

รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อรถยนต์ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อรถยนต์ การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ, เบี้ยปรับตามสัญญาเช่าซื้อ • คำพิพากษาศาลฎีกา 855/2567 • สัญญาเช่าซื้อรถยนต์ • การผิดสัญญาเช่าซื้อ • การบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ • เบี้ยปรับตามสัญญาเช่าซื้อ • คดีผู้บริโภคเกี่ยวกับเช่าซื้อ • กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคในคดีเช่าซื้อ สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2567 สรุปได้ดังนี้: โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์และผิดสัญญา โจทก์บอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยส่งมอบรถคืนและชดใช้ค่าเสียหายตามสัญญา แต่รถที่เช่าซื้อสูญหายโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 6.7 ระบุว่าผู้เช่าซื้อจะรับผิดชำระเฉพาะเบี้ยปรับและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการทวงถามหนี้ หากรถสูญหายโดยไม่มีความผิดของผู้เช่าซื้อ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง และศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยืนตาม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้พิสูจน์ว่าค่าเสียหายที่อ้างเป็นเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายตามสัญญา และสัญญาไม่ได้กำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอื่นนอกเหนือจากที่ตกลงไว้ ดังนั้นจึงไม่สามารถบังคับให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายเพิ่มเติมได้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2567 มีดังนี้: 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379: มาตรานี้กล่าวถึงการชำระค่าเสียหายล่วงหน้าที่คู่สัญญาตกลงกันไว้ หากฝ่ายหนึ่งไม่ชำระหนี้ตามที่กำหนดในสัญญา เบี้ยปรับนี้เป็นจำนวนเงินที่ตกลงให้ชดใช้เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ดังนั้น คู่สัญญาจำเป็นต้องปฏิบัติตามข้อตกลงเรื่องเบี้ยปรับในสัญญา ซึ่งใช้บังคับกับกรณีการผิดสัญญาเช่าซื้อในคดีนี้ 2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 562: มาตรานี้เกี่ยวข้องกับสัญญาเช่าซื้อ โดยกำหนดให้การโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินที่เช่าซื้อจะเกิดขึ้นต่อเมื่อผู้เช่าซื้อได้ปฏิบัติตามสัญญาจนครบถ้วน ซึ่งในกรณีนี้ จำเลยผิดสัญญาด้วยการไม่ชำระค่าเช่าซื้อครบถ้วนตามกำหนด 3.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 572: มาตรานี้กำหนดให้ผู้เช่าซื้อมีหน้าที่ต้องใช้ทรัพย์ที่เช่าซื้ออย่างระมัดระวังและรักษาทรัพย์สินให้อยู่ในสภาพดี หากมีเหตุการณ์ที่ทำให้ทรัพย์สูญหาย ผู้เช่าซื้อยังคงต้องปฏิบัติตามข้อกำหนดของสัญญาเช่าซื้อที่กำหนดไว้ เช่น การชำระเบี้ยปรับหรือค่าใช้จ่ายตามความจำเป็น 4.พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค พ.ศ. 2522 มาตรา 35 ทวิ: มาตรานี้ระบุว่าผู้บริโภคมีสิทธิได้รับการคุ้มครองในการทำสัญญาที่ไม่เป็นธรรม หากมีข้อกำหนดใดในสัญญาที่เอื้อประโยชน์เกินควรแก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ศาลสามารถปรับเปลี่ยนหรือยกเลิกข้อกำหนดดังกล่าวได้ เพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้บริโภค 5.พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 7: มาตรานี้กำหนดให้ศาลมีอำนาจสืบสวนข้อเท็จจริงและวินิจฉัยคดีอย่างรวดเร็วและยุติธรรม โดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามกระบวนการปกติอย่างเคร่งครัด เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคและทำให้การดำเนินคดีสะดวกขึ้น การอธิบายเหล่านี้จะช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่ากฎหมายเหล่านี้มีบทบาทอย่างไรในกรณีข้อพิพาทเรื่องสัญญาเช่าซื้อและการคุ้มครองผู้บริโภค โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทน ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์และค่าขาดประโยชน์อัตราเดือนละ จนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนครบถ้วน ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษายืน จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วจากโจทก์ รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป ภรรยาจำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยตามสัญญาเช่าซื้อกำหนดว่า กรณีรถที่เช่าซื้อสูญหาย หากมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้จ่ายไปจริงโดยประหยัด ตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร ดังนั้น โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต้องผูกพันตามข้อสัญญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยผู้เช่าซื้อ จำเลยผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดเฉพาะเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือเท่านั้น มิใช่ค่าเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์อาจมีสิทธิเรียกได้กรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 855/2567 โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์แล้วผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมเรียกให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ตามสัญญา โดยโจทก์แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อพร้อมคำฟ้องและอ้างส่งต่อศาล ทั้งมีคำขอบังคับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาพร้อมค่าเสียหาย แม้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกค่าเสียหายอันเนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย แต่พอถือได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายตามสัญญาเช่าซื้อด้วย สัญญาเช่าซื้อข้อ 6.7 กำหนดว่า กรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย หากมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือ ทั้งนี้เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้จ่ายไปจริงโดยประหยัดตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร ดังนั้น โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต้องผูกพันตามข้อสัญญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ จำเลยผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดเฉพาะเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือเท่านั้น ซึ่งในส่วนเบี้ยปรับ แม้เป็นค่าเสียหายอย่างหนึ่ง แต่มีลักษณะเป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าให้ชดใช้ให้แก่กันเมื่ออีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 379 ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 4 กำหนดรายละเอียดของเบี้ยปรับว่า ได้แก่ เบี้ยปรับของค่าเช่าซื้อที่ผิดนัด เบี้ยปรับของค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ชำระที่ผู้ให้เช่าซื้อเรียกเก็บแทนผู้เช่าซื้อ เบี้ยปรับจึงมีความหมายเฉพาะที่ระบุในข้อสัญญาดังกล่าว มิใช่ค่าเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์อาจมีสิทธิเรียกได้กรณีที่รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงค่าเสียหายอันเป็นเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือตามที่ระบุไว้ในข้อสัญญาดังกล่าว ทั้งสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอย่างอื่น จึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาแทนเป็นเงิน 380,623.04 บาท ให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์เป็นเงิน 22,876.96 บาท และค่าขาดประโยชน์อัตราเดือนละ 2,859.62 บาท นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนครบถ้วน และให้จำเลยชำระดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 403,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ โจทก์ฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า เมื่อวันที่ 12 เมษายน 2562 จำเลยเช่าซื้อรถยนต์ใช้แล้วยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแมกซ์ 2 ดีอาร์ จากโจทก์ในราคาค่าเช่าซื้อ 391,500 บาท จำเลยตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดรายเดือนรวม 72 งวด งวดที่ 1 ถึง 71 เดือนละ 5,819 บาท งวดที่ 72 เป็นเงิน 5,755.83 บาท เริ่มชำระงวดแรกวันที่ 5 มิถุนายน 2562 และภายในวันที่ 5 ของเดือนถัดไปจนกว่าจะครบถ้วน หากผิดนัด 3 งวดติดต่อกัน โจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อได้ตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยชำระค่าเช่าซื้อให้โจทก์เพียง 2 งวด และงวดที่ 3 บางส่วน รวมเป็นเงิน 10,876.96 บาท เป็นการผิดนัดตั้งแต่งวดที่ 3 ประจำวันที่ 5 สิงหาคม 2562 เป็นต้นมา โจทก์มีหนังสือทวงถามและบอกเลิกสัญญาเช่าซื้อ แต่จำเลยเพิกเฉย ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2562 รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกคนร้ายลักไป ภรรยาจำเลยแจ้งความต่อเจ้าพนักงานตำรวจ และจำเลยแจ้งให้โจทก์ทราบแล้ว โจทก์มอบอำนาจให้จำเลยแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวน รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่โจทก์ได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องรับผิดต่อโจทก์หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่าจำเลยทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์แล้วผิดสัญญา โจทก์มีหนังสือบอกเลิกสัญญาพร้อมเรียกให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและใช้ค่าเสียหายเป็นค่าขาดประโยชน์แก่โจทก์ตามสัญญา โดยโจทก์แนบสำเนาสัญญาเช่าซื้อพร้อมคำฟ้องและอ้างส่งต่อศาล ทั้งมีคำขอบังคับให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาพร้อมค่าเสียหาย แม้โจทก์มิได้ฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายอันเนื่องจากรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย แต่พอถือได้ว่าโจทก์เรียกค่าเสียหายกรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายตามสัญญาเช่าซื้อด้วย ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อ ข้อ 6.7 กำหนดว่า กรณีรถที่เช่าซื้อสูญหาย หากมิใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อ ผู้เช่าซื้อต้องรับผิดชำระเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือ ทั้งนี้เพียงเท่าที่ผู้ให้เช่าซื้อได้จ่ายไปจริงโดยประหยัด ตามความจำเป็นและมีเหตุผลอันสมควร ดังนั้น โจทก์และจำเลยซึ่งเป็นคู่สัญญาต้องผูกพันตามข้อสัญญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ารถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของจำเลยผู้เช่าซื้อ จำเลยผู้เช่าซื้อจึงต้องรับผิดเฉพาะเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือเท่านั้น ซึ่งในส่วนเบี้ยปรับ แม้เป็นค่าเสียหายอย่างหนึ่ง แต่มีลักษณะเป็นค่าเสียหายที่คู่สัญญาได้ตกลงกันไว้ล่วงหน้าให้ชดใช้ให้แก่กันเมื่ออีกฝ่ายไม่ชำระหนี้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 379 ซึ่งตามสัญญาเช่าซื้อข้อ 4 ได้กำหนดรายละเอียดของค่าเบี้ยปรับว่า ได้แก่ เบี้ยปรับของค่าเช่าซื้อที่ผิดนัด และเบี้ยปรับของค่าใช้จ่ายที่ผู้ให้เช่าซื้อได้ชำระที่ผู้ให้เช่าซื้อเรียกเก็บแทนผู้เช่าซื้อ โดยผู้เช่าซื้อต้องชำระในอัตราเท่ากับอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงต่อปี บวกร้อยละ 3 ต่อปี แต่ต้องไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี ดังนั้น เบี้ยปรับจึงมีความหมายเฉพาะที่ระบุในข้อสัญญาดังกล่าว มิใช่ค่าเสียหายอย่างอื่นที่โจทก์อาจมีสิทธิเรียกได้กรณีรถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหาย เมื่อโจทก์มิได้นำสืบถึงค่าเสียหายอันเป็นเบี้ยปรับ ค่าธรรมเนียมหรือค่าใช้จ่ายใด ๆ ในการทวงถามหนี้ค่าเช่าซื้อ ค่าภาษีมูลค่าเพิ่มคงเหลือตามที่ระบุไว้ในข้อสัญญาดังกล่าว ทั้งสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อตกลงให้จำเลยต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายอย่างอื่นให้แก่โจทก์นอกจากที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อ ดังนี้แล้ว จึงไม่อาจกำหนดให้จำเลยรับผิดชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
ตัวอย่างคำฟ้องแพ่งคดีผู้บริโภค (สัญญาเช่าซื้อ) ศาลที่ยื่นฟ้อง: ศาลจังหวัด... หมายเลขคดี: (หมายเลขคดี) โจทก์: บริษัท (ชื่อบริษัท) ผู้ให้เช่าซื้อ จำเลย: (ชื่อ-นามสกุล จำเลย) คำฟ้อง ด้วยเมื่อวันที่ (ระบุวันที่ทำสัญญา) โจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์ยี่ห้อ (ระบุยี่ห้อและรุ่น) เลขทะเบียน (ระบุเลขทะเบียน) ในราคาค่าเช่าซื้อรวม (ระบุจำนวนเงิน) บาท จำเลยตกลงผ่อนชำระค่าเช่าซื้อเป็นงวดๆ งวดละ (ระบุจำนวนเงิน) บาท เป็นระยะเวลา (ระบุจำนวนงวด) งวด โดยเริ่มชำระงวดแรกในวันที่ (ระบุวันที่เริ่มชำระ) ตามเงื่อนไขที่ระบุในสัญญาเช่าซื้อ อย่างไรก็ตาม จำเลยผิดนัดชำระค่าเช่าซื้อตั้งแต่งวดที่ (ระบุงวด) และไม่ได้ชำระต่อเนื่องอีกเป็นเวลา (ระบุจำนวนงวดที่ผิดนัด) งวด ซึ่งทำให้โจทก์ต้องออกหนังสือบอกเลิกสัญญาและเรียกให้จำเลยคืนรถยนต์ที่เช่าซื้อ แต่จำเลยเพิกเฉย โจทก์ขอให้ศาลมีคำพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์คืนแก่โจทก์ในสภาพดี หากจำเลยไม่สามารถส่งมอบได้ ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยชำระค่าเสียหายแทนเป็นจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) บาท พร้อมทั้งขอให้จำเลยชำระค่าเสียหายเพิ่มเติมในกรณีที่เกิดขึ้นจากการไม่ได้รับรถยนต์คืนตามมูลค่าความเสียหายที่โจทก์ได้รับ รวมถึงดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ (ระบุอัตราดอกเบี้ย) ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น คำขอท้ายคำฟ้อง 1.ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์ในสภาพที่ใช้การได้ดี หรือหากคืนไม่ได้ ให้จำเลยชำระเงินแทนในจำนวน (ระบุจำนวนเงิน) บาท 2.ขอให้ศาลสั่งให้จำเลยชำระค่าขาดประโยชน์และค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ 3.ขอให้จำเลยชำระดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ (ระบุอัตราดอกเบี้ย) ต่อปี นับจากวันที่ฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น 4.ขอให้จำเลยชำระค่าฤชาธรรมเนียมและค่าทนายความให้แก่โจทก์ ลงชื่อ (ชื่อ-ตำแหน่ง ทนายความ/ผู้รับมอบอำนาจของโจทก์)
หมายเหตุ: คำฟ้องนี้เป็นตัวอย่างที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการศึกษาของนักศึกษากฎหมายและทนายความจบใหม่ ควรปรับปรุงและเพิ่มเติมรายละเอียดให้สอดคล้องกับแต่ละกรณีเฉพาะ
|