

เรียกเงินคืนพร้อมเรียกค่าเสียหายผิดสัญญาจะซื้อขาย
เรียกเงินคืนพร้อมเรียกค่าเสียหายผิดสัญญาจะซื้อขาย
ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องหรือไม่? คำฟ้องโจทก์ขอเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนพร้อมเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายต้องคืนเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมค่าเสียหาย หาได้ฟ้องเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนในฐานะที่เป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนไม่ ดังนั้นเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญาจะซื้อขายตามฟ้อง ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 ไปแล้ว เป็นเบี้ยปรับจึงเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากคำฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8282/2548
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสามร่วมกันชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 224,000 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงินจำนวน 209,000 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจำเลยทั้งสามจะชำระเสร็จ จำเลยทั้งสามให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงินแก่โจทก์จำนวน 70,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2540 จนกว่าจะชำระเสร็จ และให้จำเลยที่ 1 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้ตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี โดยกำหนดค่าทนายความ 5,000 บาท ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้เป็นพับ จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ จำเลยที่ 1 ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลอุทธรณ์รับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 23 มีนาคม 2538 โจทก์ตกลงซื้อห้องชุดโครงการศรีเจริญคอนโดทาวน์ ห้องเลขที่ เอ 701 จำนวน 1 ห้อง ราคา 464,000 บาท จากจำเลยที่ 1 ตามสัญญาจะซื้อจะขายห้องชุด ต่อมาจำเลยที่ 1 ก่อสร้างอาคารเสร็จแล้วตามใบอนุญาตก่อสร้างอาคาร ใบรับรองการก่อสร้างอาคารและเจ้าพนักงานที่ดินออกหนังสือสำคัญการจดทะเบียนอาคารชุดและหนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุดพิพาทให้แก่จำเลยที่ 1 ตั้งแต่วันที่ 10 กันยายน 2540 จำเลยที่ 1 ได้มีหนังสือแจ้งให้โจทก์รับโอนกรรมสิทธิ์ห้องชุดตั้งแต่วันที่ 15 กันยายน 2540 แต่โจทก์ไม่ได้มาจดทะเบียนรับโอนกรรมสิทธิ์ในห้องชุดดังกล่าว จำเลยจึงไม่ได้เป็นฝ่ายผิดสัญญาตามฟ้อง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 1 ว่า ศาลล่างทั้งสองพิพากษาเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากคำฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายตามฟ้องหรือไม่ เรื่องเบี้ยปรับจึงไม่เกี่ยวกับประเด็นข้อพิพาท ศาลล่างทั้งสองไม่มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัย เห็นว่า ตามคำฟ้องโจทก์บรรยายฟ้องขอเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนพร้อมเรียกค่าเสียหายโดยอ้างว่าจำเลยที่ 1 ผิดสัญญาจะซื้อจะขายต้องคืนเงินที่ชำระไปแล้วทั้งหมดพร้อมค่าเสียหายแก่โจทก์ หาได้บรรยายฟ้องเรียกเงินที่ชำระไปแล้วคืนในฐานะที่เป็นเบี้ยปรับที่สูงเกินส่วนไม่ อีกทั้งจำเลยที่ 1 ก็หาได้ฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ในฐานที่โจทก์ผิดสัญญาไม่ ดังนั้น เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ไม่ได้ผิดสัญญาจะซื้อขายตามฟ้อง ศาลต้องพิพากษายกฟ้องโจทก์ การที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าเงินที่โจทก์ชำระแก่จำเลยที่ 1 ไปแล้ว เป็นเบี้ยปรับจึงเกินไปกว่าหรือนอกเหนือจากคำฟ้อง ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้น พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้เป็นพับ.
|