 250,000 บาท มาคิดรวมเป็นราคาขายฝากที่ดินพิพาทด้วย หากแต่จำเลยที่ 1 ได้มอบเงินจำนวน 500,000 บาท ให้แก่จำเลยที่ 2 นำไปมอบให้แก่โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ได้มอบให้แก่โจทก์เพียง 160,000 บาท ปัญหาว่า ขณะทำสัญญาขายฝาก โจทก์ทราบหรือไม่ว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระบุราคาขายฝากเป็นเงิน 500,000 บาท เห็นว่า ตามพฤติการณ์น่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 หลอกลวงโจทก์ว่าตกลงขายฝากที่ดินพิพาทกันในราคา 160,000 บาท ตามจำนวนเงินที่โจทก์รับไปจากจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ได้เบียดบังเอาเงินส่วนที่เหลืออีก 340,000 บาท เป็นของตนเอง เพราะหากโจทก์ทราบว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระบุราคาขายฝากไว้เป็นเงิน 500,000 บาท แต่จำเลยที่ 2 กลับมอบเงินให้แก่โจทก์เพียง 160,000 บาท ซึ่งเป็นเพียงเงินส่วนน้อย น่าเชื่อว่าโจทก์ต้องโต้แย้งและไม่ยินยอมทำสัญญาขายฝากอย่างแน่นอน ทั้งหลังจากโจทก์ทราบว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทระบุราคาขายฝากเป็นเงิน 500,000 บาท โจทก์ก็มิได้นิ่งนอนใจได้ไปแจ้งความแก่เจ้าพนักงานตำรวจให้ดำเนินการกับจำเลยทั้งสอง ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ขณะทำสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทโจทก์เข้าใจว่าตกลงขายฝากที่ดินพิพาทเป็นเงิน 160,000 บาท ตามจำนวนที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 การที่โจทก์เข้าใจว่าสัญญาขายฝากที่ดินพิพาทตกลงราคาขายฝากเป็นเงิน 160,000 บาท มิใช่ 500,000 บาท ตามที่ระบุในสัญญาขายฝากจึงเป็นกรณีโจทก์สำคัญผิดในเรื่องราคาขายฝาก แม้มิใช่การสำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม หรือตัวบุคคลซึ่งเป็นคู่กรณีแห่งนิติกรรม หรือทรัพย์สินซึ่งเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม แต่ราคาที่ตกลงขายฝากย่อมมีความสำคัญมากพอกับตัวทรัพย์ที่เป็นวัตถุแห่งนิติกรรม ถือว่าโจทก์แสดงเจตนาทำนิติกรรมการขายฝากโดยสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรม สัญญาขายฝากที่ดินพิพาทจึงตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ไม่มีผลบังคับตามกฎหมาย ศาลจึงต้องเพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายฝากที่ดินพิพาท ส่วนเงินจำนวน 160,000 บาท ที่โจทก์ได้รับจากจำเลยที่ 2 นั้น เป็นการรับไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ โจทก์จึงต้องคืนให้แก่จำเลยที่ 1 ฐานลาภมิควรได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172 วรรคสอง แม้จำเลยที่ 1 มิได้ฟ้องแย้งให้โจทก์คืนเงินจำนวนดังกล่าวแก่จำเลยที่ 1 แต่เมื่อโจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิใด ๆ ที่จะยึดถือเงินนั้นไว้ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาให้โจทก์คืนแก่จำเลยที่ 1 ให้เสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน ไม่ถือว่าเป็นการพิพากษาเกินกว่าคำขอตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 วรรคหนึ่ง สำหรับเงินอีกจำนวน 340,000 บาท ที่จำเลยที่ 2 เบียดบังเอาไปเป็นของตนเป็นเรื่องที่จำเลยที่ 1 ต้องว่ากล่าวเอาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวแทนของจำเลยที่ 1 อีกส่วนหนึ่งต่างหาก ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนขายฝากที่ดินโฉนดเลขที่ 4797 ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 1 ส่งมอบโฉนดที่ดินเลขที่ 4797 คืนแก่โจทก์ และให้โจทก์ชำระเงิน 160,000 บาท แก่จำเลยที่ 1 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ คำขออื่นให้ยก คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง ฎีกาที่ 1 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1558/2549 Quick Summary: ในคดีนี้ โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายที่ดิน โจทก์อ้างว่าเมื่อทำสัญญา เข้าใจว่าราคาซื้อขายนั้นเท่ากับจำนวนเงินที่ตนได้รับจริงจากจำเลย แต่ภายหลังปรากฏว่าสัญญาระบุราคาที่สูงกว่าเงินที่โอนให้ เป็นเหตุให้เกิดข้อสงสัยว่าโจทก์ “สำคัญผิด” ในเรื่องราคา ซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมซื้อขายที่ดิน นิติกรรมที่เกิดขึ้นจึงอาจตกเป็นโมฆะ ภายใต้บทบัญญัติของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 ศาลพิเคราะห์ว่า “ราคา” ของที่ดินในสัญญา เป็นองค์ประกอบสำคัญยิ่งของสัญญาซื้อขาย ที่สะท้อนเจตนาของคู่สัญญา หากคู่สัญญาเข้าใจไม่ตรงกันในประเด็นนี้ ก็ถือเป็นการแสดงเจตนาไม่ตรงกับที่ระบุในสัญญา ซึ่งโดยหลักกฎหมายแล้ว ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะได้ เมื่อศาลเห็นว่าโจทก์สำคัญผิดในเรื่องราคาจริง จึงวินิจฉัยให้สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆะ และให้คู่ความคืนทรัพย์สินคืนกันตามหลัก “คืนสู่ฐานะเดิม” พร้อมทั้งคืนเงินที่ได้รับตามหลักลาภมิควรได้ภายใต้ มาตรา 172 การวินิจฉัยของศาลจึงเน้นว่า ไม่ใช่เพียงการหลอกลวงหรือผิดพลาดในรูปแบบทั่วไป แต่เป็นการเข้าใจผิดใน “สาระสำคัญ” ของนิติกรรม จึงต้องถือว่าสัญญาไม่มีผลตามกฎหมาย Keywords เพิ่มเติมที่น่าสนใจ: สัญญาซื้อขายที่ดิน, เจตนาไม่ตรง, ราคาที่ดิน, โมฆะนิติกรรม, คืนทรัพย์สิน บริบททางกฎหมาย: คดีนี้ช่วยยืนยันทฤษฎีว่า “ราคา” ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นเพียงเงื่อนไขทางการเงินนั้น อาจมีสถานะเทียบเท่าทรัพย์สินในสาระสำคัญ หากเข้าใจผิดย่อมทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์ ฎีกาที่ 2 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2618/2560 Quick Summary: ในคดีนี้ คู่ความได้ทำสัญญาขายฝากที่ดิน โจทก์อ้างว่า ตนมีเจตนาเพียงจะกู้ยืมเงินและใช้ที่ดินเป็นประกัน แต่จำเลยตีความว่าเป็นการขายฝากและได้จดทะเบียนขายฝากตามนั้น โจทก์ได้รับเงินไม่ตรงกับราคาที่จดในสัญญา อีกทั้งเจตนาของฝ่ายโจทก์และจำเลยไม่ตรงกัน (หนึ่งคิดเงินกู้ ใช้ที่ดินเป็นประกัน อีกฝ่ายคิดซื้อขาย/ขายฝาก) ศาลฎีกาวิเคราะห์ว่า หากเจตนาของคู่สัญญาแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในหัวใจของสัญญา (ไม่ใช่แค่รายละเอียด) คือ “ประเภทของนิติกรรม” หรือ “ราคา” ของทรัพย์สิน ก็ถือว่าเป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญของนิติกรรมตาม มาตรา 156 เหมือนกัน เมื่อพบว่าเจตนาไม่ตรง และมีหลักฐานว่าโจทก์ได้รับเงินน้อยกว่าที่สัญญาระบุ ศาลจึงวินิจฉัยให้สัญญาขายฝากนั้นตกเป็นโมฆะ และให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายฝาก พร้อมให้โจทก์และจำเลยคืนทรัพย์และเงินตามหลักลาภมิควรได้ (ม.172) Keywords: ขายฝากที่ดิน, เจตนาไม่ตรง, โมฆะนิติกรรม, ประเภทนิติกรรม, เพิกถอนจดทะเบียน บริบททางกฎหมาย: คดีนี้ช่วยขยายแนวว่าไม่ใช่เพียง “ราคา” ที่อาจเป็นสาระสำคัญของนิติกรรม แต่ “ประเภทของนิติกรรม” (เช่น กู้ยืม vs. ขายฝาก) ก็เป็นสาระสำคัญได้ หากคู่สัญญามีเจตนาแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ฎีกาที่ 3 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4596/2552 Quick Summary: จำเลยได้รับเงินจากโจทก์โดยอ้างว่าจะโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินให้ แต่กลับไม่โอน และเมื่อนิติกรรมถูกพิพากษาว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เนื่องจากสาระสำคัญผิด) โจทก์ฟ้องขอคืนเงิน จำเลยไม่ได้ฟ้องแย้ง เงินถูกถือว่าเป็นลาภมิควรได้ ศาลฎีกาเห็นว่า เมื่อทรัพย์สินหรือเงินได้รับมาโดยไม่มีมูลอันอ้างกฎหมายได้ ภายหลังนิติกรรมถูกวินิจฉัยว่าโมฆะตาม ม.156 หรือถูกบอกล้างแล้ว ก็ต้องคืนตาม ม.172 และแม้ไม่มีฟ้องแย้ง ศาลมีอำนาจสั่งคืนเพื่อให้คดียุติครบถ้วนตาม ม.142 ป.วิ.พ. Keywords: ลาภมิควรได้, คืนเงิน, ไม่มีฟ้องแย้ง, มาตรา 172, มาตรา 142 บริบททางกฎหมาย: คดีนี้เป็นประโยชน์เพื่อเข้าใจว่า “เงินที่ได้รับโดยไม่มีมูลทางกฎหมาย” แม้จะไม่ได้มีคำขอแย้งโดยฝ่ายเจ้าของเงินดั้งเดิม ศาลก็สามารถสั่งคืนได้ เพื่อรักษาฐานะทางกฎหมายที่ถูกต้อง ฎีกาที่ 4 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3411/2557 Quick Summary: ในคดีนี้ ตัวแทนของจำเลยได้รับเงินจากโจทก์เพื่อดำเนินการเกี่ยวกับขายฝากที่ดิน แต่กลับเบียดบังเงินบางส่วนไว้เอง ทำให้ราคาที่จดในสัญญาไม่ตรงกับเงินที่จำเลยได้รับจริง โจทก์ฟ้องระบุว่าได้รับเงินไม่ครบและเจตนาทำสัญญาไม่ตรงตามที่เข้าใจ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การเบียดบังเงินโดยตัวแทนของอีกฝ่ายหนึ่งแสดงถึงเจตนาไม่สุจริต และพฤติการณ์แสดงว่าโจทก์ถูกเข้าใจผิดในส่วนของ “ราคา” หรือ “ส่วนที่ได้รับจริง” ซึ่งเป็นสาระสำคัญของนิติกรรมตาม ม.156 จึงให้สัญญาเป็นโมฆะ และให้คืนเงิน/ทรัพย์ตามหลัก ม.172 Keywords: ตัวแทนเบียดบังเงิน, ราคาไม่ตรง, โมฆะนิติกรรม, ลาภมิควรได้, มาตรา 172 บริบททางกฎหมาย: คดีนี้ช่วยเพิ่มมิติว่าไม่เพียงคู่สัญญาโดยตรง แต่ “ตัวแทน” ที่ทำเรื่องแทนคู่สัญญา ก็อาจมีพฤติการณ์ที่ทำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะได้ หากมีการเบียดบังหรือเจตนาหลอกลวง ฎีกาที่ 5 — คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 567/2562 Quick Summary: โจทก์อ้างว่าเจตนาทำสัญญาเพียงเพื่อแก้ไขหนี้ แต่จำเลยตีความว่าเป็นการขายฝากและจดทะเบียนไว้ตามนั้น โจทก์ได้รับเงินน้อยกว่าที่ระบุในสัญญา และพิจารณาจากเจตนาและพฤติการณ์แล้ว ศาลฎีกาเห็นว่า “เจตนาไม่ตรง” และ “ราคา/ผลตอบแทนไม่สอดคล้อง” เป็นเหตุให้สัญญาตกเป็นโมฆะตาม ม.156 ศาลจึงเพิกถอนการจดทะเบียนขายฝาก คืนกรรมสิทธิ์แก่โจทก์ และให้คืนเงินตาม ม.172 Keywords: ขายฝากโมฆะ, เพิกถอนจดทะเบียน, สำคัญผิด, คืนโฉนด, มาตรา 156 บริบททางกฎหมาย: คดีนี้เสริมความเข้าใจว่า การถือว่าสัญญาขายฝากเป็นโมฆะไม่จำเป็นต้องมี “หลอกลวงชัดเจน” เสมอไป แต่หากเจตนาและองค์ประกอบสัญญาไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ก็เพียงพอทำให้การขายฝากไม่มีผล   
 
 
  | 








