ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




โจทก์ขอบอกล้างการให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันระหว่างสมรส

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

โจทก์ขอบอกล้างการให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันระหว่างสมรส

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการฟ้องขอเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง โดยภริยาอ้างว่าใช้เงินส่วนตัวที่บิดายกให้โดยเสน่หาเพื่อซื้อที่ดิน แต่สามีกลับร่วมจดชื่อเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ด้วย ทั้งที่ไม่ได้เป็นเจ้าของเงิน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเป็นสิทธิบอกล้างได้ตามกฎหมาย และที่ดินดังกล่าวยังคงเป็นสินส่วนตัวของภริยา

สรุปย่อคำพิพากษา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เงินจำนวน 13,500,000 บาทที่บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีของจำเลยนั้น เป็นการให้โดยเสน่หาแก่โจทก์โดยเฉพาะ ไม่ได้ยกให้จำเลยร่วมด้วย จึงถือเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (3) แม้จะนำไปซื้อที่ดินและอาคารร่วมกับจำเลยและจดทะเบียนชื่อกรรมสิทธิ์รวมกัน ก็ถือว่าเป็นการทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสมรส ซึ่งสามารถบอกล้างได้ตามมาตรา 1469

เมื่อโจทก์ใช้สิทธิบอกล้างในระหว่างที่ยังเป็นสามีภริยากับจำเลยอยู่ การถือกรรมสิทธิ์รวมในทรัพย์จึงเพิกถอนได้ และที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ตามมาตรา 1472 วรรคหนึ่ง ศาลฎีกาพิพากษากลับตามศาลชั้นต้น ให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์รวมและยืนยันสิทธิของโจทก์ในทรัพย์สินดังกล่าว

🧾 ข้อเท็จจริงของคดี

•โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสกันอย่างถูกต้องตามกฎหมาย

•ขณะสมรส โจทก์ใช้เงินจำนวน 13.5 ล้านบาท ซึ่งบิดาของโจทก์ให้โดยเสน่หา โอนเข้าบัญชีของจำเลยเพื่อซื้อที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

•โฉนดที่ดินและอาคารจดชื่อร่วมกันระหว่างโจทก์และจำเลย

•ต่อมา โจทก์ฟ้องขอหย่า แบ่งสินสมรส และฟ้องเพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและอาคารพิพาท

•ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์คืนโจทก์

•ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาให้แบ่งทรัพย์สินครึ่งหนึ่ง

•โจทก์ฎีกา ศาลฎีกากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์และยืนยันตามศาลชั้นต้น

⚖️ ประเด็นที่ต้องวินิจฉัย

1. เงินที่ใช้ซื้อที่ดินเป็นสินส่วนตัวหรือสินสมรส?

ศาลวินิจฉัยว่า เงินจำนวน 13.5 ล้านบาทที่ใช้ซื้อมาจากบิดาของโจทก์ ซึ่งให้โดยเสน่หา ไม่ได้มีเจตนายกให้จำเลย จึงถือว่าเป็น “สินส่วนตัว” ของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1471 (3)

2. เมื่อซื้อที่ดินแล้วจดชื่อร่วมกัน ยังถือเป็นสินส่วนตัวหรือไม่?

แม้ที่ดินจะจดชื่อร่วมกันระหว่างสามีภริยา แต่หากแหล่งที่มาของเงินเป็นสินส่วนตัวของฝ่ายหนึ่ง การใส่ชื่อร่วมถือเป็น “สัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยา” โจทก์จึงมีสิทธิบอกล้างได้ภายในระยะเวลาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469

3. โจทก์ใช้สิทธิบอกล้างภายในกำหนดหรือไม่?

การที่โจทก์ฟ้องคดีในขณะยังเป็นสามีภริยากับจำเลยอยู่ ถือว่าเป็นการบอกล้างที่ชอบด้วยกฎหมาย ตามกำหนดเวลาตามมาตรา 1469

📚 ขยายความทางกฎหมาย

🔸 สินส่วนตัวกับสินสมรส

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) เงินหรือทรัพย์สินที่ได้มาโดยเสน่หาจากบุคคลภายนอก ถือเป็น “สินส่วนตัว” เว้นแต่ผู้ให้จะระบุให้เป็นสินสมรสโดยชัดแจ้ง

ในคดีนี้ ไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจนว่านายเฉลิมชัย (บิดาของโจทก์) ต้องการให้เงินนี้แก่จำเลยด้วย และจำเลยก็ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีความสนิทสนมกับนายเฉลิมชัยเพียงพอที่จะรับเงินจำนวนมากถึงครึ่งหนึ่ง

🔸 สิทธิบอกล้างสัญญาทรัพย์สินระหว่างสมรส

มาตรา 1469 กำหนดให้สัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาสามารถบอกล้างได้ตลอดเวลาที่สมรส หรือภายในหนึ่งปีหลังหย่า ในคดีนี้โจทก์ใช้สิทธิบอกล้างในขณะที่ยังสมรสอยู่ จึงถือว่าชอบด้วยกฎหมาย

🧠 ข้อคิดทางกฎหมายจากคดีนี้

1.การใช้ชื่อร่วมในโฉนดไม่ใช่ข้อสรุปว่าเป็นสินสมรส หากพิสูจน์ได้ว่าเงินที่ใช้ซื้อทรัพย์สินนั้นเป็นสินส่วนตัว

2.ผู้ให้เงินโดยเสน่หา (เช่น บิดา มารดา) ควรระบุเจตนาให้ชัดเจน เช่น เป็นของลูกเท่านั้นหรือของคู่สมรสร่วมกัน

3.สามีภริยาควรทำบันทึกหรือสัญญาให้ชัดเจน หากมีข้อตกลงทางทรัพย์สิน เพื่อป้องกันข้อพิพาทในอนาคต

4.สิทธิบอกล้างสามารถใช้ได้ทันทีในระหว่างสมรส ไม่ต้องรอให้มีการหย่าขาดก่อน

✅ สรุปคำพิพากษา

ศาลฎีกาเห็นว่าที่ดินและอาคารพิพาทเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ เนื่องจากใช้เงินที่บิดาให้โดยเสน่หาเป็นผู้เดียว และการจดชื่อร่วมเป็นสัญญาที่สามารถบอกล้างได้ โจทก์ใช้สิทธิบอกล้างภายในระยะเวลากฎหมาย จึงพิพากษาให้จำเลยโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินคืนโจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น พร้อมกำหนดให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าทนายความรวม 30,000 บาท ส่วนค่าธรรมเนียมดำเนินคดีให้ตกเป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3857/2562

จำเลยแก้ฎีกาอ้างข้อเท็จจริงว่าคุ้นเคยสนิทสนมกับ ฉ. และได้โทรศัพท์ขอบคุณ ฉ. ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้นำสืบในชั้นพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และที่จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำแก้ฎีกา ก็ไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน


เงินที่ ฉ. บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยมีจำนวนมากถึง 13,500,000 บาท ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยที่ ฉ. จะยกให้แก่จำเลยถึงกึ่งหนึ่งโดยเสน่หา ทั้งจำเลยไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อขอเงินจาก ฉ. แม้ ฉ. จะเป็นบิดาของโจทก์แต่ก็หาเป็นข้อระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่ ดังนั้นเงินจำนวนดังกล่าวที่ ฉ. โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นเงินที่ ฉ. ให้โจทก์โดยเสน่หาอันเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาท เช่นนี้ ที่ดินและอาคารพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทร่วมกัน และให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างเป็นสามีภริยา ซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากัน หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469


การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่ ถือว่าเป็นการบอกล้างภายในกำหนดตามกฎหมายข้างต้น โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ให้โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม

อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประการหนึ่งตามตาราง 7 ท้าย ป.วิ.พ. ศาลชั้นต้นมิได้กำหนด ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ชัดแจ้ง

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 คืนโจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายในการโอนทั้งสิ้น หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง


ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 คืนให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการโอนทั้งหมด หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้โจทก์และจำเลยแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันคนละครึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันชอบด้วยกฎหมาย โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2546 ขณะจดทะเบียนสมรสโจทก์และจำเลยอายุ 29 ปี และ 41 ปี ตามลำดับ และทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสกลนคร โดยโจทก์เป็นวิสัญญีแพทย์มารับราชการที่โรงพยาบาลสกลนครตั้งแต่ปี 2542 จำเลยเป็นแพทย์ประจำสูตินรีเวชและวางแผนที่โรงพยาบาลสกลนครตั้งแต่ปี 2537 จำเลยเปิดคลินิกก่อนสมรสประมาณ 10 ปี โดยเช่าอาคารของบุคคลอื่น เมื่อสมรสแล้วโจทก์ร่วมกับจำเลยทำคลินิกดังกล่าว ต่อมาโจทก์ประสงค์จะมีอาคารเป็นของตนเองจึงดำเนินการหาที่ดินและอาคารจนพบที่ดินและอาคารพิพาทคดีนี้ซึ่งเป็นร้านขายและซ่อมรถจักรยานยนต์ของชาญมอเตอร์ โจทก์ได้ติดต่อขอซื้อจากนางกรรณิกา ซึ่งเป็นตัวแทนและน้องสาวของนางสาวกมล เจ้าของที่ดินและอาคาร นางกรรณิกาบอกขายในราคา 13,500,000 บาท โจทก์ติดต่อนายเฉลิมชัย ซึ่งเป็นบิดาให้โอนเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งเป็นของนายเฉลิมชัยเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 นายเฉลิมชัยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของตนที่เปิดไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 13,500,000 บาท โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่เปิดไว้ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 412142xxxx วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2548 โจทก์และจำเลยได้ใช้เงินดังกล่าวจดทะเบียนซื้อที่ดินและอาคารพิพาทซึ่งเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 จากนางสาวกมลโดยใส่ชื่อโจทก์และจำเลยเป็นผู้ซื้อและจดทะเบียนเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและอาคารพิพาทซึ่งในวันเดียวกันนั้นนางสาวกมลได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินและอาคารพิพาทจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยก่อนโอนให้โจทก์และจำเลย หลังจากจดทะเบียนซื้อขายแล้วร้านชาญมอเตอร์เช่าประกอบกิจการต่อประมาณ 2 ปี จนกระทั่งปี 2550 จึงได้ดำเนินการปรับปรุงตกแต่งอาคารพิพาทเป็นคลินิก วันที่ 30 ตุลาคม 2558 โจทก์ฟ้องจำเลยขอหย่า แบ่งสินสมรส เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียวและในวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสวัสดิภาพห้ามจำเลยเข้าใกล้โจทก์ ห้ามทำร้าย ข่มขู่หรือทำลายทรัพย์สินโจทก์ ให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานติดตามดูแลจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาล ออกคำสั่งมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่โจทก์และบุคคลในครอบครัว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพของโจทก์และออกหมายให้ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขณะที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่


ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า เงิน 13,500,000 บาท ที่นายเฉลิมชัย บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นสินส่วนตัวของโจทก์หรือเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยคนละกึ่งหนึ่ง เห็นว่า โจทก์และนายเฉลิมชัยเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า นายเฉลิมชัยให้เงินแก่โจทก์เป็นสินส่วนตัวเพื่อให้ไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาทโดยนายเฉลิมชัยจะโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์แต่โจทก์บอกให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อความสะดวกในการที่จะให้จำเลยในการติดต่อและชำระเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาท แม้นายเฉลิมชัยจะเป็นบิดาของโจทก์แต่ก็หาเป็นข้อระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือโจทก์ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่ เพราะเงินที่โอนเข้าบัญชีของจำเลยมีจำนวนถึง 13,500,000 บาท ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยที่นายเฉลิมชัยจะยกให้แก่จำเลยถึงกึ่งหนึ่งโดยเสน่หาซึ่งนายเฉลิมชัยก็เบิกความยืนยันว่ามิได้มีความสนิทสนมกับจำเลยและจำเลยไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อขอเงินจากนายเฉลิมชัย คำเบิกความของนายเฉลิมชัยที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินที่โอนมีน้ำหนักให้รับฟัง จำเลยกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยเคยคุยกับโจทก์ว่าตึกที่ซื้อใหม่นี้จะต้องเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกันหากไม่ใช่กรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และจำเลยแล้ว จำเลยจะไม่ยอมนำเงินมาปรับปรุงและไม่ย้ายมาทำคลินิกร่วมกับโจทก์ จึงเป็นการเจือสมกับคำของโจทก์ที่เบิกความว่าโจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาท ยิ่งเป็นข้อสนับสนุนว่านายเฉลิมชัยให้เงิน 13,500,000 บาท เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ จำเลยคงมีตัวจำเลยเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่านายเฉลิมชัยให้เงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์และจำเลยคนละกึ่งหนึ่งโดยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยคุ้นเคยสนิทสนมกับนายเฉลิมชัยถึงกับจะมอบเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยให้แก่จำเลย และจำเลยก็ไม่ได้นำสืบว่ามีการติดต่อกับนายเฉลิมชัยเพื่อให้เงินแก่จำเลย การที่นายเฉลิมชัยโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยหาเป็นข้อบ่งชี้ว่านายเฉลิมชัยยกเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่งไม่ ที่จำเลยแก้ฎีกาอ้างข้อเท็จจริงว่า คุ้นเคยสนิทสนมกับนายเฉลิมชัยและได้โทรศัพท์ขอบคุณนายเฉลิมชัยล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้นำสืบในชั้นพิจารณาในศาลชั้นต้นเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และที่จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำแก้ฎีกา ก็มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เงิน 13,500,000 บาท ที่นายเฉลิมชัยบิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ที่นายเฉลิมชัยให้โดยเสน่หา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) ฎีกาของโจทก์ประการแรกฟังขึ้น


ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองว่า ที่ดินและอาคารพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เงิน 13,500,000 บาท ที่นายเฉลิมชัย โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นเงินที่นายเฉลิมชัยให้โจทก์โดยเสน่หา อันเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ดังวินิจฉัยตามปัญหาประการแรกข้างต้น ดังนั้น เมื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาท เช่นนี้ ที่ดินและอาคารพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทร่วมกันและให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมจึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างเป็นสามีภริยาซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันหรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่ถือว่าเป็นการบอกล้างภายในกำหนดตามกฎหมายข้างต้น โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ให้โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่า ที่ดินและอาคารพิพาทเป็นสินสมรสและให้แบ่งที่ดินให้โจทก์และจำเลยคนละกึ่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ประการที่สองฟังขึ้น

อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประการหนึ่งตามตาราง 7 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลชั้นต้นมิได้กำหนด ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ชัดแจ้ง

พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีการวม 30,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสามศาลให้เป็นพับ




สัญญาระหว่างสมรส

เงินผลประโยชน์สมาชิกเสียชีวิตไม่เป็นสินสมรส – วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 2236/2562
สามีให้ที่ดินอันเป็นสินส่วนตัวให้คู่สมรสระหว่างสมรส
ผิดข้อตกลงครอบครัว ต้องโอนที่ดินบางส่วนให้คู่สมรส
การเพิกถอนสัญญาให้เงินแก่คู่สมรส,การคืนสินส่วนตัวหลังหย่า,
สิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสตกทอดแก่ทายาท
คู่สมรสแยกกันอยู่แต่ยังไม่หย่าขาด ทำสัญญาแบ่งสินสมรสกัน บอกล้างสัญญาได้
สัญญาให้ทรัพย์สินโดยเสน่หา, สัญญาระหว่างสมรส, สิทธิบอกล้างสัญญา
เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างสมรส | สัญญาระหว่างสมรส
ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสมรส มาตรา 1469
สัญญาระหว่างสมรส สิทธิของบุคคลภายนอก
สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ | สัญญาระหว่างสมรส
ข้อตกลงสามียกที่ดินให้ภรรยาและจะไม่เพิกถอน
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างสมรส
ถือได้ว่าคำให้การเป็นการบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว