ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




บันทึกข้อตกลงครอบครัว & แบ่งสินสมรส, ฟ้องหย่า,(ฎีกา 1303/2568)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2568, บันทึกข้อตกลงครอบครัวเพื่อควบคุมพฤติกรรมคู่สมรส, ทัณฑ์บนในครอบครัวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(8), การฟ้องหย่าเพราะคู่สมรสทำร้ายร่างกาย, การสละสิทธิในสินสมรสตามสัญญาครอบครัว, การตีความข้อตกลงสละสินสมรสเป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 382-383, การลดเบี้ยปรับเพื่อความเป็นธรรม, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับสัญญาครอบครัวและทรัพย์สินสมรส, สิทธิเรียกร้องตามสัญญาครอบครัวเมื่อเกิดการทำร้ายร่างกาย, บทวิเคราะห์คดีทรัพย์สินกรณีหย่า, กฎหมายเยาวชนและครอบครัว, ตัวอย่างคำพิพากษาหย่าเพราะพฤติกรรมรุนแรงในครอบครัว

    ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับบันทึกข้อตกลงครอบครัวที่กำหนดเงื่อนไขว่าหากฝ่ายใดทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว ต้องยินยอมหย่าและสละสินสมรสทั้งหมด ศาลวินิจฉัยว่าข้อตกลงดังกล่าวมีผลใช้บังคับได้ในฐานะทัณฑ์บนตาม ป.พ.พ. มาตรา 1516(8) และเมื่อจำเลยทำร้ายบุตรย่อมผิดสัญญา แต่สัญญาสละสินสมรสทั้งจำนวนเป็นเบี้ยปรับสูงเกินส่วน ศาลใช้ดุลพินิจลดลงตามมาตรา 383 ให้โอนทรัพย์เพียง 6 ใน 10 ส่วนแทน

ภาพรวมคดี

คดีนี้เป็นคดีครอบครัวเกี่ยวกับการฟ้องหย่าและการแบ่งสินสมรส โดยคู่สมรสทำบันทึกข้อตกลง พร้อมกำหนดทัณฑ์บนว่า หากฝ่ายสามีทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว จะต้องหย่าพร้อมสละสิทธิในสินสมรสทั้งหมด คดีนี้มีประเด็นสำคัญ คือ

1. บันทึกข้อตกลงครอบครัวมีผลทางกฎหมายหรือไม่

2. ข้อตกลงสละสินสมรสทั้งหมดถือว่าเกินส่วนหรือไม่

3. ศาลมีอำนาจลดเบี้ยปรับหรือไม่

คดีนี้เป็นหนึ่งในแนวทางสำคัญด้าน Family Law ของไทยในการจัดการพฤติกรรมความรุนแรงในครอบครัว

ข้อเท็จจริงโดยสรุป

คู่สมรสแต่งงานและอยู่กินกว่า 20 ปี มีทรัพย์สินสมรสเป็นที่ดิน 7 แปลง ต่อมาได้ทำบันทึกข้อตกลงครอบครัว โดยระบุว่า หากฝ่ายสามีทำร้ายร่างกายคู่สมรสหรือคนในครอบครัว ต้องหย่าและสละสินสมรสทั้งหมด

ต่อมาบุตร 2 คนให้การว่าถูกบิดาทำร้าย ศาลเชื่อคำให้การและหลักฐานภาพถ่าย-ใบรับรองแพทย์ ศาลอุทธรณ์ให้โอนที่ดินทั้ง 7 แปลงให้โจทก์ทั้งหมด แต่จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า

จำเลยผิดสัญญาจริงเพราะทำร้ายบุตร

ข้อตกลงเป็นทัณฑ์บนตาม ป.พ.พ. 1516(8) ใช้ฟ้องหย่าได้

แต่สละสินสมรสทั้งหมดเป็น “เบี้ยปรับสูงเกินส่วน”

ศาลใช้ ม. 382-383 ลดให้เหลือ 6 ใน 10 ส่วน

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้อยู่ที่การตีความและบังคับใช้บันทึกข้อตกลงครอบครัวที่คู่สมรสทำต่อกัน เพื่อควบคุมพฤติกรรมไม่ให้ใช้ความรุนแรงในครอบครัว และการสละทรัพย์สินสมรสเมื่อฝ่ายหนึ่งผิดสัญญา ซึ่งศาลฎีกาวินิจฉัยด้วยหลักกฎหมายสำคัญคือประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(8) เรื่องการผิดทัณฑ์บนเป็นเหตุหย่า และมาตรา 382-383 เกี่ยวกับเบี้ยปรับและการลดเบี้ยปรับเมื่อสูงเกินส่วน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมโดยรวมของคดี

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(8)

ใช้รองรับว่า บันทึกข้อตกลงครอบครัวที่กำหนดให้ผู้กระทำความรุนแรงต้องยอมรับผลตามข้อตกลง ถือเป็นทัณฑ์บนที่ทำให้หย่าได้ตามกฎหมาย และไม่ใช่สัญญาที่ขัดต่อศีลธรรมอันดีหรือความสงบเรียบร้อย

2. บันทึกข้อตกลงครอบครัว 

ศาลถือว่าข้อตกลงดังกล่าวมีผลผูกพันคู่สมรส และสามารถนำมาใช้เป็นเหตุหย่าได้จริงเมื่อมีการกระทำผิดข้อตกลง เช่น ใช้ความรุนแรงต่อคู่สมรสหรือบุตร

3. เบี้ยปรับตามมาตรา 382

ข้อกำหนดให้สละสิทธิในสินสมรสทั้งหมดเมื่อทำร้ายคนในครอบครัว ถือเป็น “เบี้ยปรับ” ตามกฎหมาย ไม่ใช่การตกลงเรื่องทรัพย์สินระหว่างสมรสโดยตรง จึงต้องอยู่ในกรอบกฎหมายเบี้ยปรับ

4. การลดเบี้ยปรับตามมาตรา 383

แม้จำเลยผิดสัญญาจริง แต่การให้สละสินสมรสทั้งหมดถือว่า “สูงเกินส่วน” ศาลจึงใช้อำนาจลดเบี้ยปรับตามมาตรา 383 เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม โดยให้โอนเฉพาะส่วนที่เหมาะสม

5. พิสูจน์การใช้ความรุนแรงในครอบครัว

คำให้การและหลักฐาน เช่น พยานบุตร ภาพถ่ายบาดแผล และใบรับรองแพทย์ ทำให้ศาลเชื่อว่าจำเลยใช้ความรุนแรงจริง จึงเป็นการผิดเงื่อนไขตามบันทึกข้อตกลงและเป็นเหตุให้ต้องรับผลทางกฎหมายตามสัญญา

ประเด็นกฎหมายสำคัญ

1) ข้อตกลงครอบครัวทำนองทัณฑ์บนมีผลตามกฎหมาย

ศาลยืนยันบันทึกดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรม และเป็นเงื่อนไขตาม ม. 1516(8) ใช้เป็นเหตุหย่าได้

2) บทสละสินสมรส = เบี้ยปรับ

ข้อตกลงให้สละสินสมรสทั้งหมดเป็น “เบี้ยปรับ” ตาม ม. 382

3) ลดเบี้ยปรับได้

เมื่อเบี้ยปรับเกินส่วน ศาลใช้ดุลพินิจลดลงตาม ม. 383 ให้สมดุลแก่กำลังทรัพย์ อายุ และสภาพครอบครัว

คำวินิจฉัยสำคัญของศาลฎีกา

รับฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายบุตรจริง

บันทึกข้อตกลงครอบครัวบังคับได้

แต่การให้ยกสินสมรสทั้งหมด เป็นเบี้ยปรับสูงเกินส่วน

ลดสัดส่วนโอนทรัพย์สินเหลือ 6/10 ส่วน

ผลลัพธ์: โจทก์ชนะ แต่ศาลปรับความเป็นธรรมด้วยการลดจำนวนทรัพย์ที่ต้องโอน

วิเคราะห์ทางกฎหมาย 

คำพิพากษานี้ยืนยันว่าสัญญาครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับความประพฤติ เช่น การไม่ใช้ความรุนแรง สามารถมีผลบังคับได้ตามกฎหมายครอบครัวไทย เป็นกลไกปกป้องสถาบันครอบครัว

อย่างไรก็ตาม ศาลแสดงหลักสมดุลระหว่างความยุติธรรมและหลักมนุษยธรรม โดยพิจารณาอายุคู่สมรส การร่วมสร้างทรัพย์สิน และสภาพชีวิตในอนาคต ไม่ปล่อยให้บทลงโทษรุนแรงเกินไปจนเป็นการลงทัณฑ์ที่เกินสมควร

IRAC (ขยาย)

Issue (ประเด็น)

สัญญาครอบครัวที่กำหนดให้สละสินสมรสทั้งหมดเมื่อทำร้ายคนในครอบครัวมีผลบังคับหรือไม่ และสามารถลดลงได้หรือไม่

Rule (กฎหมาย)

ป.พ.พ. ม. 1516(8): ฟ้องหย่าเพราะทัณฑ์บน

ป.พ.พ. ม. 382: เบี้ยปรับ

ป.พ.พ. ม. 383: ศาลลดเบี้ยปรับได้

ป.วิ.พ. ม. 142, 246, 252: ศาลฎีกาหยิบยกประเด็นได้เพื่อความสงบเรียบร้อย

Application (การประยุกต์)

จำเลยใช้ความรุนแรง ฝ่าฝืนเงื่อนไขทัณฑ์บน จึงต้องปฏิบัติตามข้อตกลง แต่การสละสินสมรสทั้งหมด ไม่สมเหตุสมผลเมื่อเทียบกับเหตุและภาวะชีวิตของจำเลย ศาลจึงลดให้เหลือสัดส่วนที่เหมาะสม

Conclusion (ข้อสรุป)

บันทึกข้อตกลงมีผลตามกฎหมาย แต่ต้องลดเบี้ยปรับให้เป็นธรรม

ข้อคิดทางกฎหมาย

บันทึกข้อตกลงในครอบครัวมีผลจริง หากไม่ขัดกฎหมายหรือศีลธรรม

การลงโทษคู่สมรสต้องสมดุล ไม่เกินส่วน

ศาลมีอำนาจกำกับเพื่อความเป็นธรรม แม้คู่ความไม่ยกประเด็น

แนวนี้ช่วยป้องกันความรุนแรงในครอบครัวอย่างเป็นรูปธรรม

สรุป

คดีนี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญว่า

ความรุนแรงในครอบครัวเป็นเหตุหย่าที่มีผลจริง และข้อตกลงควบคุมพฤติกรรมคู่สมรสใช้บังคับได้ แต่ต้องมีความพอสมควร ไม่ใช้เป็นเครื่องมือกดขี่อีกฝ่ายเกินเป็นธรรม

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

คำถามที่ 1

โจทก์และจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยามานานกว่า 20 ปี มีทรัพย์สินสมรสร่วมกันเป็นที่ดิน 7 แปลง ต่อมาได้มีการทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวกำหนดให้จำเลยต้องไม่ใช้ความรุนแรงต่อโจทก์หรือบุคคลในครอบครัว หากฝ่าฝืนต้องยินยอมหย่าและสละทรัพย์สินสมรสทั้งหมด ต่อมาบุตร 2 คนของคู่ความให้การว่าถูกจำเลยทำร้ายร่างกาย และมีภาพถ่ายบาดแผลรวมทั้งใบรับรองแพทย์ยืนยันเหตุการณ์ จำเลยให้การปฏิเสธและอ้างว่าเป็นเรื่องสมคบคิดเพื่อให้ตนผิดสัญญาเพื่อแย่งทรัพย์สิน แต่ไม่มีพยานหลักฐานยืนยัน ข้อเท็จจริงลักษณะดังกล่าว ศาลควรเชื่อพยานฝ่ายใดและเหตุใด และบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีผลทางกฎหมายหรือไม่

คำตอบ

เมื่อพิจารณาคำเบิกความของบุตรทั้งสอง ซึ่งเป็นประจักษ์พยานผู้เห็นเหตุการณ์โดยตรง ประกอบภาพถ่ายบาดแผลและใบรับรองแพทย์ที่สอดคล้องกับเหตุการณ์ รวมถึงหลักฐานการแจ้งความลงบันทึกประจำวันใกล้เคียงกับวันเกิดเหตุ ประกอบกับไม่มีเหตุอันควรเชื่อว่าบุตรทั้งสองจะสร้างเรื่องเท็จเพื่อทำให้จำเลยเสียหาย และจำเลยเองไม่มีพยานหลักฐานหักล้างที่น่าเชื่อถือกว่าคำเบิกความฝ่ายโจทก์ ศาลจึงควรเชื่อว่าจำเลยได้ใช้ความรุนแรงจริง การกระทำดังกล่าวย่อมเป็นการผิดข้อตกลงครอบครัวที่ทำไว้ ข้อตกลงดังกล่าวเป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นทัณฑ์บนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(8) มิใช่สัญญาที่เป็นการจัดการทรัพย์สินระหว่างสมรสโดยตรง และไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี ดังนั้น จึงมีผลบังคับตามกฎหมาย และโจทก์สามารถใช้เป็นเหตุแห่งการหย่าและบังคับสิทธิในส่วนทรัพย์สินตามข้อตกลงได้

คำถามที่ 2

เมื่อจำเลยทำผิดบันทึกข้อตกลงครอบครัวโดยใช้ความรุนแรงต่อบุตรตามที่ตกลงไว้ โจทก์จึงฟ้องขอให้จำเลยต้องโอนทรัพย์สินสินสมรสทั้งหมดให้แก่ตนตามข้อตกลง จำเลยโต้แย้งในชั้นฎีกาว่าถ้าเป็นการสละสิทธิ ก็สละเฉพาะสิทธิในการจัดการทรัพย์สิน มิใช่สละกรรมสิทธิ์ทั้งหมด ศาลฎีกาควรพิจารณาข้อโต้แย้งดังกล่าวหรือไม่ และข้อตกลงลักษณะดังกล่าวถือเป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินสมรสหรือเป็นเบี้ยปรับตามกฎหมายใด

คำตอบ

ข้อโต้แย้งของจำเลยในชั้นฎีกาดังกล่าวเป็นข้ออ้างใหม่ที่ไม่ได้ยกขึ้นว่าและสืบมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสองชั้น จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 ประกอบมาตรา 252 และไม่อยู่ในข้อยกเว้นตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวฯ มาตรา 182/1 วรรคสอง ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ข้อตกลงให้สละทรัพย์สินสมรสทั้งหมดหากทำร้ายคนในครอบครัว มิใช่การจัดการทรัพย์สินระหว่างสมรสโดยตรง แต่เป็นข้อตกลงลักษณะเป็นเบี้ยปรับในสัญญา และมีผลบังคับตามกฎหมายตามมาตรา 382 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ทั้งนี้ต้องอยู่ภายใต้การควบคุมของมาตรา 383 ที่ให้อำนาจศาลลดเบี้ยปรับได้ หากเห็นว่าเบี้ยปรับสูงเกินควรเพื่อให้ความเป็นธรรมแก่คู่กรณี

คำถามที่ 3

เมื่อศาลเห็นว่าจำเลยทำร้ายบุตรซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัวจริงตามบันทึกข้อตกลง และโจทก์มีสิทธิเรียกร้องตามข้อตกลงให้จำเลยสละสินสมรสทั้งหมด แต่เห็นว่าการให้จำเลยยกที่ดินสินสมรสทั้งหมด 7 แปลงที่สะสมมาตลอดชีวิตให้แก่โจทก์ทั้งหมดเป็นการลงโทษที่สูงเกินควร จำเลยสูงอายุและไม่มีรายได้ ศาลควรใช้หลักกฎหมายใดในการพิจารณาแก้ไขเงื่อนไขดังกล่าว และสามารถลดจำนวนทรัพย์สินที่ต้องโอนให้แก่โจทก์ได้หรือไม่

คำตอบ

แม้จำเลยผิดข้อตกลงที่ทำกันไว้จริง และเงื่อนไขให้สละสินสมรสทั้งหมดมีผลบังคับได้ แต่การกำหนดให้จำเลยต้องสละทรัพย์สินทั้งหมดซึ่งเป็นที่ดินถึง 7 แปลง ถือเป็นเบี้ยปรับที่เกินส่วน ไม่สมดุลกับเหตุและสภาพความผิด อีกทั้งจำเลยมีอายุสูง ประมาณ 70 ปี และไม่มีรายได้ การบังคับให้สละทรัพย์สินทั้งหมดอาจทำให้จำเลยขาดหลักทรัพย์สำหรับดำรงชีพ ศาลจึงใช้อำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 ลดเบี้ยปรับให้สมเหตุสมผล โดยให้จำเลยโอนเฉพาะส่วนหนึ่งของทรัพย์สินแทนในสัดส่วนที่ศาลเห็นสมควร เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ทั้งสองฝ่าย ทั้งยังเป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยและหลักความเป็นธรรมในการบังคับตามสัญญา

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (8) “เหตุฟ้องหย่ามีดังต่อไปนี้ … (8) สามีหรือภริยาผิดทัณฑ์บนที่ทำให้ไว้เป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ อีกฝ่ายหนึ่งฟ้องหย่าได้” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 “ถ้าสัญญาว่าจะทำการชำระหนี้อย่างอื่นให้เป็นเบี้ยปรับ ไม่ใช่ใช้เป็นจำนวนเงินไซร้ ท่านให้นำบทบัญญัติแห่งมาตรา 379 ถึง 381 มาใช้บังคับ แต่ถ้าเจ้าหนี้เรียกเอาเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนก็เป็นอันขาดไป” ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 “ถ้าเบี้ยปรับที่ริบนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ในการที่จะวินิจฉัยว่าสมควรเพียงใดนั้น ท่านให้พิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมาย ไม่ใช่แต่เพียงทางได้เสียในเชิงทรัพย์สิน เมื่อได้ใช้เงินตามเบี้ยปรับแล้ว สิทธิเรียกร้องขอลดก็เป็นอันขาดไป วรรคสอง นอกจากกรณีที่กล่าวไว้ในมาตรา 379 และ 382 ท่านให้ใช้วิธีเดียวกันนี้บังคับ ในเมื่อบุคคลสัญญาว่าจะให้เบี้ยปรับเมื่อตนกระทำหรืองดเว้นกระทำการอันหนึ่งอันใดนั้นด้วย” ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) “คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลที่ชี้ขาดคดีต้องตัดสินตามข้อหาในคำฟ้องทุกข้อ แต่ห้ามมิให้พิพากษาหรือทำคำสั่งให้สิ่งใด ๆ เกินไปกว่าหรือนอกจากที่ปรากฏในคำฟ้อง เว้นแต่ … (8) …” ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง “ห้ามมิให้คู่ความยกข้อซึ่งมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกา เว้นแต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน …” พระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง “ในคดีครอบครัว ให้ใช้บทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งบังคับโดยอนุโลม ทั้งนี้ ศาลอาจหยิบยกปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนขึ้นวินิจฉัยได้เอง”


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1303/2568

จำเลยฎีกาว่า บันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวตามเอกสารหมาย จ. 13 ข้อ 4 ความว่า "หากผู้ให้สัญญาทำร้ายร่างกายผู้รับสัญญา หรือบุคคลในครอบครัวคนหนึ่งคนใด ผู้ให้สัญญาขอสละสิทธิในสินสมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกันกับผู้รับสัญญาทั้งหมด" หมายความว่า หากผู้ให้สัญญา คือ จำเลยกระทำผิดตามสัญญาแล้ว ผู้ให้สัญญา คือ จำเลยขอสละสิทธิการจัดการในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้เป็นสินสมรส ซึ่งสิทธิที่จำเลยจะต้องสละไปนั้น เป็นเพียงสิทธิในการจัดการแบ่งปัน การใช้สอย การดูแลรักษาเท่านั้น ส่วนการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินสมรสจำเลยยังคงมีอยู่เป็นสัดส่วนคนละครึ่งกับโจทก์นั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเนื้อความทุกข้อตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวเอกสารหมาย จ. 13 ประกอบกันทั้งฉบับแล้ว เห็นได้ว่า เจตนาในการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมุ่งเน้นในเรื่องความประพฤติของจำเลยเป็นสำคัญว่าจำเลยจะไม่ทำร้ายร่างกายโจทก์และบุคคลในครอบครัว อีกทั้งจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จะไม่กระทำการใด ๆ ให้โจทก์และบุคคลในครอบครัวได้รับความเสียหาย โดยมีเงื่อนไขบังคับหากจำเลยฝ่าฝืนกระทำผิดข้อตกลงดังกล่าว จำเลยยินยอมหย่าขาดกับโจทก์ และสละสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสทั้งหมด ดังนั้นบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวเอกสารหมาย จ. 13 จึงไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยตรงอันจะเป็นสัญญาระหว่างสมรส ดังที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย แต่เป็นสัญญาอย่างหนึ่งอันมีลักษณะเป็นทัณฑ์บนในเรื่องความประพฤติของจำเลย ตามบทบัญญัติแห่ง ป.พ.พ. มาตรา 1516 (8) เมื่อบันทึกข้อตกลงที่ทำให้ไว้ดังกล่าวไม่เป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมอันดีหรือ จำกัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย อีกทั้งมิได้เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน บันทึกข้อตกลงนี้จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์นำมาเป็นเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายร่างกาย ภ. บุตร ซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว จำเลยจึงกระทำผิดทัณฑ์บนที่ทำกันเป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวได้ แต่ในส่วนที่ตกลงกันว่า หากผู้ให้สัญญาทำร้ายร่างกายผู้รับสัญญาหรือบุคคลในครอบครัวคนหนึ่งคนใด ผู้ให้สัญญาขอสละสิทธิในสินสมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกันกับผู้รับสัญญาทั้งหมดนั้น เป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นที่มิใช่ใช้เป็นจำนวนเงิน เป็นเบี้ยปรับตาม ป.พ.พ. มาตรา 382 ถ้าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 383 แม้เหตุการณ์ที่จำเลยทำร้ายร่างกายบุตรจะเป็นสิ่งที่บิดาไม่พึงกระทำต่อบุตร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการโต้เถียงกันจนเกิดอารมณ์ซึ่งจำเลยไม่อาจระงับอารมณ์ของตนได้ บาดแผลของบุตรก็ไม่รุนแรงมากนัก หากเปรียบเทียบกับการที่จำเลยต้องยกที่ดินสินสมรสถึง 7 แปลงที่จำเลยพยายามสะสมมาตลอดชีวิตให้แก่โจทก์ทั้งหมด ถือว่าเป็นค่าปรับที่สูงเกินส่วน ปัจจุบันจำเลยอายุประมาณ 70 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ จำเลยสมควรได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่สะสมมาเพื่อเป็นหลักประกันยามแก่เฒ่าและเจ็บป่วย เห็นสมควรลดค่าปรับให้แก่จำเลย โดยให้จำเลยยกที่ดินสินสมรสในส่วนของตนจำนวน 1 ใน 5 ส่วนของที่ดินพิพาททั้ง 7 แปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์ แม้ปัญหานี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาว่าจะใช้บทบัญญัติกฎหมายใดบังคับแก่คดีนั้น เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และมาตรา 252 และ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 43443 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 42444 เนื้อที่ประมาณ 55 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 139613 เนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 68864 เนื้อที่ประมาณ 97 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 72174 เนื้อที่ประมาณ 99 เศษ 8 ส่วน 10 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 47145 เนื้อที่ประมาณ 22 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 47146 เนื้อที่ประมาณ 22 ตารางวา ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย

จำเลยให้การขอให้พิพากษาให้จำเลยโอนที่ดินพิพาทตามฟ้องให้แก่โจทก์เพียงกึ่งหนึ่ง

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า ให้จำเลยแบ่งสินสมรสที่ดินโฉนดเลขที่ 43443, 139613, 68864, 72174, 42444, 47145 และ 47146 ให้แก่โจทก์กึ่งหนึ่ง หากไม่สามารถแบ่งได้ให้ขายโดยประมูลราคากันระหว่างโจทก์จำเลย หรือขายทอดตลาดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1533 ประกอบมาตรา 1364 ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 43443, 139613, 68864, 72174, 42444, 47145 และ 47146 ให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า โจทก์กับจำเลยอยู่กินฉันสามีภริยากันตั้งแต่ปี 2534 และจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2539 มีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ นางสาวภัทรียา และนายธีรภัทร์ และมีสินสมรสเป็นที่ดินพิพาทรวม 7 แปลง คือ ที่ดินโฉนดเลขที่ 43443 เนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ที่ดินโฉนดเลขที่ 42444 เนื้อที่ประมาณ 55 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 139613 เนื้อที่ประมาณ 80 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 688864 เนื้อที่ประมาณ 97 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 72174 เนื้อที่ประมาณ 99 เศษ 8 ส่วน 10 ตารางวา ที่ดินโฉนดเลขที่ 47145 เนื้อที่ประมาณ 22 ตารางวา และที่ดินโฉนดเลขที่ 47146 เนื้อที่ประมาณ 22 ตารางวา โดยมีชื่อจำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2558 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาระหว่างสมรสในเรื่องทรัพย์สินมีใจความว่า โจทก์กับจำเลยตกลงว่ามีทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกัน คือ ที่ดิน 7 แปลงดังกล่าว หากฝ่ายใดทำนิติกรรมเกี่ยวกับโฉนดที่ดินพิพาททั้ง 7 แปลง จะต้องบอกกล่าวให้คู่สมรสอีกฝ่ายทราบและต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่าย หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำนิติกรรมโดยพลการและไม่ได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่าย ยินยอมให้คู่สมรสอีกฝ่ายดำเนินการยกเลิกการทำนิติกรรมเกี่ยวกับที่ดินพิพาทดังกล่าวได้ และในวันเดียวกันนั้นโจทก์กับจำเลยทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวมีใจความว่า จำเลยให้สัญญาว่านับแต่วันทำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวดังกล่าวเป็นต้นไปจำเลยจะไม่ทำร้ายร่างกายโจทก์และบุคคลในครอบครัวของโจทก์ ไม่กล่าวข้อความใส่ร้ายป้ายสีโจทก์ บุคคลในครอบครัวของโจทก์ และนางชญาดาหากผิดสัญญาจำเลยตกลงยินยอมจะไปหย่าขาดกับโจทก์ภายใน 7 วัน นับแต่วันผิดสัญญา หากจำเลยไม่ดำเนินการยินยอมให้โจทก์นำบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวเป็นพยานเพื่อฟ้องหย่าจำเลยได้ และหากจำเลยทำร้ายร่างกายโจทก์หรือบุคคลในครอบครัวของโจทก์ จำเลยขอสละสิทธิในสินสมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกับโจทก์ทั้งหมด แต่หากจำเลยนำสืบได้ว่าข้อกล่าวอ้างของโจทก์ไม่เป็นความจริง โจทก์ยินยอมให้จำเลยดำเนินคดีได้ตามกฎหมายและให้มีผลไปถึงสินสมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกันทุกอย่าง ให้ถือว่าผู้ผิดสัญญาขอสละสิทธิในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันทั้งหมด และจำเลยตกลงจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี ไม่กระทำการใดที่อาจทำให้โจทก์และบุคคลในครอบครัวได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินและเกียรติยศชื่อเสียง หากโจทก์พิสูจน์ได้ว่าข้อกล่าวอ้างไม่เป็นความจริง จำเลยจะถอนฟ้องคดีและยอมให้โจทก์มีส่วนได้ในสินสมรสตามกฎหมายตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวเอกสารหมาย จ. 13 ต่อมาวันที่ 17 มกราคม 2563 จำเลยยื่นฟ้องหย่าโจทก์ต่อศาลชั้นต้น หลังจากนั้นวันที่ 24 มิถุนายน 2563 โจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความและศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมในคดีดังกล่าว โจทก์กับจำเลยจดทะเบียนหย่ากันแล้วเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2563

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยทำร้ายร่างกายนางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์ อันเป็นการกระทำผิดบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัว และจำเลยต้องจดทะเบียนโอนที่ดินพิพาททั้ง 7 แปลง ให้แก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า นางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์เป็นประจักษ์พยานเบิกความยืนยันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามที่พยานแต่ละคนประสบมา แม้มีลำดับเหตุการณ์แตกต่างกันไปบ้างก็มิใช่ในสาระสำคัญและไม่ถึงกับเป็นข้อพิรุธเนื่องจากเหตุการณ์เกิดขึ้นมาเป็นระยะเวลาประมาณ 4 ปีเศษ ย่อมมีรายละเอียดที่จดจำคลาดเคลื่อนกันได้ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องภายในครอบครัว ผู้ทำร้ายร่างกายเป็นบิดาและเป็นหัวหน้าครอบครัว ไม่มีเหตุที่นางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์จะแต่งเรื่องอันเป็นที่น่าอับอายขึ้นเพื่อให้จำเลยเสียหาย ทั้งนางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์เพียงแต่แจ้งความลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานเท่านั้น ไม่แจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย เห็นได้ว่านางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์ยังเคารพและรักจำเลยไม่ได้ต้องการให้จำเลยต้องรับโทษทางอาญา จึงไม่มีเหตุผลที่นางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์จะเบิกความปรักปรำจำเลย คำเบิกความของนางสาวภัทรียาและนายธีรภัทรจึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ยิ่งโจทก์มีภาพถ่ายบาดแผลที่ใบหน้าของนางสาวภัทรียาและบาดแผลเย็บที่แขนข้างขวาของนายธีรภัทร์มาสืบสนับสนุน แม้ภาพถ่ายทั้งสองภาพดังกล่าวจะไม่ระบุวันที่ว่าถ่ายไว้เมื่อใด แต่เมื่อรับฟังประกอบสำเนาใบรับรองแพทย์ที่แพทย์โรงพยาบาลหนองเรือออกให้เพื่อรับรองว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2559 นายธีรภัทร์ได้มารับการรักษาพยาบาลจริง โดยมีอาการแผลฉีกขาดที่แขนขวา สอดคล้องกับสำเนาภาพถ่ายที่เป็นภาพบาดแผลและภาพที่มีการเย็บแผลที่แขนข้างขวาของนายธีรภัทร์ ก็ยิ่งทำให้คำเบิกความของนางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์มีน้ำหนัก น่าเชื่อว่าในวันดังกล่าวมีเหตุการณ์ทะเลาะวิวาทภายในครอบครัวกันจริงและภาพถ่ายที่ปรากฏเป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องเชื่อมโยงกับที่นางสาวภัทรียาถูกจำเลยตบหน้า ประกอบกับพันตำรวจโทสำเนียง เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรหนองเรือ ผู้ลงลายมือชื่อในสำเนารายงานประจำวันเกี่ยวกับคดี เบิกความเป็นพยานโจทก์รับรองว่า นางสาวภัทรียาและนายธีรภัทร์ได้มาแจ้งความเพื่อเป็นหลักฐานว่าในวันที่ 22 ธันวาคม 2559 ถูกจำเลยซึ่งเป็นบิดาทำร้ายร่างกาย เอกสารดังกล่าวทำขึ้นในวันที่ 27 ธันวาคม 2559 หลังเกิดเหตุเพียง 5 วัน และพันตำรวจโทสำเนียงเป็นเจ้าพนักงานของรัฐ เป็นพยานคนกลางไม่มีส่วนได้เสียกับฝ่ายใด คำเบิกความของพยานปากนี้สนับสนุนพยานหลักฐานโจทก์ให้มีน้ำหนักน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น ส่วนจำเลยมีเพียงตัวจำเลยเบิกความว่า จำเลยไม่ได้ทำร้ายร่างกายนางสาวภัทรียา เหตุเกิดเพราะนางสาวภัทรียาไม่พอใจจำเลยที่ไปเตือนและไม่ช่วยเหลือนางชญาดาในเรื่องที่นางชญาดาถูกบิดามารดาของสามีฟ้องแบ่งทรัพย์มรดก และโจทก์ส่งเสริมให้นางสาวภัทรียาใส่ร้ายกล่าวหาจำเลยเพื่อวัตถุประสงค์ให้จำเลยผิดบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัว ก็ไม่มีเหตุผลว่าเหตุใดนางสาวภัทรียาต้องกระทำเช่นนั้น เพราะหลังเกิดเหตุไม่ปรากฏว่าโจทก์จะฟ้องหย่าหรือขอให้จำเลยโอนทรัพย์สินให้แก่โจทก์ตามข้อตกลงแต่อย่างใด พยานหลักฐานโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้มากกว่าพยานหลักฐานจำเลย ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าในวันเกิดเหตุจำเลยใช้กำลังทำร้ายตบหน้านางสาวภัทรียาบุตรสาวโจทก์กับจำเลยซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว เป็นเหตุให้นางสาวภัทรียามีรอยบวมแดงที่ใบหน้า จำเลยจึงกระทำผิดบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยต่อไปมีว่า จำเลยต้องปฏิบัติตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวหรือไม่ เพียงใด จำเลยฎีกาว่า "หากผู้ให้สัญญาทำร้ายร่างกายผู้รับสัญญาหรือบุคคลในครอบครัวคนหนึ่งคนใด ผู้ให้สัญญาขอสละสิทธิในสินสมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกันกับผู้รับสัญญาทั้งหมด" หมายความว่า หากผู้ให้สัญญาคือจำเลยกระทำผิดตามสัญญาแล้ว ผู้ให้สัญญาคือจำเลยขอสละสิทธิการจัดการในทรัพย์สินที่ทำมาหาได้เป็นสินสมรส ซึ่งสิทธิที่จำเลยจะต้องสละไปนั้นเป็นเพียงสิทธิในการจัดการแบ่งปัน การใช้สอย การดูแลรักษาเท่านั้น ส่วนการถือกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินสมรสจำเลยยังคงมีอยู่เป็นสัดส่วนคนละครึ่งกับโจทก์นั้น จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกา จึงเป็นข้อที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลล่างทั้งสอง ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 252 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาเนื้อความทุกข้อตามบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวเอกสารหมาย จ. 13 ประกอบกันทั้งฉบับแล้ว เห็นได้ว่าเจตนาในการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวมุ่งเน้นในเรื่องความประพฤติของจำเลยเป็นสำคัญว่าจำเลยจะไม่ทำร้ายร่างกายโจทก์และบุคคลในครอบครัว อีกทั้งจะเป็นผู้นำครอบครัวที่ดี จะไม่กระทำการใด ๆ ให้โจทก์และบุคคลในครอบครัวได้รับความเสียหาย โดยมีเงื่อนไขบังคับหากจำเลยฝ่าฝืนกระทำผิดข้อตกลงดังกล่าว จำเลยยินยอมหย่าขาดกับโจทก์ และสละสิทธิในทรัพย์สินอันเป็นสินสมรสทั้งหมด ดังนั้นบันทึกข้อตกลงเกี่ยวกับครอบครัวเอกสารหมาย จ. 13 จึงไม่ใช่ข้อตกลงเกี่ยวกับการจัดการทรัพย์สินระหว่างสามีภริยาโดยตรงอันจะเป็นสัญญาระหว่างสมรสดังที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัย แต่เป็นสัญญาอย่างหนึ่งอันมีลักษณะเป็นทัณฑ์บนในเรื่องความประพฤติของจำเลยตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (8) เมื่อบันทึกข้อตกลงที่ทำให้ไว้ดังกล่าวไม่เป็นการฝ่าฝืนศีลธรรมอันดีหรือจำกัดสิทธิเสรีภาพส่วนบุคคล ไม่มีวัตถุประสงค์เป็นที่ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย อีกทั้งมิได้เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน บันทึกข้อตกลงนี้จึงมีผลใช้บังคับได้ตามกฎหมาย โจทก์นำมาเป็นเหตุฟ้องหย่าจำเลยได้ และเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยทำร้ายร่างกายนางสาวภัทรียาบุตรซึ่งเป็นบุคคลในครอบครัว จำเลยจึงกระทำผิดทัณฑ์บนที่ทำกันเป็นหนังสือในเรื่องความประพฤติ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวได้ แต่ในส่วนที่ตกลงกันว่า หากผู้ให้สัญญาทำร้ายร่างกายผู้รับสัญญาหรือบุคคลในครอบครัวคนหนึ่งคนใด ผู้ให้สัญญาขอสละสิทธิในสินสมรสที่ทำมาหาได้ร่วมกันกับผู้รับสัญญาทั้งหมดนั้น เป็นข้อตกลงที่มีลักษณะเป็นการชำระหนี้อย่างอื่นที่มิใช่ใช้เป็นจำนวนเงินเป็นเบี้ยปรับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 382 ถ้าเบี้ยปรับนั้นสูงเกินส่วน ศาลจะลดลงเป็นจำนวนพอสมควรก็ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383 เมื่อพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น สถานภาพครอบครัว ตลอดทั้งทางได้เสียของโจทก์ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว โจทก์กับจำเลยอยู่กินร่วมกันมาตั้งแต่ปี 2534 ถึงวันฟ้องเป็นระยะเวลากว่า 20 ปี ร่วมกันประกอบอาชีพหารายได้เลี้ยงดูครอบครัวและสร้างทรัพย์สินเพื่อความมั่นคงทางการเงินให้แก่ครอบครัวมาโดยตลอดจนสามารถมีสินสมรสเป็นที่ดินถึง 7 แปลง แม้เหตุการณ์ที่จำเลยทำร้ายร่างกายบุตรจะเป็นสิ่งที่บิดาไม่พึงกระทำต่อบุตร แต่เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดจากการโต้เถียงกันจนเกิดอารมณ์ซึ่งจำเลยไม่อาจระงับอารมณ์ของตนได้ บาดแผลของบุตรก็ไม่รุนแรงมากนัก หากเปรียบเทียบกับการที่จำเลยต้องยกที่ดินสินสมรสถึง 7 แปลงที่จำเลยพยายามสะสมมาตลอดชีวิตให้แก่โจทก์ทั้งหมด ถือว่าเป็นค่าปรับที่สูงเกินส่วน ปัจจุบันจำเลยอายุประมาณ 70 ปี ไม่ได้ประกอบอาชีพ จำเลยสมควรได้รับส่วนแบ่งในทรัพย์สินที่สะสมมาเพื่อเป็นหลักประกันยามแก่เฒ่าและเจ็บป่วยจะสามารถนำไปเป็นประโยชน์หารายได้มาใช้ในชีวิตประจำวันและในยามจำเป็น เห็นสมควรลดค่าปรับให้แก่จำเลย โดยให้จำเลยยกที่ดินสินสมรสในส่วนของตนจำนวน 1 ใน 5 ส่วนของที่ดินพิพาททั้ง 7 แปลงตามฟ้องให้แก่โจทก์ แม้ปัญหานี้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่ปัญหาว่าจะใช้บทบัญญัติกฎหมายใดบังคับแก่คดีนั้นเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกามีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยให้ถูกต้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) ประกอบมาตรา 246 และ 252 และพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 182/1 วรรคสอง

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 43443, 139613, 68864, 72174, 42444, 47145 และ 47146 ให้แก่โจทก์แต่ละแปลง 6 ใน 10 ส่วน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3596/2546 — ฟ้องหย่าเพราะมีภริยาน้อย (มาตรา 1516(1))

คู่สมรสอยู่กินกันฉันสามีภริยามาเป็นเวลานาน ต่อมาภริยาพบว่าสามีมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังอุปการะเลี้ยงดูหญิงดังกล่าวเป็นประจำ จนเป็นที่ปรากฏต่อบุคคลทั่วไปว่าเป็นการเลี้ยงดูฉันภริยา ภริยาระบุว่าสามีพักอาศัยกับหญิงอื่นในบางช่วงเวลา มีพฤติกรรมสื่อถึงการตั้งใจแสดงสถานะคู่ชีวิตกับหญิงอื่น ก่อให้เกิดความอับอายและเสียศักดิ์ศรีในครอบครัวและสังคม ภริยาจึงยื่นฟ้องหย่าโดยอ้างเหตุฟ้องหย่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516(1) ซึ่งบัญญัติให้การที่คู่สมรสอุปการะเลี้ยงดูผู้อื่นฉันภริยาหรือสามีเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ ศาลพิจารณาพยานหลักฐาน พบว่าการอุปการะดังกล่าวมีความต่อเนื่อง สอดคล้องกับพฤติกรรมที่ทำให้บุคคลทั่วไปเข้าใจได้ว่าจำเลยมีความสัมพันธ์ในลักษณะคู่สมรสกับหญิงดังกล่าว แม้จำเลยจะอ้างว่าไม่มีความสัมพันธ์เชิงชู้สาว แต่ข้อเท็จจริงและพฤติการณ์แวดล้อมไม่อาจหักล้างความเสียหายทางจิตใจ ชื่อเสียง และสถาบันครอบครัวของโจทก์ได้

ศาลจึงพิพากษาให้หย่า และให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ตามสมควร คำพิพากษานี้สะท้อนหลักว่า การรักษาความสัตย์ซื่อในชีวิตสมรสเป็นหัวใจสำคัญของครอบครัว แม้ไม่ใช่ความรุนแรงทางร่างกาย แต่เป็นความรุนแรงทางใจและศักดิ์ศรีของคู่สมรส ซึ่งเป็นเหตุหย่าได้โดยชอบด้วยกฎหมาย งานนี้มีจุดร่วมกับคำพิพากษาที่ 1303/2568 ในประเด็นการใช้พฤติกรรมละเมิดต่อคู่สมรสหรือครอบครัวเป็นเหตุฟ้องหย่า เพียงแต่คดีนี้ว่าด้วยการผิดสัญญาทางศีลธรรมของคู่ครอง ส่วนคดี 1303/2568 ว่าด้วยการผิดข้อตกลงครอบครัวและความรุนแรงในครอบครัว

2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4402/2539 — ทำร้ายร่างกายภริยา ไม่ร้ายแรงพอเป็นเหตุหย่า (มาตรา 1516(3))

จำเลยใช้มือและไม้ทำร้ายร่างกายภริยาในระหว่างการทะเลาะวิวาทกัน ทำให้ภริยาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและมีรอยฟกช้ำ ต่อมาภริยาแจ้งความ ทำให้จำเลยถูกปรับ 1,000 บาทจากคดีอาญา ภริยายื่นฟ้องหย่าโดยอ้างว่าการกระทำดังกล่าวเป็นเหตุฟ้องหย่าตามมาตรา 1516(3) เพราะเป็นการทำร้ายร่างกายคู่สมรส ศาลตรวจสอบหลักฐานและเห็นว่าการทำร้ายเกิดขึ้นจริง อย่างไรก็ตามลักษณะการบาดเจ็บเป็นเพียงเล็กน้อย และไม่ได้มีลักษณะเป็นการประพฤติซ้ำซากหรือรุนแรงถึงขั้นทำให้การครองชีวิตร่วมกันเป็นไปไม่ได้ โดยภายหลังคู่กรณีไม่ได้แยกกันอยู่หรือมีเหตุทรมานใจอย่างต่อเนื่อง แม้จำเลยผิดจริง แต่ศาลวินิจฉัยว่าพฤติการณ์ไม่ร้ายแรงพอให้เข้าหลักเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย เพราะต้องคำนึงถึงความหนักเบาของพฤติการณ์ และเจตนาที่มุ่งร้ายต่อชีวิตหรือศักดิ์ศรีของผู้อื่นเป็นสำคัญ

 

คดีนี้แสดงหลักว่า แม้การทำร้ายร่างกายจะถือเป็นเหตุฟ้องหย่าได้ แต่ต้องพิจารณาความร้ายแรง สถานการณ์แวดล้อม และผลกระทบต่อการครองชีวิตคู่ ซึ่งเป็นความต่างจากคดี 1303/2568 เพราะในคดีหลัก ศาลเห็นว่าการใช้ความรุนแรงต่อบุตรเป็นการผิดเงื่อนไขทัณฑ์บนในครอบครัว และข้อตกลงกำหนดเพดานผลทางทรัพย์สินที่ต้องรับผิดชัดเจน อีกทั้งมีหลักฐานสนับสนุนชัดเจน คดีนี้จึงช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า ไม่ใช่ทุกการทำร้ายในครอบครัวจะนำไปสู่การหย่าได้โดยอัตโนมัติ ต้องดูบริบทและเจตนาด้วย แต่ในคดี 1303/2568 มี “สัญญา” ที่ผูกผลทางกฎหมายไว้ล่วงหน้าอย่างชัดเจน




สัญญาระหว่างสมรส

เงินผลประโยชน์สมาชิกเสียชีวิตไม่เป็นสินสมรส – วิเคราะห์คำพิพากษาฎีกาที่ 2236/2562
โจทก์ขอบอกล้างการให้จำเลยมีชื่อถือกรรมสิทธิ์รวมกันระหว่างสมรส
สามีให้ที่ดินอันเป็นสินส่วนตัวให้คู่สมรสระหว่างสมรส
การเพิกถอนสัญญาให้เงินแก่คู่สมรส,การคืนสินส่วนตัวหลังหย่า,
สิทธิบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสตกทอดแก่ทายาท
คู่สมรสแยกกันอยู่แต่ยังไม่หย่าขาด ทำสัญญาแบ่งสินสมรสกัน บอกล้างสัญญาได้
สัญญาให้ทรัพย์สินโดยเสน่หา, สัญญาระหว่างสมรส, สิทธิบอกล้างสัญญา
เพิกถอนนิติกรรมการให้ระหว่างสมรส | สัญญาระหว่างสมรส
ใช้สิทธิบอกล้างสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินระหว่างสมรส มาตรา 1469
สัญญาระหว่างสมรส สิทธิของบุคคลภายนอก
สัญญาก่อนสมรสเป็นโมฆะ | สัญญาระหว่างสมรส
ข้อตกลงสามียกที่ดินให้ภรรยาและจะไม่เพิกถอน
สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างสมรส
ถือได้ว่าคำให้การเป็นการบอกล้างสัญญาระหว่างสมรสแล้ว