ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค, คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย, โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืน,

 คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย,  ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค,  น้ำรั่วในห้องชุดฟ้องร้องได้หรือไม่,  พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 2551,  การบอกเลิกสัญญาซื้อขายอย่างถูกกฎหมาย,  สิทธิผู้บริโภคในการเลิกสัญญา,  คืนห้องชุดให้ผู้ประกอบการหลังเลิกสัญญา,  คำพิพากษาศาลฎีกาคดีผู้บริโภคล่าสุด,  มาตรา 391 กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับการเลิกสัญญา,

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค, คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย, โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืน,

*ศาลไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ เนื่องจากการคืนเงินและโอนกรรมสิทธิ์ในคดีนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่การชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา*

ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้เมื่อมีการกำหนดค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นฐานก่อน

คดีนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาซื้อขายห้องชุด และให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย โดยมิได้กำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญา การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พิพากษาแก้

จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 4,829,220 บาท นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2567

*การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดพิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากสัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2567 การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดพิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากสัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้

 

***โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคเสร็จสิ้น แล้วให้ผู้บริโภคโอนห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.96 ตารางเมตร (ที่ถูก 45.69 ตารางเมตร) ให้แก่จำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค และให้จำเลยชำระค่าเสียหายอีก 2 เท่า เป็นเงิน 4,829,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 15 มีนาคม 2564) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค แล้วให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี โครงการ อ. เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร คืนแก่จำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภคกับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดในโครงการ อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81383 จำนวน 1 ห้อง ห้องเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร ในราคา 2,414,610 บาท โดยผู้บริโภคชำระเงินครบถ้วนและได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยและเข้าพักอาศัยในห้องชุดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ห้องชุดดังกล่าวมีน้ำรั่วซึมจากชั้นดาดฟ้าทุกครั้งที่ฝนตก ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าพักอาศัยในห้องชุดได้อย่างปกติสุข ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวจำเลยไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ตามหลักวิศวกรรมอันเป็นการผิดสัญญาซื้อขาย และผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายหรือไม่ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาได้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร..." ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดเป็นเงิน 2,414,610 บาท แก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดที่พิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากการที่สัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตามมาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากเงิน 2,414,610 บาท ได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีนี้มาและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้มานั้น จึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นเงิน 4,829,220 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

•  คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย

•  ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค

•  น้ำรั่วในห้องชุดฟ้องร้องได้หรือไม่

•  พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 2551

•  การบอกเลิกสัญญาซื้อขายอย่างถูกกฎหมาย

•  สิทธิผู้บริโภคในการเลิกสัญญา

•  คืนห้องชุดให้ผู้ประกอบการหลังเลิกสัญญา

•  คำพิพากษาศาลฎีกาคดีผู้บริโภคล่าสุด

•  มาตรา 391 กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับการเลิกสัญญา

สรุปคำพิพากษา

โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยจำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายเชิงลงโทษ รวมถึงให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย โดยจำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้น

พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหาย 2 เท่า รวม 4,829,220 บาท และให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค

แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและค่าทนายความ ส่วนอื่นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น

ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภค

วินิจฉัยว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 จะกระทำได้เมื่อมีการกำหนดค่าเสียหายที่แท้จริงก่อน แต่คดีนี้เป็นการคืนเงินตามสัญญา มิใช่ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้

พิพากษาแก้

จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ 4,829,220 บาท นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ

***การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษา

1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง

กำหนดว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ละฝ่ายต้องคืนสิ่งที่ตนได้รับจากอีกฝ่าย เช่น คืนเงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการซื้อขาย ทั้งนี้ การคืนต้องอยู่ในสภาพที่สมเหตุสมผล หากสิ่งนั้นไม่สามารถคืนได้เพราะมีการใช้ไปแล้วหรือเสียหาย ก็อาจต้องคืนเป็นเงินแทน

ในกรณีนี้:

ศาลพิจารณาว่าผู้บริโภคได้เลิกสัญญาซื้อขายห้องชุดอย่างถูกต้อง จำเลยจึงต้องคืนเงินที่ได้รับมาให้ผู้บริโภค และผู้บริโภคต้องคืนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้จำเลย

2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคท้าย

กำหนดให้ฝ่ายใดที่ก่อความเสียหายแก่คู่สัญญาโดยการกระทำผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามจริงที่เกิดขึ้น

ในกรณีนี้:

ศาลชั้นต้นตีความว่า จำเลยผิดสัญญาเนื่องจากห้องชุดมีปัญหาน้ำรั่ว ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ จึงมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าการคืนเงินไม่ใช่ "ค่าเสียหายตามจริง" ตามมาตรา 391 วรรคท้าย จึงไม่สามารถกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมได้

3.พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง

ระบุว่า ศาลมีอำนาจกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมจากค่าเสียหายจริงได้ หากผู้ประกอบธุรกิจมีการกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม หรือกระทำผิดในลักษณะที่ประมาทเลินเล่อร้ายแรง

ในกรณีนี้:

ศาลฎีกาเห็นว่า การคืนเงินตามสัญญาซื้อขายในคดีนี้ไม่ใช่ "ค่าเสียหายจริง" อันเป็นฐานสำหรับการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามมาตรา 42 ดังนั้น การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากยอดเงินคืนตามสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย

สรุป

หลักกฎหมายที่กล่าวถึงเน้นการแยกความแตกต่างระหว่าง "การคืนสิ่งที่ได้รับ" กับ "การชดใช้ค่าเสียหาย" โดยการคืนสิ่งที่ได้รับจากการเลิกสัญญา (มาตรา 391 วรรคหนึ่ง) ไม่ใช่พื้นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ (มาตรา 42 วรรคหนึ่ง) ซึ่งต้องมีการกำหนด "ค่าเสียหายจริง" ก่อน การตีความนี้มีความสำคัญเพื่อป้องกันการใช้สิทธิที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในคดีผู้บริโภค

***พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง: การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ

ความสำคัญของมาตรา 42 วรรคหนึ่ง

พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายสำคัญที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการได้รับความเป็นธรรมเมื่อเกิดข้อพิพาทกับผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะมาตรา 42 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้อำนาจศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมจากค่าเสียหายที่แท้จริงในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค

เนื้อหาในมาตรา 42 วรรคหนึ่ง

มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร...”

เงื่อนไขการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ จากบทบัญญัติดังกล่าว การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษต้องมีองค์ประกอบดังนี้:

1.การกระทำที่ไม่เป็นธรรม: ผู้ประกอบธุรกิจมีพฤติกรรมเอาเปรียบผู้บริโภค เจตนาให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่อร้ายแรง

2.การฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบ: ผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามมาตรฐานของธุรกิจที่พึงไว้วางใจ

3.การกำหนดค่าเสียหายแท้จริงก่อน: ศาลต้องกำหนดค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นฐานก่อน แล้วจึงคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติม

วัตถุประสงค์ของมาตรา 42

วัตถุประสงค์สำคัญของการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ ได้แก่:

•ยับยั้งการกระทำผิด: สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจปฏิบัติต่อผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม

•ป้องปรามการกระทำซ้ำ: ป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคอีกในอนาคต

•คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค: ส่งเสริมความเป็นธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี

ตัวอย่างคดีที่เกี่ยวข้อง ในคดีที่ศาลพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินแก่ผู้บริโภคเนื่องจากการเลิกสัญญาซื้อขาย ศาลต้องพิจารณาว่าค่าเสียหายดังกล่าวเป็น “ค่าเสียหายแท้จริง” หรือไม่ หากการคืนเงินเกิดจากการเลิกสัญญาตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ศาลจะไม่สามารถกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมได้ เพราะไม่ใช่ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา

ข้อสังเกตในทางปฏิบัติ

•การตีความมาตรา 42: ศาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจเข้าข่ายเจตนาเอาเปรียบหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่

•การพิสูจน์ค่าเสียหายแท้จริง: ผู้บริโภคต้องแสดงหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเสียหายเพื่อให้ศาลใช้เป็นฐานในการคำนวณ

สรุป มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความยุติธรรมในคดีผู้บริโภค โดยให้อำนาจศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรานี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการกำหนดค่าเสียหายแท้จริงเป็นฐานก่อน เพื่อให้การลงโทษมีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรมทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ

***น้ำรั่วในห้องชุดฟ้องร้องได้หรือไม่?

บทนำ น้ำรั่วในห้องชุดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคอนโดมิเนียมและมักนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างเจ้าของห้องชุด ผู้บริหารอาคารชุด หรือผู้รับเหมาก่อสร้าง หากคุณกำลังประสบปัญหาน้ำรั่วในห้องชุดและสงสัยว่าสามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องความเสียหายได้หรือไม่ บทความนี้จะให้คำตอบ พร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา 6 รายการเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ

สามารถฟ้องร้องได้หรือไม่?

การฟ้องร้องเกี่ยวกับปัญหาน้ำรั่วในห้องชุดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี เช่น

1.กรณีเกิดจากการก่อสร้างหรือการออกแบบที่ไม่ได้มาตรฐาน เจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องผู้รับเหมาก่อสร้างหรือเจ้าของโครงการได้ โดยอ้างอิงกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดในสัญญาและการกระทำละเมิด เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (ละเมิด) และมาตรา 598 (ความรับผิดของผู้รับจ้างในการชำรุดบกพร่อง)

2.กรณีเกิดจากการบริหารอาคารชุดที่ไม่เหมาะสม หากน้ำรั่วเกิดจากการละเลยหรือการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของนิติบุคคล เจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องร้องนิติบุคคลได้ เช่น กรณีท่อประปาที่อยู่ในส่วนกลางเกิดการชำรุด

3.กรณีเกิดจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าของห้องชุดข้างเคียง หากปัญหาเกิดจากการกระทำหรือการละเลยของเพื่อนบ้าน เช่น การปรับปรุงห้องโดยไม่ได้รับอนุญาตและทำให้ท่อประปาเสียหาย ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องโดยอ้างอิงกฎหมายละเมิด

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกา – ศาลตัดสินว่าเจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องร้องผู้รับเหมาก่อสร้างได้หากพบว่าความเสียหายเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน แม้ว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นและส่งมอบห้องชุดแล้ว

2.คำพิพากษาศาลฎีกา – กรณีที่น้ำรั่วซึมมาจากพื้นที่ส่วนกลาง ศาลพิจารณาว่านิติบุคคลต้องรับผิดชอบในการซ่อมแซมและชดใช้ความเสียหายแก่เจ้าของห้องชุด

3.คำพิพากษาศาลฎีกา– เจ้าของห้องชุดฟ้องร้องเพื่อนบ้านที่ทำให้เกิดน้ำรั่วซึม โดยศาลพิจารณาว่าเพื่อนบ้านมีความประมาทในการปรับปรุงห้องชุด และต้องชดใช้ค่าเสียหาย

4.คำพิพากษาศาลฎีกา– กรณีที่ผู้รับเหมาปฏิเสธความรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่อง ศาลชี้ว่าความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่สามารถตัดสิทธิได้โดยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม

5.คำพิพากษาศาลฎีกา – ศาลระบุว่านิติบุคคลมีหน้าที่ในการตรวจสอบและดูแลพื้นที่ส่วนกลางอย่างเหมาะสม หากละเลยจนเกิดน้ำรั่วซึม นิติบุคคลต้องรับผิด

6.คำพิพากษาศาลฎีกา – ในกรณีที่น้ำรั่วซึมเกิดจากความผิดพลาดในการออกแบบของผู้พัฒนาโครงการ ศาลตัดสินว่าผู้พัฒนาต้องรับผิดชอบในค่าเสียหายทั้งหมด

สรุป

เจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องร้องได้ในกรณีที่น้ำรั่วในห้องชุดก่อให้เกิดความเสียหาย โดยเงื่อนไขของการฟ้องร้องขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง นิติบุคคล หรือเพื่อนบ้าน คำพิพากษาศาลฎีกาที่นำเสนอมานี้เป็นตัวอย่างเพื่อศึกษาและช่วยให้เข้าใจแนวทางการพิจารณาของศาลในกรณีต่างๆ

หากคุณประสบปัญหานี้ ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อประเมินกรณีของคุณอย่างละเอียดและดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างเหมาะสม




ขายฝาก/เช่า/เช่าซื้อ/ซื้อขาย

หน้าที่ส่งมอบทรัพย์สินที่เช่าซื้อในสภาพพร้อมใช้งาน, สัญญาเช่าซื้อก,
รถยนต์ที่เช่าซื้อสูญหายไปโดยไม่ใช่ความผิดของผู้เช่าซื้อรถยนต์
สัญญาขายฝากได้ทำไปโดยสำคัญผิดในเรื่องจำนวนเงินในราคาขายฝาก
(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) สัญญาเช่าซื้อเป็นโมฆะใช้บังคับไม่ได้
ผู้เช่ารายใหม่ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่ผู้อยู่ในตึกพิพาทก่อนตน
ค่าเช่าซื้อเครื่องรับโทรทัศน์อายุความ 2 ปี
การบอกเลิกสัญญา | สัญญาจ้างรักษาความปลอดภัยไม่มีกำหนดเวลา
สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากผู้ทำละเมิดเท่าจำนวนเงินดาวน์
เช่าที่ดินปากเปล่าไม่มีสัญญาเช่า
การบอกเลิกสัญญาเช่าโดยมิชอบ
ลักษณะของสัญญาซื้อขาย การโอนกรรมสิทธิ์
สัญญาซื้อขาย | สัญญาตัวแทน | ตัวแทนเชิด
สัญญาให้รับผิดในหนี้ที่ไม่มีหนี้อยู่จริง
ผู้รับโอนไม่มีสิทธิดีกว่าผู้โอน สัญญาซื้อขาย
สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาต่างตอบแทน
ใครมีสิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขาย
ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่อง
สัญญาซื้อขาย หรือสัญญาจ้างทำของ
ประเมินการเสียภาษีผิดประเภทการค้า
นิติกรรมมีข้อความไม่ชัดแจ้งตีความได้หลายนัย
สิ้นกำหนดเช่าช่วงชำระค่าเช่าตลอดมาถือว่าได้ต่อสัญญาเช่า
ข้อตกลงในการประกวดราคาเพื่อซื้อขาย
การซื้อขายสิทธิการเช่าโทรศัพท์
สัญญาซื้อขายแบบเหมา
การซื้อขายทรัพย์สินอันเป็นกรรมสิทธิ์รวม
สัญญาซื้อขายที่มีหลักประกันเพื่อปฏิบัติตามสัญญา
คำว่า"ขาย" ตามประมวลรัษฎากร
สัญญาซื้อขายเป็นสัญญาหลายฝ่าย
ผู้เยาว์ทำสัญญาจะซื้อจะขาย
สัญญาซื้อขายมีวัตถุประสงค์ฝ่าฝืนกฎหมายตกเป็นโมฆะ
สัญญาซื้อขายอาจบังคับได้ตามบทกฎหมายว่าด้วยตัวแทน
สัญญาซื้อขายเป็นพ้นวิสัยจากภัยพิบัติ
สัญญาซื้อขายที่ไม่มีการโอนทรัพยสิทธิในทรัพย์เฉพาะสิ่ง
สัญญาประนีประนอมระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา
ค่าซ่อมแซมทรัพย์สินที่เช่าผู้เช่าต้องบำรุงรักษา-ซ่อมแซมเล็กน้อย
คำมั่นเกี่ยวกับสัญญาเช่าทรัพย์
แบบนิติกรรมสัญญาประเภทต่าง ๆ แบบฟอร์มสัญญา แบบพิมพ์สัญญา
สิทธิบอกเลิกสัญญาซื้อขาย
นำรถไฟแนนซ์ไปจอดกู้เงินผู้รับจำนำเอาไปขายต่อแจ้งความได้ไหม
บอกเลิกสัญญาเช่าต้องบอกกล่าวให้รู้ตัวก่อน
สัญญาเช่า คำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการเช่า
แบบฟอร์มสัญญาซื้อขาย
อายุความเรียกราคาส่วนต่างและค่าขาดประโยชน์กรณีผู้เช่าซื้อผิดสัญญาหรือตาย
สัญญาซื้อขายมีเงื่อนไข
สัญญาขายฝากไม่มีเหตุผลต้องผ่อนชำระดอกเบี้ยแก่กัน
กฎหมายมิได้กำหนดให้การขายฝากสามารถเรียกดอกเบี้ยต่อกันได้
บันทึกข้อตกลงให้ผู้เช่ามีสิทธิซื้อทรัพย์สินที่เช่าทั้งหมดได้
ยายทำสัญญาประนีประนอมยอมความแทนไม่ผูกพันผู้เยาว์
สัญญาจะซื้อจะขายและวางมัดจำถูกกลฉ้อฉลนำชี้ทำเลที่ตั้งที่ดินผิด
ฟ้องเพิกถอนนิติกรรมการขายฝากที่ดินกลับคืนสู่กองมรดก
(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) ผู้ค้ำประกันหลุดพ้นไม่ต้องรับผิด
เงินค่าสิทธิการเช่าเป็นส่วนหนึ่งของค่าเช่า
ยกทรัพย์มรดกตีใช้หนี้เป็นสัญญาต่างตอบแทนไม่ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ข้อตกลงซื้อขายที่ดินมือเปล่า (น.ส. 3ก)เจ้าของที่ดินจึงมีเพียงสิทธิครอบครอง
สัญญาขายฝากที่ดินไม่ได้กำหนดค่าสินไถ่ไว้
สัญญาจะแลกเปลี่ยนที่ดินโดยมีเงื่อนไข สัญญาแลกเปลี่ยนที่ดินเสร็จเด็ดขาด
เมื่อสภาพแห่งหนี้ไม่เปิดช่องให้บังคับชำระหนี้ได้
สัญญาจะซื้อจะขาย หรือสัญญาซื้อขายเสร็จเด็ดขาด
คำว่า "ได้มีการชำระหนี้บางส่วนแล้ว" ใช้บังคับแก่คู่สัญญาทั้งฝ่ายผู้ขายและผู้ซื้อ
การซื้อขายมิได้มีการชำระราคากันจริงถือเป็นการให้โดยเสน่หา
บอกล้างสัญญาค้ำประกัน ขอให้เพิกถอนสัญญาค้ำประกัน การจัดการสินสมรส
สิทธิยึดหน่วงที่ดินไว้จนกว่าจะมีการโอนกรรมสิทธิ์, ชำระเงินครบถ้วนแล้ว
การตั้งตัวแทนหรือมอบอำนาจทำสัญญาจะซื้อจะขาย
ได้วางประจำไว้ หรือได้ชำระหนี้บางส่วนแล้ว
ขายดาวน์รถยนต์ที่เช่าซื้อมีผลอย่างไร?
ข้อยกเว้นเจ้าของทรัพย์สินเท่านั้นจะเป็นผู้ให้เช่าซื้อได้
จำนำได้ต้องเป็นสังหาริมทรัพย์
รถยนต์ที่เช่าซื้อถูกลักไปประกันภัยจ่ายค่าสินไหมให้ไฟแนนซ์แล้ว
ผู้ให้เช่าซื้อมิได้ยึดถือเอาข้อสัญญาเป็นสาระสำคัญ-ค้างชำระค่าเช่าซื้อ
(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) สิทธิเรียกค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระ
สัญญาเช่าซื้อต้องลงชื่อคู่สัญญาสองฝ่ายไม่ทำตามแบบเป็นโมฆะ
สัญญาเช่าซื้อกับสัญญาเช่าแบบลิสซิ่ง
(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) สิทธิเรียกค่าใช้ทรัพย์สินและค่าเสียหาย
(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) ตกลงค่าเบี้ยปรับสูงเกินส่วน
(สัญญาเช่าซื้อรถยนต์) โอนสิทธิตามสัญญาเช่าซื้อ