

ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค, คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย, โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืน, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค, คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย, โอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืน, *ศาลไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ เนื่องจากการคืนเงินและโอนกรรมสิทธิ์ในคดีนี้เป็นผลจากการเลิกสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ไม่ใช่การชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา* ศาลฎีกาวินิจฉัยปัญหาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้ศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้เมื่อมีการกำหนดค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นฐานก่อน คดีนี้ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญาซื้อขายห้องชุด และให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย โดยมิได้กำหนดค่าเสียหายจากการผิดสัญญา การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย พิพากษาแก้ จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ 4,829,220 บาท นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2019/2567 *การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาเป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดแก่ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดพิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากสัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตาม ป.พ.พ. มาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้
***โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยคืนหรือชดใช้เงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะชำระเงินให้แก่ผู้บริโภคเสร็จสิ้น แล้วให้ผู้บริโภคโอนห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.96 ตารางเมตร (ที่ถูก 45.69 ตารางเมตร) ให้แก่จำเลย โดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่าย จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยคืนเงินแก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค จำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันที่ 29 ตุลาคม 2558 จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค และให้จำเลยชำระค่าเสียหายอีก 2 เท่า เป็นเงิน 4,829,220 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินจำนวนดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไป (ฟ้องวันที่ 15 มีนาคม 2564) จนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้บริโภค แล้วให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี โครงการ อ. เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร คืนแก่จำเลยโดยจำเลยเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่เกิดจากการโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 15,000 บาท สำหรับค่าฤชาธรรมเนียมที่โจทก์ได้รับยกเว้นนั้นให้จำเลยชำระต่อศาลในนามโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภคพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนที่กำหนดให้จำเลยรับผิดดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและส่วนที่ให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ นอกจากที่แก้ให้เป็นตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภคอนุญาตให้ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภควินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2558 นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภคกับจำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดในโครงการ อ. ตั้งอยู่บนที่ดินโฉนดเลขที่ 81383 จำนวน 1 ห้อง ห้องเลขที่ 206/189 ชั้น 8 อาคารบี เนื้อที่ 45.69 ตารางเมตร ในราคา 2,414,610 บาท โดยผู้บริโภคชำระเงินครบถ้วนและได้จดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดจากจำเลยและเข้าพักอาศัยในห้องชุดแล้ว ต่อมาปรากฏว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2558 ถึงเดือนพฤศจิกายน 2559 ห้องชุดดังกล่าวมีน้ำรั่วซึมจากชั้นดาดฟ้าทุกครั้งที่ฝนตก ทำให้ผู้บริโภคไม่สามารถเข้าพักอาศัยในห้องชุดได้อย่างปกติสุข ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นดังกล่าวจำเลยไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมได้ตามหลักวิศวกรรมอันเป็นการผิดสัญญาซื้อขาย และผู้บริโภคบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยแล้ว สำหรับปัญหาที่ว่า โจทก์มีสิทธิเลิกสัญญาซื้อขายหรือไม่ นั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาว่า ผู้บริโภคมีสิทธิเลิกสัญญาได้ โดยจำเลยไม่ได้รับอนุญาตให้ฎีกา ปัญหาข้อนี้จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีคงมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยได้รับอนุญาตให้ฎีกาว่า จำเลยต้องชดใช้ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษหรือไม่ เห็นว่า พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภคหรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร..." ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าวจะเห็นได้ว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษที่ศาลจะสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ได้นั้น จะกระทำได้ต่อเมื่อศาลได้กำหนดให้มีการชดใช้ค่าเสียหายที่แท้จริงเสียก่อนเพื่อนำมาใช้เป็นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ แต่คดีนี้ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนเงินตามสัญญาซื้อขายห้องชุดเป็นเงิน 2,414,610 บาท แก่นางสาวสายรุ้ง ผู้บริโภค พร้อมดอกเบี้ยนับแต่วันที่จำเลยรับเงินไป โดยให้ผู้บริโภคจดทะเบียนห้องชุดที่พิพาทคืนแก่จำเลยอันเป็นผลมาจากการที่สัญญาซื้อขายห้องชุดเลิกกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง มิได้เป็นการกำหนดค่าเสียหายอันเกิดจากการที่จำเลยผิดสัญญาตามมาตรา 391 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากเงิน 2,414,610 บาท ได้ ที่ศาลชั้นต้นกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีนี้มาและศาลอุทธรณ์มิได้แก้ไขคำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนนี้มานั้น จึงไม่ถูกต้องตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเป็นเงิน 4,829,220 บาท แก่โจทก์ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ • คืนเงินผู้บริโภคจากการเลิกสัญญาซื้อขาย • ค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในคดีผู้บริโภค • น้ำรั่วในห้องชุดฟ้องร้องได้หรือไม่ • พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค 2551 • การบอกเลิกสัญญาซื้อขายอย่างถูกกฎหมาย • สิทธิผู้บริโภคในการเลิกสัญญา • คืนห้องชุดให้ผู้ประกอบการหลังเลิกสัญญา • คำพิพากษาศาลฎีกาคดีผู้บริโภคล่าสุด • มาตรา 391 กฎหมายแพ่งเกี่ยวกับการเลิกสัญญา สรุปคำพิพากษา โจทก์ฟ้องเรียกเงินคืนจากจำเลยจำนวน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหายเชิงลงโทษ รวมถึงให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย โดยจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้น พิพากษาให้จำเลยคืนเงิน 2,414,610 บาท พร้อมดอกเบี้ยและค่าเสียหาย 2 เท่า รวม 4,829,220 บาท และให้ผู้บริโภคโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดคืนแก่จำเลย ศาลอุทธรณ์แผนกคดีผู้บริโภค แก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนดอกเบี้ยของค่าเสียหายเชิงลงโทษและค่าทนายความ ส่วนอื่นให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาแผนกคดีผู้บริโภค วินิจฉัยว่า การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตาม พ.ร.บ. วิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 จะกระทำได้เมื่อมีการกำหนดค่าเสียหายที่แท้จริงก่อน แต่คดีนี้เป็นการคืนเงินตามสัญญา มิใช่ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา จึงไม่อาจกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษได้ พิพากษาแก้ จำเลยไม่ต้องชำระค่าเสียหายเชิงลงโทษ 4,829,220 บาท นอกนั้นให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ ***การอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษา 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคหนึ่ง กำหนดว่า เมื่อมีการเลิกสัญญาโดยชอบด้วยกฎหมาย แต่ละฝ่ายต้องคืนสิ่งที่ตนได้รับจากอีกฝ่าย เช่น คืนเงินหรือทรัพย์สินที่ได้จากการซื้อขาย ทั้งนี้ การคืนต้องอยู่ในสภาพที่สมเหตุสมผล หากสิ่งนั้นไม่สามารถคืนได้เพราะมีการใช้ไปแล้วหรือเสียหาย ก็อาจต้องคืนเป็นเงินแทน ในกรณีนี้: ศาลพิจารณาว่าผู้บริโภคได้เลิกสัญญาซื้อขายห้องชุดอย่างถูกต้อง จำเลยจึงต้องคืนเงินที่ได้รับมาให้ผู้บริโภค และผู้บริโภคต้องคืนกรรมสิทธิ์ห้องชุดให้จำเลย 2.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคท้าย กำหนดให้ฝ่ายใดที่ก่อความเสียหายแก่คู่สัญญาโดยการกระทำผิดสัญญา ต้องชดใช้ค่าเสียหายตามจริงที่เกิดขึ้น ในกรณีนี้: ศาลชั้นต้นตีความว่า จำเลยผิดสัญญาเนื่องจากห้องชุดมีปัญหาน้ำรั่ว ทำให้ไม่สามารถใช้งานได้ตามวัตถุประสงค์ จึงมีคำพิพากษาให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาเห็นว่าการคืนเงินไม่ใช่ "ค่าเสียหายตามจริง" ตามมาตรา 391 วรรคท้าย จึงไม่สามารถกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมได้ 3.พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ระบุว่า ศาลมีอำนาจกำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมจากค่าเสียหายจริงได้ หากผู้ประกอบธุรกิจมีการกระทำโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม หรือกระทำผิดในลักษณะที่ประมาทเลินเล่อร้ายแรง ในกรณีนี้: ศาลฎีกาเห็นว่า การคืนเงินตามสัญญาซื้อขายในคดีนี้ไม่ใช่ "ค่าเสียหายจริง" อันเป็นฐานสำหรับการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษตามมาตรา 42 ดังนั้น การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษจากยอดเงินคืนตามสัญญาจึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย สรุป หลักกฎหมายที่กล่าวถึงเน้นการแยกความแตกต่างระหว่าง "การคืนสิ่งที่ได้รับ" กับ "การชดใช้ค่าเสียหาย" โดยการคืนสิ่งที่ได้รับจากการเลิกสัญญา (มาตรา 391 วรรคหนึ่ง) ไม่ใช่พื้นฐานในการคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ (มาตรา 42 วรรคหนึ่ง) ซึ่งต้องมีการกำหนด "ค่าเสียหายจริง" ก่อน การตีความนี้มีความสำคัญเพื่อป้องกันการใช้สิทธิที่เกินกว่าที่กฎหมายกำหนดในคดีผู้บริโภค ***พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 มาตรา 42 วรรคหนึ่ง: การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ ความสำคัญของมาตรา 42 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายสำคัญที่มุ่งคุ้มครองสิทธิของผู้บริโภคในการได้รับความเป็นธรรมเมื่อเกิดข้อพิพาทกับผู้ประกอบธุรกิจ โดยเฉพาะมาตรา 42 วรรคหนึ่ง ซึ่งให้อำนาจศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมจากค่าเสียหายที่แท้จริงในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจมีการกระทำที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้บริโภค เนื้อหาในมาตรา 42 วรรคหนึ่ง มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ระบุว่า “ถ้าการกระทําที่ถูกฟ้องร้องเกิดจากการที่ผู้ประกอบธุรกิจกระทําโดยเจตนาเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรมหรือจงใจให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหายหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงไม่นําพาต่อความเสียหายที่จะเกิดแก่ผู้บริโภค หรือกระทําการอันเป็นการฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบในฐานะผู้มีอาชีพหรือธุรกิจอันย่อมเป็นที่ไว้วางใจของประชาชน เมื่อศาลมีคําพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้บริโภค ให้ศาลมีอํานาจสั่งให้ผู้ประกอบธุรกิจจ่ายค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มขึ้นจากจํานวนค่าเสียหายที่แท้จริงที่ศาลกําหนดได้ตามที่เห็นสมควร...” เงื่อนไขการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ จากบทบัญญัติดังกล่าว การกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษต้องมีองค์ประกอบดังนี้: 1.การกระทำที่ไม่เป็นธรรม: ผู้ประกอบธุรกิจมีพฤติกรรมเอาเปรียบผู้บริโภค เจตนาให้ผู้บริโภคได้รับความเสียหาย หรือประมาทเลินเล่อร้ายแรง 2.การฝ่าฝืนต่อความรับผิดชอบ: ผู้ประกอบธุรกิจไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ตามมาตรฐานของธุรกิจที่พึงไว้วางใจ 3.การกำหนดค่าเสียหายแท้จริงก่อน: ศาลต้องกำหนดค่าเสียหายที่แท้จริงเป็นฐานก่อน แล้วจึงคำนวณค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติม วัตถุประสงค์ของมาตรา 42 วัตถุประสงค์สำคัญของการกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษ ได้แก่: •ยับยั้งการกระทำผิด: สร้างแรงจูงใจให้ผู้ประกอบธุรกิจปฏิบัติต่อผู้บริโภคอย่างเป็นธรรม •ป้องปรามการกระทำซ้ำ: ป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบผู้บริโภคอีกในอนาคต •คุ้มครองสิทธิผู้บริโภค: ส่งเสริมความเป็นธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี ตัวอย่างคดีที่เกี่ยวข้อง ในคดีที่ศาลพิพากษาให้ผู้ประกอบธุรกิจคืนเงินแก่ผู้บริโภคเนื่องจากการเลิกสัญญาซื้อขาย ศาลต้องพิจารณาว่าค่าเสียหายดังกล่าวเป็น “ค่าเสียหายแท้จริง” หรือไม่ หากการคืนเงินเกิดจากการเลิกสัญญาตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น มาตรา 391 วรรคหนึ่ง ศาลจะไม่สามารถกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษเพิ่มเติมได้ เพราะไม่ใช่ค่าเสียหายจากการผิดสัญญา ข้อสังเกตในทางปฏิบัติ •การตีความมาตรา 42: ศาลต้องพิจารณาอย่างรอบคอบว่าการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจเข้าข่ายเจตนาเอาเปรียบหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือไม่ •การพิสูจน์ค่าเสียหายแท้จริง: ผู้บริโภคต้องแสดงหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับความเสียหายเพื่อให้ศาลใช้เป็นฐานในการคำนวณ สรุป มาตรา 42 วรรคหนึ่ง ของพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีผู้บริโภค พ.ศ. 2551 เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยส่งเสริมความยุติธรรมในคดีผู้บริโภค โดยให้อำนาจศาลกำหนดค่าเสียหายเพื่อการลงโทษในกรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเอาเปรียบผู้บริโภคอย่างไม่เป็นธรรม อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรานี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของการกำหนดค่าเสียหายแท้จริงเป็นฐานก่อน เพื่อให้การลงโทษมีความสมเหตุสมผลและเป็นธรรมทั้งต่อผู้บริโภคและผู้ประกอบธุรกิจ ***น้ำรั่วในห้องชุดฟ้องร้องได้หรือไม่? บทนำ น้ำรั่วในห้องชุดเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในคอนโดมิเนียมและมักนำไปสู่ข้อพิพาทระหว่างเจ้าของห้องชุด ผู้บริหารอาคารชุด หรือผู้รับเหมาก่อสร้าง หากคุณกำลังประสบปัญหาน้ำรั่วในห้องชุดและสงสัยว่าสามารถฟ้องร้องเพื่อเรียกร้องความเสียหายได้หรือไม่ บทความนี้จะให้คำตอบ พร้อมตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกา 6 รายการเพื่อศึกษาและเปรียบเทียบ สามารถฟ้องร้องได้หรือไม่? การฟ้องร้องเกี่ยวกับปัญหาน้ำรั่วในห้องชุดขึ้นอยู่กับเงื่อนไขและข้อเท็จจริงในแต่ละกรณี เช่น 1.กรณีเกิดจากการก่อสร้างหรือการออกแบบที่ไม่ได้มาตรฐาน เจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องผู้รับเหมาก่อสร้างหรือเจ้าของโครงการได้ โดยอ้างอิงกฎหมายเกี่ยวกับความรับผิดในสัญญาและการกระทำละเมิด เช่น ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420 (ละเมิด) และมาตรา 598 (ความรับผิดของผู้รับจ้างในการชำรุดบกพร่อง) 2.กรณีเกิดจากการบริหารอาคารชุดที่ไม่เหมาะสม หากน้ำรั่วเกิดจากการละเลยหรือการบริหารจัดการพื้นที่ส่วนกลางของนิติบุคคล เจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องร้องนิติบุคคลได้ เช่น กรณีท่อประปาที่อยู่ในส่วนกลางเกิดการชำรุด 3.กรณีเกิดจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าของห้องชุดข้างเคียง หากปัญหาเกิดจากการกระทำหรือการละเลยของเพื่อนบ้าน เช่น การปรับปรุงห้องโดยไม่ได้รับอนุญาตและทำให้ท่อประปาเสียหาย ผู้เสียหายสามารถฟ้องร้องโดยอ้างอิงกฎหมายละเมิด ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกา – ศาลตัดสินว่าเจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องร้องผู้รับเหมาก่อสร้างได้หากพบว่าความเสียหายเกิดจากการก่อสร้างที่ไม่ได้มาตรฐาน แม้ว่าการก่อสร้างจะเสร็จสิ้นและส่งมอบห้องชุดแล้ว 2.คำพิพากษาศาลฎีกา – กรณีที่น้ำรั่วซึมมาจากพื้นที่ส่วนกลาง ศาลพิจารณาว่านิติบุคคลต้องรับผิดชอบในการซ่อมแซมและชดใช้ความเสียหายแก่เจ้าของห้องชุด 3.คำพิพากษาศาลฎีกา– เจ้าของห้องชุดฟ้องร้องเพื่อนบ้านที่ทำให้เกิดน้ำรั่วซึม โดยศาลพิจารณาว่าเพื่อนบ้านมีความประมาทในการปรับปรุงห้องชุด และต้องชดใช้ค่าเสียหาย 4.คำพิพากษาศาลฎีกา– กรณีที่ผู้รับเหมาปฏิเสธความรับผิดชอบในความชำรุดบกพร่อง ศาลชี้ว่าความรับผิดชอบในเรื่องนี้ไม่สามารถตัดสิทธิได้โดยข้อสัญญาที่ไม่เป็นธรรม 5.คำพิพากษาศาลฎีกา – ศาลระบุว่านิติบุคคลมีหน้าที่ในการตรวจสอบและดูแลพื้นที่ส่วนกลางอย่างเหมาะสม หากละเลยจนเกิดน้ำรั่วซึม นิติบุคคลต้องรับผิด 6.คำพิพากษาศาลฎีกา – ในกรณีที่น้ำรั่วซึมเกิดจากความผิดพลาดในการออกแบบของผู้พัฒนาโครงการ ศาลตัดสินว่าผู้พัฒนาต้องรับผิดชอบในค่าเสียหายทั้งหมด สรุป เจ้าของห้องชุดสามารถฟ้องร้องได้ในกรณีที่น้ำรั่วในห้องชุดก่อให้เกิดความเสียหาย โดยเงื่อนไขของการฟ้องร้องขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบในเหตุการณ์นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง นิติบุคคล หรือเพื่อนบ้าน คำพิพากษาศาลฎีกาที่นำเสนอมานี้เป็นตัวอย่างเพื่อศึกษาและช่วยให้เข้าใจแนวทางการพิจารณาของศาลในกรณีต่างๆ หากคุณประสบปัญหานี้ ควรปรึกษาทนายความหรือผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อประเมินกรณีของคุณอย่างละเอียดและดำเนินการตามกฎหมายได้อย่างเหมาะสม |