

ได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว ได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้วผู้ขายไม่ต้องมีหลักฐานซื้อขายเป็นหนังสือ ซื้อสินค้าและได้รับสินค้าแล้ว ถือได้ว่าการซื้อขายสินค้ารายนี้ผู้ขายได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ซื้อแล้ว ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อของฝ่ายผู้ต้องรับผิดมาแสดง การซื้อขายชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม ผู้ซื้อต้องชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้ขาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7735/2555
ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม นอกจะบัญญัติให้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ จึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติอีกว่า “...หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว...” ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เช่นกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการซื้อขายต้นอ้อย โจทก์และจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขายหรือมีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือ ลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ แต่ในวันที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ได้ส่งมอบกรรมสิทธิ์ต้นอ้อยให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อันถือได้ว่าโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือส่งมอบต้นอ้อยให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาต้นอ้อยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน 115,195 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 112,500 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 112,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันที่ 31 มีนาคม ๒๕๕๓ เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ทั้งนี้ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องต้องไม่เกิน 2,695 บาท ตามที่โจทก์ขอ กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า โจทก์เป็นเจ้าของต้นอ้อยซึ่งปลูกอยู่ในที่ดินเนื้อที่ 15 ไร่ ตำบลโนนคูณ อำเภอคอนสาร จังหวัดชัยภูมิ จำเลยตกลงซื้อต้นอ้อยจากโจทก์ในราคาไร่ละ 7,500 บาท รวมเป็นเงิน 112,500 บาท จำเลยตกลงชำระราคาให้แก่โจทก์ครบถ้วน โดยมิได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ หลังจากตกลงกันจำเลยก็เข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล แต่เมื่อถึงกำหนดชำระเงิน จำเลยไม่ชำระ โจทก์ทวงถามแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย มีปัญหาข้อกฎหมายวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า โจทก์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระค่าต้นอ้อยให้แก่โจทก์หรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า การซื้อขายต้นอ้อยระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นการซื้อขายสังหาริมทรัพย์ที่มีราคากว่าสองหมื่นบาทโดยมิได้มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อของจำเลยผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญและจำเลยไม่ได้วางประจำหรือชำระหนี้บางส่วนให้แก่โจทก์ โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องให้บังคับคดีจำเลยได้ เห็นว่า ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง และวรรคสาม นอกจากจะบัญญัติให้การซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไป ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญจึงจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้แล้ว ยังได้บัญญัติไว้อีกว่า “...หรือได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว...” ก็ย่อมฟ้องร้องให้บังคับคดีได้เช่นกัน คดีนี้ข้อเท็จจริงได้ความว่า ในการซื้อขายต้นอ้อยกันโจทก์และจำเลยไม่ได้ทำหนังสือสัญญาซื้อขาย หรือได้มีหลักฐานการซื้อขายเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายโจทก์หรือจำเลยผู้ต้องรับผิดไว้เป็นสำคัญ แต่ในวันที่ตกลงซื้อขายกัน โจทก์ได้ส่งมอบกรรมสิทธิ์ต้นอ้อยให้แก่จำเลยและจำเลยเข้าไปตัดต้นอ้อยของโจทก์ไปขายให้แก่โรงงานน้ำตาล อันถือได้ว่าโจทก์ชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายคือส่งมอบต้นอ้อยให้จำเลยแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิที่จะฟ้องร้องบังคับให้จำเลยชำระราคาต้นอ้อยได้ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวข้างต้น ที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามา ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ
มาตรา 456 การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์ ถ้ามิได้ทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เป็นโมฆะ วิธีนี้ให้ใช้ถึงซื้อขายเรือมีระวางตั้งแต่ห้าตันขึ้นไป ทั้งซื้อขายแพและสัตว์พาหนะด้วย
สัญญาจะขายหรือจะซื้อ หรือคำมั่นในการซื้อขายทรัพย์สินตามที่ระบุไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดลงลายมือชื่อฝ่ายผู้ต้องรับผิดเป็นสำคัญ หรือได้วางประจำไว้หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว จะฟ้องร้องให้บังคับคดีหาได้ไม่
บทบัญญัติที่กล่าวมาในวรรคก่อนนี้ ให้ใช้บังคับถึงสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาสองหมื่นบาท หรือกว่านั้นขึ้นไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7188/2551
จำเลยสั่งซื้อสินค้าและได้รับสินค้าจากโจทก์แล้ว ถือได้ว่า การซื้อขายสินค้ารายนี้โจทก์ผู้ขายได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยผู้ซื้อแล้ว โจทก์ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อของจำเลยมาแสดง การซื้อขายชอบด้วย ป.พ.พ. มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม จำเลยต้องชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง
จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอันเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขอบังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้า จึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินค้าจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ที่สั่งซื้อมาเพื่อนำมาใช้ในการประกอบธุรกิจของจำเลยอีกต่อหนึ่ง เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั้นเอง จึงอยู่ในบังคับ ป.พ.พ. มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องตามฟ้องโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปี มิใช่อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยเป็นเงิน 326,959.38 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน 252,505 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 10,000 บาท
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษากลับ ให้จำเลยใช้เงิน 326,959.38 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ในต้นเงิน 252,505 บาท นับถัดจากวันฟ้อง (ฟ้องวันที่ 18 กรกฎาคม 2545) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลตกเป็นพับ
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “...พิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์และจะต้องชำระค่าสินค้าตามฟ้องให้โจทก์หรือไม่ โจทก์มีนายพรเทพ นายพีรศักดิ์ และนายชูเกียรติ เบิกความประกอบกันว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ในนามร้าน เอส. พี.ซัพพลาย หลายครั้ง รวมเป็นเงิน 252,505 บาท ตามรายการสั่งซื้อ โจทก์ให้บริษัทบางกอกลำปางขนส่ง จำกัด เป็นผู้ส่งสินค้าให้จำเลยที่จังหวัดลำปางหลังจากจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าสินค้าให้โจทก์นายพรเทพได้ติดตามทวงถามจำเลยหลายครั้งจำเลยรับว่าเป็นหนี้ค่าสินค้าจริงแต่ไม่มีเงินชำระ ส่วนจำเลยมีตัวจำเลยเบิกความว่าจำเลยไม่เคยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยใช้ชื่อร้าน เอส.พี.ซัพพลาย และจำเลยไม่เคยรับสินค้าจากโจทก์ เห็นว่า นายพีรศักดิ์พยานโจทก์ซึ่งทำงานอยู่ที่บริษัทบางกอกลำปางขนส่ง จำกัด มีหน้าที่ตรวจสอบสินค้าที่นำส่งเบิกความยืนยันว่าทางบริษัทบางกอกลำปางขนส่ง จำกัด ได้จัดส่งสินค้าให้แก่ ร้าน เอส.พี.ซัพพลาย เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่มีหลักฐานการเซ็นต์รับสินค้ามาแสดงเพราะทางบริษัทฯ ทำลายเอกสารดังกล่าวแล้วเนื่องจากเกิน 1 ปี นับแต่วันส่งสินค้า นายพีรศักดิ์พยานโจทก์ปากนี้เป็นคนกลางไม่มีส่วนได้ส่วนเสียในผลแห่งคดี คำเบิกความของนายพีรศักดิ์จึงมีน้ำหนักน่าเชื่อถือ จำเลยเบิกความอ้างว่า ร้าน เอส.พี.ซัพพลาย เป็นของภริยาจำเลยแต่จำเลยยอมรับว่า จำเลยเคยไปติดต่อขายสินค้าของร้าน เอส.พี.ซัพพลายให้แก่การไฟฟ้าอำเภอแม่เมาะ แสดงให้เห็นว่าจำเลยกับภริยาร่วมกันดำเนินกิจการค้าของร้าน เอส.พี.ซัพพลาย ตามรายการซื้อสินค้า ในเดือนมีนาคม พฤษภาคมและ กรกฎาคม 2541 ปรากฏว่ามีโทรสารจากร้าน เอส.พี.ซัพพลาย สั่งซื้อสินค้าจากโจทก์โดยจำเลยเป็นผู้ลงลายมือชื่อสั่งซื้อพร้อมประทับตราชื่อร้าน เอส.พี.ซัพพลายกำกับ จำเลยก็มิได้โต้แย้งถึงความถูกต้องแท้จริงของเอกสารดังกล่าวแต่อย่างใด ทั้งจำเลยเบิกความยอมรับว่า จำเลยเป็นคนสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์ตามใบสั่งซื้อสินค้าฉบับลงวันที่ 21 เมษายน 2541 จริง แต่จำเลยเบิกความบ่ายเบี่ยงว่า จำเลยไม่ได้รับสินค้าตามใบสั่งซื้อสินค้าดังกล่าวจากโจทก์โดยไม่มีเหตุผลมาอ้างอิง พยานหลักฐานโจทก์สอดคล้องต้องกันมีน้ำหนักในการรับฟังมากกว่าพยานหลักฐานของจำเลยข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าและได้รับสินค้าจากโจทก์แล้วถือได้ว่าการซื้อสินค้ารายนี้โจทก์ผู้ขายได้ชำระหนี้ให้แก่จำเลยผู้ซื้อแล้ว โจทก์ไม่จำต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือและมีลายมือชื่อของจำเลยมาแสดง การซื้อขายชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสองและวรรคสาม จำเลยจึงต้องชำระค่าสินค้าพร้อมดอกเบี้ยให้โจทก์ตามฟ้อง ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ปัญหาต่อไปมีว่า คดีโจทก์ขาดอายุความหรือไม่ จำเลยฎีกาว่า โจทก์ฟ้องคดีนี้เกินกว่า 2 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระค่าสินค้าคดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 195/34 (1) เห็นว่า จำเลยสั่งซื้อสินค้าจากโจทก์เพื่อนำไปจำหน่ายให้แก่ลูกค้าอันเป็นการประกอบธุรกิจของจำเลย การที่โจทก์ฟ้องขอให้บังคับให้จำเลยชำระหนี้ค่าสินค้าจึงเป็นกรณีที่โจทก์ผู้ประกอบการค้าหรืออุตสาหกรรมใช้สิทธิเรียกร้องเอาค่าสินค้าจากจำเลยซึ่งเป็นลูกหนี้ที่สั่งซื้อมาเพื่อนำมาใช้ในการประกอบธุรกิจของจำเลยอีกต่อหนึ่ง เป็นการที่ได้ทำเพื่อกิจการของฝ่ายลูกหนี้นั่นเอง จึงอยู่ในบังคับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/33 (5) ประกอบมาตรา 193/34 (1) สิทธิเรียกร้องตามฟ้องโจทก์จึงมีอายุความ 5 ปี มิใช่อายุความ 2 ปี ตามมาตรา 193/34 (1) เมื่อโจทก์ฟ้องคดีนี้ยังไม่เกินกำหนด 5 ปี นับแต่วันที่โจทก์อาจใช้สิทธิเรียกร้องให้จำเลยชำระหนี้ได้ คดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้นเช่นกัน”
พิพากษายืน โจทก์ไม่แก้ฎีกา จึงไม่กำหนดค่าทนายความให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5522/2550 โจทก์ได้ส่งมอบสินค้าอะไหล่รถยนต์จึงเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายแล้ว ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า การซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายที่ต้องรับผิดเป็นสำคัญหรือได้วางประจำไว้หรือได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว โจทก์จึงไม่อาจฟ้องร้องบังคับคดีแก่จำเลยนั้น เห็นว่า สัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยทำกันก่อนมีการแก้ไขประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 ฉบับใหม่ จึงต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 เดิมก่อนมีการแก้ไข เมื่อสัญญาซื้อขายระหว่างโจทก์และจำเลยเป็นสัญญาซื้อขายสังหาริมทรัพย์ซึ่งตกลงกันเป็นราคาห้าร้อยบาทหรือกว่านั้นขึ้นไป ดังนั้น เมื่อโจทก์ซึ่งเป็นผู้ขายสินค้าอะไหล่รถยนต์ให้แก่จำเลยได้ส่งมอบสินค้าอะไหล่รถยนต์แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขาย จึงเป็นการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายแล้ว โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องร้องบังคับคดีให้จำเลยรับผิดตามสัญญาซื้อขายได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456 วรรคสอง ประกอบวรรคสาม (เดิม) |