ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




โจทก์ขอบอกล้างการให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันระหว่างสมรส

เงินที่ ฉ. บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยมีจำนวนมากถึง 13,500,000 บาท ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยที่ ฉ. จะยกให้แก่จำเลยถึงกึ่งหนึ่งโดยเสน่หา ทั้งจำเลยไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อขอเงินจาก ฉ. แม้ ฉ. จะเป็นบิดาของโจทก์แต่ก็หาเป็นข้อระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่ ดังนั้นเงินจำนวนดังกล่าวที่ ฉ. โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นเงินที่ ฉ. ให้โจทก์โดยเสน่หาอันเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาท เช่นนี้ ที่ดินและอาคารพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทร่วมกัน และให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างเป็นสามีภริยา ซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากัน หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่ ถือว่าเป็นการบอกล้างภายในกำหนดตามกฎหมายข้างต้น โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ให้โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม

โจทก์ขอบอกล้างการให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันระหว่างสมรส

บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยมีจำนวนมากถึงสิบสามล้านบาท ไม่ใช่เงินจำนวนเล็กน้อยที่บิดาของโจทก์จะยกให้แก่จำเลยถึงกึ่งหนึ่งโดยเสน่หาดังนั้นเงินจำนวนดังกล่าวที่บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นเงินที่บิดาของโจทก์ประสงค์ให้โจทก์โดยเสน่หาจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อต่อมาโจทก์นำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทร่วมกัน และให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างเป็นสามีภริยา โจทก์จึงมีสิทธิบอกล้างเสียได้ในเวลาที่กฎหมายกำหนดใดคือภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3857/2562

จำเลยแก้ฎีกาอ้างข้อเท็จจริงว่าคุ้นเคยสนิทสนมกับ ฉ. และได้โทรศัพท์ขอบคุณ ฉ. ล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้นำสืบในชั้นพิจารณา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และที่จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำแก้ฎีกา ก็ไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน

เงินที่ ฉ. บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยมีจำนวนมากถึง 13,500,000 บาท ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยที่ ฉ. จะยกให้แก่จำเลยถึงกึ่งหนึ่งโดยเสน่หา ทั้งจำเลยไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อขอเงินจาก ฉ. แม้ ฉ. จะเป็นบิดาของโจทก์แต่ก็หาเป็นข้อระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือโจทก์ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่ ดังนั้นเงินจำนวนดังกล่าวที่ ฉ. โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นเงินที่ ฉ. ให้โจทก์โดยเสน่หาอันเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ เมื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาท เช่นนี้ ที่ดินและอาคารพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทร่วมกัน และให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวม จึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างเป็นสามีภริยา ซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากัน หรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1469

การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่ ถือว่าเป็นการบอกล้างภายในกำหนดตามกฎหมายข้างต้น โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ให้โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม

อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประการหนึ่งตามตาราง 7 ท้าย ป.วิ.พ. ศาลชั้นต้นมิได้กำหนด ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ชัดแจ้ง

โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 คืนโจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมค่าใช้จ่ายในการโอนทั้งสิ้น หากจำเลยเพิกเฉยให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 คืนให้แก่โจทก์ โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าธรรมเนียมการโอนทั้งหมด หากจำเลยไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนา กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 20,000 บาท

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 4 แผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยแบ่งที่ดินโฉนดเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 พร้อมสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ครึ่งหนึ่ง โดยให้โจทก์และจำเลยแบ่งทรัพย์สินดังกล่าวกันเองก่อน เมื่อไม่สามารถแบ่งได้ให้ประมูลราคาระหว่างกันเอง ถ้าตกลงกันไม่ได้ก็ให้นำทรัพย์สินดังกล่าวออกขายทอดตลาด ได้เงินสุทธิเท่าใดให้แบ่งกันคนละครึ่ง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้เป็นยุติในชั้นนี้โดยคู่ความไม่ได้โต้แย้งคัดค้านว่า โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันชอบด้วยกฎหมาย โดยจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2546 ขณะจดทะเบียนสมรสโจทก์และจำเลยอายุ 29 ปี และ 41 ปี ตามลำดับ และทำงานอยู่ที่โรงพยาบาลสกลนคร โดยโจทก์เป็นวิสัญญีแพทย์มารับราชการที่โรงพยาบาลสกลนครตั้งแต่ปี 2542 จำเลยเป็นแพทย์ประจำสูตินรีเวชและวางแผนที่โรงพยาบาลสกลนครตั้งแต่ปี 2537 จำเลยเปิดคลินิกก่อนสมรสประมาณ 10 ปี โดยเช่าอาคารของบุคคลอื่น เมื่อสมรสแล้วโจทก์ร่วมกับจำเลยทำคลินิกดังกล่าว ต่อมาโจทก์ประสงค์จะมีอาคารเป็นของตนเองจึงดำเนินการหาที่ดินและอาคารจนพบที่ดินและอาคารพิพาทคดีนี้ซึ่งเป็นร้านขายและซ่อมรถจักรยานยนต์ของชาญมอเตอร์ โจทก์ได้ติดต่อขอซื้อจากนางกรรณิกา ซึ่งเป็นตัวแทนและน้องสาวของนางสาวกมล เจ้าของที่ดินและอาคาร นางกรรณิกาบอกขายในราคา 13,500,000 บาท โจทก์ติดต่อนายเฉลิมชัย ซึ่งเป็นบิดาให้โอนเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งเป็นของนายเฉลิมชัยเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลย วันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2548 นายเฉลิมชัยถอนเงินจากบัญชีเงินฝากของตนที่เปิดไว้กับธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 13,500,000 บาท โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยที่เปิดไว้ที่ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) บัญชีเลขที่ 412142xxxx วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2548 โจทก์และจำเลยได้ใช้เงินดังกล่าวจดทะเบียนซื้อที่ดินและอาคารพิพาทซึ่งเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 6766 และเลขที่ 6767 จากนางสาวกมลโดยใส่ชื่อโจทก์และจำเลยเป็นผู้ซื้อและจดทะเบียนเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในที่ดินและอาคารพิพาทซึ่งในวันเดียวกันนั้นนางสาวกมลได้ไถ่ถอนจำนองที่ดินและอาคารพิพาทจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยก่อนโอนให้โจทก์และจำเลย หลังจากจดทะเบียนซื้อขายแล้วร้านชาญมอเตอร์เช่าประกอบกิจการต่อประมาณ 2 ปี จนกระทั่งปี 2550 จึงได้ดำเนินการปรับปรุงตกแต่งอาคารพิพาทเป็นคลินิก วันที่ 30 ตุลาคม 2558 โจทก์ฟ้องจำเลยขอหย่า แบ่งสินสมรส เรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูและขอให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียวและในวันเดียวกับที่โจทก์ยื่นฟ้อง โจทก์ยื่นคำร้องขอคุ้มครองสวัสดิภาพห้ามจำเลยเข้าใกล้โจทก์ ห้ามทำร้าย ข่มขู่หรือทำลายทรัพย์สินโจทก์ ให้ศาลสั่งเจ้าพนักงานติดตามดูแลจำเลยปฏิบัติตามคำสั่งศาล ออกคำสั่งมาตรการหรือวิธีการเพื่อบรรเทาทุกข์ให้แก่โจทก์และบุคคลในครอบครัว ศาลชั้นต้นมีคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพของโจทก์และออกหมายให้ปฏิบัติตามคำสั่งคุ้มครองสวัสดิภาพ โจทก์ยื่นฟ้องคดีนี้ขณะที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า เงิน 13,500,000 บาท ที่นายเฉลิมชัย บิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นสินส่วนตัวของโจทก์หรือเป็นสินส่วนตัวของโจทก์และจำเลยคนละกึ่งหนึ่ง เห็นว่า โจทก์และนายเฉลิมชัยเบิกความสอดคล้องต้องกันว่า นายเฉลิมชัยให้เงินแก่โจทก์เป็นสินส่วนตัวเพื่อให้ไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาทโดยนายเฉลิมชัยจะโอนเงินเข้าบัญชีของโจทก์แต่โจทก์บอกให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเพื่อความสะดวกในการที่จะให้จำเลยในการติดต่อและชำระเงินค่าที่ดินและอาคารพิพาท แม้นายเฉลิมชัยจะเป็นบิดาของโจทก์แต่ก็หาเป็นข้อระแวงว่าจะเบิกความช่วยเหลือโจทก์ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 วินิจฉัยไม่ เพราะเงินที่โอนเข้าบัญชีของจำเลยมีจำนวนถึง 13,500,000 บาท ไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยที่นายเฉลิมชัยจะยกให้แก่จำเลยถึงกึ่งหนึ่งโดยเสน่หาซึ่งนายเฉลิมชัยก็เบิกความยืนยันว่ามิได้มีความสนิทสนมกับจำเลยและจำเลยไม่เคยโทรศัพท์ติดต่อขอเงินจากนายเฉลิมชัย คำเบิกความของนายเฉลิมชัยที่เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเงินที่โอนมีน้ำหนักให้รับฟัง จำเลยกลับเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่าจำเลยเคยคุยกับโจทก์ว่าตึกที่ซื้อใหม่นี้จะต้องเป็นของโจทก์และจำเลยร่วมกันหากไม่ใช่กรรมสิทธิ์รวมของโจทก์และจำเลยแล้ว จำเลยจะไม่ยอมนำเงินมาปรับปรุงและไม่ย้ายมาทำคลินิกร่วมกับโจทก์ จึงเป็นการเจือสมกับคำของโจทก์ที่เบิกความว่าโจทก์ให้จำเลยถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินและอาคารพิพาท ยิ่งเป็นข้อสนับสนุนว่านายเฉลิมชัยให้เงิน 13,500,000 บาท เป็นสินส่วนตัวของโจทก์ จำเลยคงมีตัวจำเลยเพียงปากเดียวเบิกความลอย ๆ ว่านายเฉลิมชัยให้เงิน 13,500,000 บาท แก่โจทก์และจำเลยคนละกึ่งหนึ่งโดยไม่ได้นำสืบให้เห็นว่าจำเลยคุ้นเคยสนิทสนมกับนายเฉลิมชัยถึงกับจะมอบเงินจำนวนดังกล่าวซึ่งไม่ใช่จำนวนเล็กน้อยให้แก่จำเลย และจำเลยก็ไม่ได้นำสืบว่ามีการติดต่อกับนายเฉลิมชัยเพื่อให้เงินแก่จำเลย การที่นายเฉลิมชัยโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยหาเป็นข้อบ่งชี้ว่านายเฉลิมชัยยกเงินจำนวนดังกล่าวให้แก่จำเลยกึ่งหนึ่งไม่ ที่จำเลยแก้ฎีกาอ้างข้อเท็จจริงว่า คุ้นเคยสนิทสนมกับนายเฉลิมชัยและได้โทรศัพท์ขอบคุณนายเฉลิมชัยล้วนเป็นข้อเท็จจริงที่จำเลยไม่ได้นำสืบในชั้นพิจารณาในศาลชั้นต้นเลย ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย และที่จำเลยแก้ไขเพิ่มเติมคำแก้ฎีกา ก็มิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง และมาตรา 252 ประกอบพระราชบัญญัติเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ.2553 มาตรา 6 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยเช่นกัน พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เงิน 13,500,000 บาท ที่นายเฉลิมชัยบิดาของโจทก์โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ที่นายเฉลิมชัยให้โดยเสน่หา ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1471 (3) ฎีกาของโจทก์ประการแรกฟังขึ้น

ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการที่สองว่า ที่ดินและอาคารพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์และจำเลยดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาหรือไม่ และโจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เงิน 13,500,000 บาท ที่นายเฉลิมชัย โอนเข้าบัญชีเงินฝากของจำเลยเป็นเงินที่นายเฉลิมชัยให้โจทก์โดยเสน่หา อันเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ดังวินิจฉัยตามปัญหาประการแรกข้างต้น ดังนั้น เมื่อนำเงินดังกล่าวไปซื้อที่ดินและอาคารพิพาท เช่นนี้ ที่ดินและอาคารพิพาทจึงเป็นสินส่วนตัวของโจทก์ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1472 วรรคหนึ่ง การที่โจทก์ตกลงให้จำเลยจดทะเบียนซื้อขายที่ดินและอาคารพิพาทร่วมกันและให้ใส่ชื่อโจทก์และจำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมจึงเป็นกรณีที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินในระหว่างเป็นสามีภริยาซึ่งโจทก์มีสิทธิบอกล้างเสียในเวลาใดที่เป็นสามีภริยากันหรือภายในกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันที่ขาดจากการเป็นสามีภริยากันก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1469 การที่โจทก์ฟ้องคดีนี้ในระหว่างที่โจทก์และจำเลยเป็นสามีภริยากันอยู่ถือว่าเป็นการบอกล้างภายในกำหนดตามกฎหมายข้างต้น โจทก์มีสิทธิขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนที่ให้โจทก์และจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวม ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาว่า ที่ดินและอาคารพิพาทเป็นสินสมรสและให้แบ่งที่ดินให้โจทก์และจำเลยคนละกึ่งมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ประการที่สองฟังขึ้น

อนึ่ง ค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีเป็นค่าฤชาธรรมเนียมประการหนึ่งตามตาราง 7 ท้ายประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ศาลชั้นต้นมิได้กำหนด ศาลฎีกาเห็นควรกำหนดให้ชัดแจ้ง

พิพากษากลับให้บังคับคดีตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และฎีกาแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีการวม 30,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีทั้งสามศาลให้เป็นพับ

 




สัญญาระหว่างสมรส

เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างสมรส | สัญญาระหว่างสมรส
ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสมรส มาตรา 1469
การบอกล้างสัญญาระหว่างสมรส | แบ่งสินสมรส
สัญญาระหว่างสมรส สิทธิของบุคคลภายนอก
สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ | สัญญาระหว่างสมรส
ข้อตกลงสามียกที่ดินให้ภรรยาและจะไม่เพิกถอน
การบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสกรณีคู่สมรสถึงแก่ความตาย
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างสมรส
สามีให้ที่ดินอันเป็นสินส่วนตัวให้คู่สมรสระหว่างสมรส
คู่สมรสแยกกันอยู่แต่ยังไม่หย่าขาด ทำสัญญาแบ่งสินสมรสกัน บอกล้างสัญญาได้
ถือได้ว่าคำให้การเป็นการบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว