
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1759/2568: ขอบเขตความรับผิดตามคำพิพากษาเดิม และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใหม่
ขอบเขตความรับผิดตามคำพิพากษาเดิม และสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายใหม่ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องคดีผู้บริโภคที่โจทก์เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระค่าเสียหายจากสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ โดยอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่กำหนดให้ส่งมอบรถคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี แต่โจทก์เรียกค่าเสียหายเพิ่มเติมเป็นค่าเสื่อมราคา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยต้องรับผิดเฉพาะค่าเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่จากการคืนรถในสภาพไม่เรียบร้อยเท่านั้น ไม่รวมค่าเสียหายเกินกว่าที่กำหนดไว้ในคำพิพากษาเดิม พร้อมทั้งแก้ไขอัตราดอกเบี้ยผิดนัดให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ ✅ ข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์เคยฟ้องบริษัท บ. และจำเลยให้ส่งมอบรถยนต์เช่าซื้อคืนตามสัญญา หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน 1,069,520 บาท •ศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาให้ส่งมอบรถในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี •ต่อมาโจทก์ได้รับรถคืนและขายทอดตลาดได้ราคา 233,644.86 บาท •บริษัท บ. สิ้นสภาพนิติบุคคล โจทก์จึงฟ้องจำเลยให้ชำระค่าเสียหายส่วนต่าง 835,875 บาท •ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดให้จำเลยชำระเงิน 369,900 บาท •โจทก์ฎีกา เรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเป็น 419,474.20 บาท คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1.จำเลยรับผิดเฉพาะมูลหนี้จากคำพิพากษาเดิม 1.1 โจทก์ไม่ได้ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาเช่าซื้อโดยตรง 1.2 มูลหนี้ที่เรียกร้องต้องเป็นไปตามคำพิพากษาเดิมที่กำหนดให้ส่งรถคืนในสภาพเรียบร้อย 1.3 ค่าเสียหายที่เรียกร้องเพิ่ม (419,474.20 บาท) ไม่ใช่ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่ 2.การกำหนดค่าเสียหายเกินกว่าคำพิพากษาเดิมไม่ชอบ 2.1 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 9 กำหนดค่าเสียหายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์จากเงินลงทุนของโจทก์ ไม่ใช่จากสภาพรถยนต์ตามคำพิพากษาเดิม 2.2 ศาลฎีกาแก้ไขให้จำเลยรับผิดเพียง 100,000 บาท เป็นค่าเสียหายจากการคืนรถในสภาพไม่เรียบร้อย 3.ปรับอัตราดอกเบี้ยให้เป็นไปตามกฎหมายใหม่ oอัตราดอกเบี้ยผิดนัดหลังวันที่ 11 เมษายน 2564 ต้องเป็น 5% ต่อปี บวก 2% (ไม่เกิน 7.5%) ตามพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. 📌 ประเด็นกฎหมายที่สำคัญ 1. ขอบเขตของมูลหนี้ตามคำพิพากษาเดิม •การเรียกร้องค่าเสียหายเพิ่มเติมต้องเป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่หลังคำพิพากษาเดิม •หากเกินไปจากที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเดิม จำเลยไม่ต้องรับผิด 2. สิทธิของศาลฎีกาในการยกประเด็นขึ้นวินิจฉัยเอง •แม้ไม่มีคู่ความอุทธรณ์หรือฎีกา แต่ศาลฎีกามีอำนาจยกปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง •เป็นการคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142(5) และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค มาตรา 7 3. การปรับอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายใหม่ •ดอกเบี้ยผิดนัดต้องเป็นไปตามอัตราที่กฎหมายกำหนด ณ เวลาที่ถึงกำหนดชำระ •พระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติม ป.พ.พ. พ.ศ. 2564 กำหนดให้อัตราดอกเบี้ยผิดนัดเป็น 5% + 2% และปรับเปลี่ยนได้โดยพระราชกฤษฎีกา 📚 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย •คู่ความไม่สามารถเรียกร้องค่าเสียหายเกินกว่ามูลหนี้ที่คำพิพากษาเดิมกำหนด เว้นแต่เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่ •ศาลฎีกาสามารถยกประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเอง เพื่อให้คำพิพากษาเป็นไปตามกฎหมายอย่างถูกต้อง •การคำนวณดอกเบี้ยต้องพิจารณากฎหมายที่มีผลใช้บังคับ ณ เวลาที่ถึงกำหนดชำระ เพื่อให้สอดคล้องกับกฎหมายปัจจุบัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1759/2568 คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยอำนาจแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาให้จำเลยต้องร่วมกับบริษัท บ. คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ดังนั้น หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว หากรถยนต์ที่เช่าซื้อที่คืนโจทก์ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดีก็เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีอำนาจแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในความเสียหายตามที่กำหนดในคำพิพากษาเท่านั้น ไม่อาจอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเรียกร้องค่าเสียหายอื่น ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าเสื่อมราคารถอีกเป็นเงิน 419,474.20 บาท จึงมิใช่ค่าเสียหายที่อาศัยมูลหนี้ที่เกิดขึ้นใหม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสื่อมราคารถตามที่โจทก์ฎีกา
ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อนำเงินที่โจทก์ได้รับทั้งหมดมาหักกับราคาที่แท้จริงที่โจทก์ใช้เงินลงทุนไป จำเลยจึงต้องชำระค่าขาดราคารถเป็นเงิน 369,900 บาท และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนนั้น เป็นการกำหนดค่าเสียหายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์จากเงินลงทุนของโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ มิใช่การกำหนดค่าเสียหายจากสภาพของรถยนต์ที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีว่ามีความชำรุดทรุดโทรมเสียหายอย่างไร จึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายที่เกินเลยจากมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดตามที่กำหนดในคำพิพากษาในคดีก่อน เป็นการพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าความรับผิดตามกฎหมาย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์และฎีกา แต่ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดตรงตามคำฟ้องและตามกฎหมายเพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 เมื่อโจทก์ฟ้องมาด้วยว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นเสื่อมโทรมจากการใช้งานโดยไม่ดูแลเอาใจใส่ของผู้เช่าซื้อ จึงพออนุโลมได้ว่า เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดี
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 835,875 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 369,900 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าวนับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 กันยายน 2563) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 9 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นนี้ฟังได้ว่า ก่อนคดีนี้โจทก์ฟ้องบริษัท บ. และจำเลยให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันต่อศาลจังหวัดมีนบุรี เป็นคดีหมายเลขดำที่ ผบ.10530/2553 และศาลจังหวัดมีนบุรีมีคำพิพากษาเป็นคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.14763/2553 ให้บริษัท บ. และจำเลยร่วมกันส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ร่วมกันใช้ราคาแทนเป็นเงิน 1,069,520 บาท แต่บริษัท บ. และจำเลยเพิกเฉย ต่อมาวันที่ 13 มีนาคม 2556 โจทก์ได้รับรถยนต์ที่เช่าซื้อกลับคืนมาและนำออกขายทอดตลาดได้ในราคา 233,644.86 บาท ต่อมาบริษัท บ. สิ้นสภาพนิติบุคคล โจทก์ฟ้องเฉพาะจำเลยให้ชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงิน 835,875 บาท ซึ่งเป็นส่วนต่างระหว่างราคารถใช้แทนกับราคารถที่ได้จากการขายทอดตลาดพร้อมดอกเบี้ย ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อนำเงินที่โจทก์ได้รับทั้งหมดมาหักกับราคาที่แท้จริงที่โจทก์ใช้เงินลงทุนไปจำเลยจึงต้องชำระค่าขาดราคารถเป็นเงิน 369,900 บาท ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืน ที่โจทก์ฎีกาว่า หากนำมาหักราคาใช้แทนตามที่ศาลจังหวัดมีนบุรีกำหนดให้ก็ยังขาดค่าเสื่อมราคาอยู่อีก 419,474.20 บาท และขอให้จำเลยชำระเงิน 835,875 บาท แก่โจทก์ คดีจึงมีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยต้องรับผิดในค่าเสื่อมราคา 419,474.20 บาทแก่โจทก์ หรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์มิได้ฟ้องจำเลยให้รับผิดตามสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกัน แต่ฟ้องให้จำเลยรับผิดโดยอาศัยอำนาจแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนที่พิพากษาให้จำเลยต้องร่วมกับบริษัท บ. คืนรถยนต์ที่เช่าซื้อในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี ดังนั้น หลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว หากรถยนต์ที่เช่าซื้อที่คืนโจทก์ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยใช้การได้ดีก็เป็นความเสียหายที่เกิดขึ้นใหม่ โจทก์จึงมีอำนาจแห่งมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเรียกร้องให้จำเลยรับผิดในความเสียหายอันเกิดจากการคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีตามที่กำหนดในคำพิพากษาเท่านั้น โจทก์ไม่อาจอาศัยมูลหนี้ตามคำพิพากษาในคดีก่อนเรียกร้องค่าเสียหายอื่นนอกจากที่กำหนดในคำพิพากษา ที่โจทก์ฎีกาขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเป็นค่าเสื่อมราคารถอีกเป็นเงิน 419,474.20 บาท จึงมิใช่ค่าเสียหายที่อาศัยมูลหนี้ที่เกิดขึ้นใหม่ ตามที่กำหนดในคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ผบ.14763/2553 ของศาลจังหวัดมีนบุรี จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดในค่าเสื่อมราคารถตามที่โจทก์ฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
อนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า เมื่อนำเงินที่โจทก์ได้รับทั้งหมดมาหักกับราคาที่แท้จริงที่โจทก์ใช้เงินลงทุนไป จำเลยจึงต้องชำระค่าขาดราคารถเป็นเงิน 369,900 บาท และศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษายืนนั้น เห็นว่า เป็นการกำหนดค่าเสียหายโดยคำนึงถึงผลประโยชน์จากเงินลงทุนของโจทก์ตามสัญญาเช่าซื้อ มิใช่การกำหนดค่าเสียหายจากสภาพของรถยนต์ที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีว่ามีความชำรุดทรุดโทรมเสียหายอย่างไร จึงเป็นการกำหนดค่าเสียหายนอกเหนือจากมูลหนี้ที่อาศัยอำนาจแห่งมูลหนี้ที่กำหนดในคำพิพากษาในคดีก่อน จึงไม่ชอบ การกำหนดค่าเสียหายที่เกินเลยจากมูลหนี้ที่จำเลยต้องรับผิดตามที่กำหนดในคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นการพิพากษาให้จำเลยรับผิดเกินกว่าความรับผิดตามกฎหมาย แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดอุทธรณ์และฎีกา แต่ปัญหาว่าจำเลยจะต้องรับผิดตรงตามคำฟ้องและตามกฎหมายเพียงใด เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาเห็นสมควรยกขึ้นวินิจฉัยเพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 เมื่อโจทก์ฟ้องมาด้วยว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อนั้นเสื่อมโทรมจากการใช้งานโดยไม่ดูแลเอาใจใส่ของผู้เช่าซื้อ จึงพออนุโลมได้ว่า เป็นการฟ้องเรียกค่าเสียหายที่เกิดจากการคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดี เมื่อได้ความจากพยานโจทก์ปากนายอภิรมย์ ผู้รับมอบอำนาช่วงโจทก์เบิกความประกอบใบส่งมอบและตรวจสภาพรถยนต์ว่า เมื่อตรวจสอบสภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อที่โจทก์ได้รับกลับคืนมาแล้วปรากฏว่า กันชนหน้ามีรอยสีแตก ประตูมีรอยขีดข่วน เบาะคนขับมีรอยไฟบุหรี่ สภาพรถยนต์ที่เช่าซื้อจึงไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีตามที่กำหนดในคำพิพากษา เมื่อคำนึงถึงสภาพความเสียหายดังกล่าวแล้วเห็นสมควรกำหนดค่าเสียหายอันเนื่องจากการคืนรถยนต์ที่ไม่อยู่ในสภาพที่เรียบร้อยและใช้การได้ดีแก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท นอกจากนี้ ระหว่างการพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค 9 ได้มีการตราพระราชกำหนดแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ พ.ศ. 2564 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 โดยมาตรา 3 และมาตรา 4 แห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวบัญญัติให้ยกเลิกความในมาตรา 7 และมาตรา 224 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และให้ใช้ความใหม่แทน เป็นผลให้ดอกเบี้ยผิดนัดปรับเปลี่ยนจากอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี เป็นอัตราร้อยละ 5 ต่อปี หรืออัตราดอกเบี้ยใหม่ที่อาจปรับเปลี่ยนให้ลดลงหรือเพิ่มขึ้นได้โดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกา บวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี และมาตรา 7 แห่งพระราชกำหนดฉบับดังกล่าวให้ใช้บทบัญญัติตามมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ แก่การคิดดอกเบี้ยผิดนัดที่ถึงกำหนดเวลาชำระตั้งแต่วันที่พระราชกำหนดนี้ใช้บังคับ ดังนั้น อัตราดอกเบี้ยผิดนัดนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 จึงต้องบังคับตามมาตรา 224 ที่แก้ไขใหม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 9 พิพากษาให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์จึงไม่ชอบ การกำหนดอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมายเป็นข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยชำระเงิน 100,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 1 กันยายน 2563) เป็นต้นไปจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ สำหรับดอกเบี้ยนับแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไปนั้น ถ้ากระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ใช้อัตราดอกเบี้ยที่ปรับเปลี่ยนไปบวกด้วยอัตราเพิ่มร้อยละ 2 ต่อปี แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยที่โจทก์มีสิทธิเรียกได้ตามกฎหมายในขณะยื่นฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 9 ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ" |