

หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิแล้วมาหลอกขายให้ หลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิแล้วมาหลอกขายให้ สำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญาเป็นโมฆะ จำเลยรู้อยู่แล้วว่าไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดิน ส.ค.1 แต่ทำสัญญาจะซื้อจะขาย ทั้งยังระบุในสัญญาจะซื้อจะขายว่าหากโจทก์ดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดิน จะให้ความสะดวก ให้ความร่วมมือในการออกเอกสารสิทธิจนเสร็จสิ้นเท่ากับจำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิแล้วมาหลอกขายให้ โจทก์เข้าใจว่าที่ดินนั้นจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินพิพาทจึงเป็นโมฆะเสียเปล่าและต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8755/2551
จำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินจึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 จำเลยขายที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 401 ตำบลกมลา อำเภอกะทู้ จังหวัดภูเก็ต ในราคา 330,000 บาท แก่โจทก์ โดยสัญญาว่าหากโจทก์จะขอเอกสารสิทธิในที่ดินแปลงดังกล่าวจำเลยจะช่วยเหลือและให้ความร่วมมือในการออกเอกสารสิทธิจนเสร็จสิ้น ต่อมาโจทก์ไปติดต่อขอออกโฉนดที่ดิน ปรากฏว่าที่ดินดังกล่าวมีบุคคลอื่นออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ก่อนแล้ว โจทก์ไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้ได้ จึงแจ้งให้จำเลยทราบและขอให้คืนเงินแต่จำเลยเพิกเฉย ทำให้โจทก์ได้รับความเสียหาย ขอให้จำเลยคืนเงิน 330,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ จำเลยให้การว่า ทำสัญญาซื้อขายที่ดินกับโจทก์จริง จำเลยส่งมอบการครอบครองให้โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้ครอบครองที่ดินเป็นเวลาปีเศษ ไม่มีบุคคลใดโต้แย้งสิทธิ จึงได้สิทธิครอบครองและเป็นเจ้าของที่ดินแล้ว โจทก์ไม่เคยติดต่อจำเลยเพื่อให้ความสะดวกในการขอออกโฉนดที่ดินตามสัญญา ขอให้ยกฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท โจทก์อุทธรณ์ จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นโดยคู่ความมิได้ฎีกาโต้แย้งเป็นอย่างอื่นว่า โจทก์ทำสัญญาซื้อที่ดินตามหลักฐานแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) ที่พิพาทจากจำเลยในราคา 330,000 บาท ตามหนังสือสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินเอกสารหมาย จ.9 ต่อมาโจทก์ขอออกโฉนดที่ดินพิพาทแปลงดังกล่าวแต่เจ้าพนักงานที่ดินไม่สามารถออกโฉนดที่ดินให้โจทก์ได้ เพราะที่ดินพิพาทดังกล่าวได้มีบุคคลอื่นออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) เลขที่ 238 ไปแล้ว ตามบันทึกการสอบสวนสิทธิและพิสูจน์การทำประโยชน์เพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3 ก.) โดยใช้รูปถ่ายทางอากาศเอกสารหมาย จ.6 และบันทึกถ้อยคำรับรองเอกสารหมาย จ.10 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยต้องคืนเงินที่ซื้อขายที่ดินที่พิพาทแก่โจทก์หรือไม่ เห็นว่า โจทก์และจำเลยทำสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินที่พิพาทกันวันที่ 4 พฤษภาคม 2543 ตามสัญญาจะซื้อจะขายที่ดินพิพาทเอกสารหมาย จ.9 ข้อ 3 ระบุว่า เมื่อใดผู้จะซื้อคือโจทก์ไปดำเนินการออกเอกสารสิทธิใด ๆ ผู้จะขายคือจำเลย ตกลงยินยอมให้ความสะดวกแก่ผู้จะซื้อ และให้ความร่วมมือในการดังกล่าวจนเสร็จสิ้นเรียบร้อย แต่ปรากฏว่าที่ดินพิพาทได้มีการนำไปออกเอกสารสิทธิเป็นหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 238 และได้รับหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวไปแล้วตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2523 ซึ่งนายบุญชูเจ้าหน้าที่บริหารงานที่ดินซึ่งที่จดทะเบียนเอกสารเกี่ยวกับที่ดินเบิกความยืนยันว่า จำเลยเคยยื่นขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทเมื่อปี 2535 และต่อมาได้ยื่นคำขอยกเลิกการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2540 ตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.5 แสดงว่าจำเลยทราบดีอยู่แล้วว่า มีบุคคลอื่นครอบครองที่ดินพิพาทและได้มีการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ในที่ดินพิพาทแล้วตั้งแต่ปี 2523 จำเลยจึงได้ขอยกเลิกการขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เมื่อปี 2540 แต่จำเลยกลับนำที่ดินดังกล่าวมาขายให้โจทก์อีกในปี 2543 ทั้ง ๆ ที่จำเลยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยไม่ใช่ผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินที่พิพาทแล้ว ทั้งยังระบุในสัญญาจะซื้อจะขายอีกว่าหากโจทก์ดำเนินการออกเอกสารสิทธิในที่ดินพิพาท จำเลยตกลงยินยอมให้ความสะดวก ให้ความร่วมมือในการออกเอกสารสิทธิจนเสร็จสิ้นเท่ากับจำเลยหลอกลวงเอาที่ดินที่ตนไม่มีสิทธิแล้วมาหลอกขายให้โจทก์ ทำให้โจทก์เข้าใจว่าที่ดินพิพาทจำเลยมีสิทธิครอบครองสามารถโอนสิทธิและนำไปออกเอกสารสิทธิได้ เป็นการสำคัญผิดในสิ่งซึ่งเป็นสาระสำคัญแห่งนิติกรรมสัญญา การซื้อขายที่ดินพิพาทจึงเป็นโมฆะเสียเปล่าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 156 และต้องนำบทบัญญัติว่าด้วยลาภมิควรได้มาใช้บังคับ จำเลยจึงต้องคืนเงินให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย” พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ
การกู้ยืมเงินโดยมอบสมุดเงินฝากและบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติ(เอทีเอ็ม)ไว้ให้เจ้าหนี้เบิกถอนได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 834/2535 ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์ต้องห้ามฎีกาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 220 ที่แก้ไขเพิ่มเติมแล้ว การที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ จึงมิชอบ. โจทก์ฟ้องว่าเมื่อวันที่ 3 มีนาคม 2532 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไป 140,000 บาท ตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี การกู้ยืมเงินนี้จำเลยมอบสมุดเงินฝากประเภทออมทรัพย์ของธนาคารกรุงไทย จำกัดสาขาสงขลา พร้อมบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันโจทก์ได้นำบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติไปกดถอนดอกเบี้ยแต่ละเดือนมีกำหนด 10 เดือน แล้วต่อมาวันที่ 30 มกราคม 2533 จำเลยหลอกลวงโจทก์ว่าจะนำสมุดเงินฝากประเภทออมทรัพย์พร้อมบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวไปติดต่อธนาคารกรุงไทย จำกัด สาขาสงขลาเพื่อขอกู้ยืมเงินประเภทสินเชื่อธนวัฒน์ เมื่อติดต่อเสร็จแล้วจะมามอบให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกันเช่นเดิม อันเป็นข้อความเท็จความจริงแล้วจำเลยหาได้มีเจตนาไปติดต่อธนาคารเพื่อขอกู้เงินแต่อย่างใดไม่ เนื่องจากโจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบสมุดเงินฝากและบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวให้จำเลยไป ต่อมา เมื่อถึงกำหนดชำระดอกเบี้ยประจำเดือนมกราคม 2533 โจทก์ได้ไปติดต่อทวงถามขอสมุดเงินฝากธนาคารและบัตรฝากถอนเงินอัตโนมัติดังกล่าวคืนจากจำเลยเพื่อนำมากดถอนจำนวนดอกเบี้ยและยึดถือไว้เป็นประกันตามที่เคยปฏิบัติมาแต่จำเลยปฏิเสธ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ศาลชั้นต้นตรวจคำฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกฟ้องโจทก์ คดีโจทก์จึงต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 220 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532มาตรา 13 ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาโจทก์ จึงมิชอบ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้" พิพากษา ยกฎีกาโจทก์.
|