
การสมรสซ้อนที่เป็นโมฆะทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง การสมรสซ้อนที่เป็นโมฆะทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2664/2523 สามีภริยาก่อน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ภริยาไปบวชชี ไม่ได้ความว่าสามีอนุญาต ยังไม่ขาดจากสามีภริยากัน สามีได้ภริยาใหม่จดทะเบียนเมื่อใช้บรรพ 5 แล้ว ไม่เป็นการสมรส ที่สมบูรณ์ ไม่มีสิทธิรับมรดกของสามี สามีตายมรดกตกได้แก่ภริยาเดิมภริยาเดิมจดทะเบียนยกที่ดินให้โจทก์แม้ไม่ระบุถึงบ้านด้วย บ้านเป็น ส่วนควบของที่ดิน โจทก์มีกรรมสิทธิ์ในบ้านด้วย ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่พิพาท ให้ใช้ค่าเสียหายเดือนละ 200 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะให้ยกข้อที่เรียกค่าเสียหาย จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อกฎหมายว่า "ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า นายชมกับนางยังเป็นสามีภรรยากันตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บ้านพิพาทเป็นสินสมรสระหว่างนายชมกับนางยัง ปลูกอยู่ในที่ดินโฉนดเลขที่ 2156 ซึ่งนางยังได้รับโอนมาโดยทางมรดก ต่อมานางยังไปบวชชี แล้วนายชมได้จำเลยเป็นภรรยาอีกคนหนึ่งอยู่กินกันที่บ้านพิพาทเกิดบุตรด้วยกันหลายคนแต่นายชมกับจำเลยเพิ่งจดทะเบียนสมรสกันตามกฎหมายเมื่อ ปี พ.ศ. 2518นายชมถึงแก่กรรมปี พ.ศ. 2519 โดยมิได้ทำพินัยกรรม หลังจากนายชมถึงแก่กรรม จำเลยก็ยังคงอยู่ในบ้านพิพาทตลอดมาจนบัดนี้ ในปี พ.ศ. 2521นางยังจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 2156 ดังกล่าวข้างต้นให้โจทก์ โจทก์จึงฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาทเป็นคดีนี้ อ้างว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ มีประเด็นมาสู่ศาลฎีกาว่า จำเลยมีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาทหรือไม่ ที่จำเลยฎีกาว่าระหว่างนางยังบวชชี นายชมเอาอาหารไปส่ง ตามพฤติการณ์แสดงว่านายชมอนุญาตให้นางยังไปบวช นายชมกับนางยังจึงขาดจากการเป็นสามีภรรยากันตั้งแต่วันที่นางยังบวชชีตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 39 บ้านพิพาทซึ่งเป็นสินสมรส ต้องแบ่งออกเป็น 3 ส่วน เป็นของนายชม 2 ส่วน ของนางยัง 1 ส่วน นางยังไม่ได้ครอบครองส่วนของตนหากแต่นายชมกับจำเลยเป็นผู้ครอบครองมา ส่วนของนางยังจึงตกเป็นกรรมสิทธิ์ของนายชม นายชมจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์บ้านพิพาททั้งหมดเพียงคนเดียว และเป็นมรดกตกได้แก่จำเลยกับบุตรของจำเลยนั้น ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าข้อเท็จจริงตามทางพิจารณาไม่ได้ความแน่ชัดว่าเมื่อนางยังไปบวชชีนั้น นายชมได้อนุญาตให้ไปบวชหรือไม่ และไม่ได้ความจากการนำสืบของฝ่ายใดเลยว่า ขณะนางยังบวชชี นายชมได้เอาอาหารไปส่งจึงยังฟังไม่ได้ว่านายชมกับนางยังได้ขาดจากสามีภรรยากันแล้วตามกฎหมายลักษณะผัวเมีย บทที่ 39 ดังที่จำเลยฎีกา นอกจากเรื่องที่นางยังไปบวชชีแล้วข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่านายชมกับนางยังได้หย่ากันแต่อย่างใด จึงฟังได้ว่านายชมกับนางยังเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมายตลอดมาจนกระทั่งนายชมถึงแก่กรรม สำหรับจำเลยซึ่งให้การว่านางยังไปบวชชีเมื่อประมาณ47 ปีมานี้ แล้วต่อมาอีกประมาณ 10 ปี นายชมก็ได้จำเลยเป็นภรรยานั้นตามคำให้การของจำเลยคำนวณได้ว่านายชมได้จำเลยเป็นภรรยาประมาณปี พ.ศ. 2485 ใกล้เคียงกับที่โจทก์บรรยายฟ้องว่านายชมได้จำเลยเป็นภรรยาในปี พ.ศ. 2484 เป็นเวลาที่ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ บรรพ 5 ใช้บังคับ แม้จำเลยกับนายชมจะได้จดทะเบียนสมรสกัน การสมรสก็เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 และ 1445(3) เดิมเพราะขณะจดทะเบียนสมรส นายชมเป็นคู่สมรสหรือสามีโดยชอบด้วยกฎหมายของนางยังจำเลยจึงมิใช่ภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายชม ไม่มีสิทธิได้รับมรดกของนายชม หรืออีกนัยหนึ่งไม่มีส่วนเป็นเจ้าของบ้านพิพาทแต่อย่างใดเมื่อนายชมถึงแก่กรรมโดยมิได้ทำพินัยกรรมยกทรัพย์ให้แก่ผู้ใด บ้านพิพาทซึ่งเป็นส่วนของนายชม จึงเป็นมรดกตกให้แก่นางยังผู้เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมาย เมื่อนางยังโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินซึ่งปลูกบ้านพิพาทให้แก่โจทก์ แม้จะได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่าในตอนที่ยกที่ดินให้ นางยังไม่ได้พูดถึงบ้านพิพาทด้วย แต่บ้านพิพาทเป็นส่วนควบของที่ดิน โจทก์จึงมีกรรมสิทธิ์ในบ้านพิพาท ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 107 และมีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท" พิพากษายืน การสมรสที่เป็นการสมรสซ้อนซึ่งเป็นโมฆะนั้น แม้ต่อมาการสมรสครั้งแรกจะสิ้นสุดลง ก็ไม่ทำให้การสมรสซ้อนกลับสมบูรณ์ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/252 ป. จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25เมษายน 2495 ต่อมาได้จดทะเบียนสมรสกับโจทก์เมื่อวันที่15 ธันวาคม 2503 และจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 วันที่ 24 มิถุนายน 2507ป. จดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาวันที่ 5สิงหาคม 2507 ได้จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 อีก และหลังจากนั้นคือวันที่ 30 ตุลาคม 2507 โจทก์กับ ป.จึงได้จดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง วันที่ 1เมษายน 2519 ป. ถึงแก่กรรมเช่นนี้การจดทะเบียนสมรสระหว่าง ป. กับโจทก์ครั้งแรกและระหว่าง ป. กับจำเลยที่ 2 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3) เพราะในขณะนั้น ป. เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 สำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะปรากฏว่าได้จดทะเบียนหย่ากับ ป. ทำให้การสมรสขาดลง แต่ต่อมาก็ได้จดทะเบียนสมรสกันใหม่โดยสมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมาย เพราะการสมรสระหว่าง ป. กับโจทก์และจำเลยที่ 2 ได้เป็นโมฆะมาตั้งแต่วันที่ได้จดทะเบียนสมรสแล้ว การที่โจทก์มาจดทะเบียนสมรสกับ ป. ครั้งหลังอีกจึงเป็นโมฆะเพราะขณะนั้น ป. เป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวของ ป. มีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับ ป. เป็นโมฆะ โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นภรรยาชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2519 จำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ยื่นหลักฐานต่อทางราชการว่าเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ ความจริงจำเลยทั้งสองได้จดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐในขณะที่จ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์เป็นสามีภรรยากันอยู่ กระทรวงกลาโหมไม่จ่ายบำเหน็จตกทอดให้โจทก์ ขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสของจำเลยทั้งสองเป็นโมฆะ และให้ศาลแจ้งคำสั่งของศาลไปยังสำนักทะเบียนให้เพิกถอนทะเบียนสมรสของจำเลยทั้งสอง จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 เป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ จดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2495 ก่อนจ่าสิบเอกประเสริฐมาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และจำเลยที่ 2 การสมรสของโจทก์กับจำเลยที่ 2 จึงเป็นโมฆะ โจทก์รบเร้าให้จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 จ่าสิบเอกประเสริฐจึงทำการลวงโจทก์โดยจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้วรีบจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 ใหม่ แล้วเอาทะเบียนหย่าไปให้โจทก์ดูและจดทะเบียนสมรสกับโจทก์อีก เมื่อจ่าสิบเอกประเสริฐถึงแก่กรรม โจทก์เอาทะเบียนสมรสที่เป็นโมฆะไปขอรับเงินบำเหน็จตกทอดและคัดค้านการที่จำเลยที่ 1 ขอรับบำเหน็จตกทอด เป็นการไม่ชอบ ขอให้พิพากษายกฟ้องและพิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นโมฆะให้โจทก์ไปเพิกถอนทะเบียนสมรสดังกล่าวกับถอนคำขอและคำคัดค้านที่จำเลยที่ 1 ยื่นขอรับบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐ หากโจทก์ไม่ไปก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของโจทก์ และห้ามโจทก์เข้ายุ่งเกี่ยวอีก โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า จำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐจะจดทะเบียนสมรสกันเมื่อวันที่ 25 เมษายน 2495 จริงหรือไม่ไม่รับรองหากเป็นความจริงก็จดทะเบียนหย่ากันแล้วเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2507 โจทก์จดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐอย่างถูกต้อง โจทก์ไม่เคยรบเร้าให้จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แล้วมาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์การที่โจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งหนึ่งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2507 ก็เพราะตามทะเบียนสมรสเดิมโจทก์ชื่อ "บัวรินทร์" เมื่อเปลี่ยนชื่อมาเป็น "อารียา" จึงจดทะเบียนสมรสกันใหม่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2507 เป็นโมฆะเพราะขณะนั้นโจทก์เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐอยู่แล้วโจทก์มีสิทธิขอรับบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐ ไม่เป็นการละเมิด ขอให้ยกฟ้องแย้ง จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐตกเป็นโมฆะ คำขออื่นนอกจากนี้ของจำเลยที่ 1 ให้ยก ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ด้วยนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงคงรับฟังได้ว่าเดิมจ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 เมื่อวันที่ 25 เมษายน 2495 แล้วต่อมาจ่าสิบเอกประเสริฐได้มาจดทะเบียนสมรสกับโจทก์และจำเลยที่ 2 อีก โดยจดกับโจทก์วันที่ 15 ธันวาคม 2503 ขณะนั้นโจทก์ใช้ชื่อ "บัวรินทร์" และจดกับจำเลยที่ 2 วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 วันที่ 24 มิถุนายน 2507 จ่าสิบเอกประเสริฐจดทะเบียนหย่ากับจำเลยที่ 1 แต่ต่อมาในวันที่ 5 สิงหาคม2507 จ่าสิบเอกประเสริฐก็จดทะเบียนสมรสกับจำเลยที่ 1 อีก และหลังจากนั้นคือ ต่อมาวันที่ 30 ตุลาคม 2507 โจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐก็จดทะเบียนสมรสกันซ้ำอีกครั้งหนึ่ง โดยครั้งหลังนี้โจทก์ใช้ชื่อ "อารียา" ซึ่งเป็นชื่อของโจทก์ในปัจจุบัน ครั้นวันที่ 1 เมษายน 2519 จ่าสิบเอกประเสริฐถึงแก่กรรมโจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ต่างไปขอรับเงินบำเหน็จตกทอดของจ่าสิบเอกประเสริฐจากกระทรวงกลาโหม อ้างว่าเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐทางกระทรวงกลาโหมขัดข้อง จะจ่ายให้แต่เฉพาะภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐเพียงผู้เดียว จึงพิพาทกันเป็นคดีนี้มีประเด็นข้อวินิจฉัยว่า โจทก์หรือจำเลยที่ 1 หรือจำเลยที่ 2 เป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายของจ่าสิบเอกประเสริฐ ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2503 และระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับจำเลยที่ 2 เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2507 ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3) เพราะในขณะนั้นจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่แล้ว จึงเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1490 สำหรับจำเลยที่ 1 แม้จะปรากฏว่าในวันที่ 24 มิถุนายน 2507 ได้จดทะเบียนหย่ากับจ่าสิบเอกประเสริฐทำให้ขาดจากการสมรสก็ตามแต่ต่อมาวันที่ 5 สิงหาคม 2507 จำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐก็ได้จดทะเบียนสมรสกันใหม่ การจดทะเบียนสมรสของจำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐในครั้งหลังนี้สมบูรณ์ชอบด้วยกฎหมายเพราะขณะที่จดทะเบียนสมรสครั้งหลังนี้จ่าสิบเอกประเสริฐมิได้เป็นคู่สมรสของโจทก์หรือของจำเลยที่ 2 เนื่องด้วยการสมรสระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับโจทก์และระหว่างจ่าสิบเอกประเสริฐกับจำเลยที่ 2 เป็นโมฆะตั้งแต่วันที่จดทะเบียนสมรสกันแล้วดังวินิจฉัยมาข้างต้น เมื่อการจดทะเบียนสมรสระหว่างจำเลยที่ 1 กับจ่าสิบเอกประเสริฐเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2507 ชอบด้วยกฎหมาย การที่โจทก์มาจดทะเบียนสมรสกับจ่าสิบเอกประเสริฐครั้งหลังในวันที่ 30 ตุลาคม 2507 จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายและเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1445(3), 1490 อีกเช่นกัน เพราะขณะนั้นจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นคู่สมรสของจำเลยที่ 1 อยู่ก่อนแล้ว ฉะนั้น จำเลยที่ 1 จึงเป็นภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายแต่ผู้เดียวของจ่าสิบเอกประเสริฐจำเลยที่ 1 ย่อมมีอำนาจฟ้องขอให้พิพากษาว่าการจดทะเบียนสมรสระหว่างโจทก์กับจ่าสิบเอกประเสริฐเป็นโมฆะ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 เสียนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย พิพากษาแก้เป็นว่า ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น สามีภริยาทิ้งร้างกัน -หากมีการสมรสซ้อนก็เป็นโมฆะ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 56/2527 การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในคดีแพ่งนั้น ต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาทซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัดสำหรับคดีแพ่ง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็พอทำให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโจทก์มีอย่างไร โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ขับรถบรรทุกเรืออวนลากสูงกว่ากฎหมายกำหนดและด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถ เป็นเหตุให้เรืออวนลากซึ่งบรรทุกอยู่บนรถชนสายโทรศัพท์และเสาโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์แล้ว โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ขับรถบรรทุกบรรทุกเรืออวงลากสูงกว่ากฎหมายกำหนดไปในทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2 ที่ 3แล่นมาตามถนน เมื่อถึงสี่แยกโทรศัพท์ จำเลยที่ 1 ขับรถด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังซึ่งบุคคลในภาวะเช่นนั้นจักต้องมีตามวิสัยและพฤติการณ์แต่หาได้ใช้ให้เพียงพอไม่ เป็นเหตุให้เรืออวนลากซึ่งบรรทุกอยู่บนรถบรรทุกดังกล่าวชนสายโทรศัพท์และเสาโทรศัพท์เสียหายเป็นเงิน35,800 บาท ซึ่งจำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในฐานะผู้ทำละเมิด จำเลยที่ 2 ที่ 3ต้องร่วมรับผิดในฐานะนายจ้าง ส่วนจำเลยที่ 4 ต้องร่วมรับผิดในฐานะผู้รับประกันภัย ขอให้จำเลยทั้งสี่ร่วมกันใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การ ต่อมาโจทก์ถอนฟ้อง จำเลยที่ 2 ที่ 3 ที่ 4 ให้การปฏิเสธความรับผิดและตัดฟ้องว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ศาลชั้นต้นเห็นว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม พิพากษายกคำพิพากษาศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นข้ออื่นทั้งหมดแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี จำเลยที่ 2 ที่ 3 ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อละเมิดอันเกิดจากความประมาทเลินเล่อในคดีแพ่งนั้น ต่างกับการฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำผิดอาญาโดยประมาทซึ่งโจทก์จะต้องบรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดโดยแน่ชัดดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 สำหรับคดีแพ่งเมื่อโจทก์ได้บรรยายฟ้องแสดงว่าการละเมิดของผู้ทำละเมิดเป็นการกระทำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อก็พอทำให้เข้าใจได้แล้วว่าข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาโจทก์มีอย่างไร คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1ขับรถบรรทุกหมายเลขทะเบียน ส.ภ.03530 บรรทุกเรืออวนลากสูงกว่ากฎหมายกำหนดและด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังในการขับรถบรรทุกดังกล่าวของจำเลยที่ 1 ผู้ขับขี่ เป็นเหตุให้เรืออวนลากซึ่งบรรทุกอยู่บนรถบรรทุกดังกล่าวชนสายโทรศัพท์และเสาโทรศัพท์ของโจทก์ได้รับความเสียหาย เป็นการแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 แล้ว พิพากษายืน ผลของการสมรสเป็นโมฆะตามมาตรา 1452 ก็คือมาตรา 1498, 1499 วรรคสอง ถึง วรรคสี่ สรุปได้ว่า ทรัพย์สินที่ฝ่ายใดมีหรือได้มาไม่ว่าก่อนหรือหลังการสมรสรวมทั้งดอกผลคงเป็นของฝ่ายนั้น ส่วนบรรดาทรัพย์สินที่ทำมาหาได้ร่วมกันให้แบ่งคนละครึ่ง เว้นแต่ศาลจะเห็นสมควรสั่งเป็นประการอื่น การสมรสที่เป็นโมฆะเพราะฝ่าฝืนตามมาตรานี้ ไม่ทำให้ชายหรือหญิงผู้สมรสโดยสุจริตเสื่อมสิทธิที่ได้มาเพราะการสมรสก่อนที่ชายหรือหญิงนั้นรู้ถึงเหตุที่ทำให้การสมรสเป็นโมฆะ แต่การสมรสที่เป็นโมฆะดังกล่าว ไม่ทำให้คู่สมรสเกิดสิทธิรับมรดกในฐานะทายาทโดยธรรมของคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง ถ้าคู่สมรสฝ่ายใดได้สมรสโดยสุจริต ฝ่ายนั้นมีสิทธิเรียกค่าทดแทนได้ และถ้าการสมรสที่เป็นโมฆะนั้น ทำให้ฝ่ายที่ได้สมรสโดยสุจริตต้องยากจนลงเพราะไม่มีรายได้พอจากทรัพย์สิน หรือจากการงานที่เคยทำอยู่ก่อน มีคำพิพากษาถถึงที่สุด หรือก่อนที่จะได้รู้ว่าการสมรสของตนเป็นโมฆะแล้วแต่กรณี ฝ่ายนั้นมีสิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพได้ด้วย สิทธิเรียกค่าเลี้ยงชีพในการณีนี้ให้นำมราตรา 1526 วรรคหนึ่ง และมาตตรา 1528 มาใช้บังคับโดยอนุโลม ข้อสังเกต การสมรสที่เป็นโมฆะ ได้มีคำพพากษาศาลฎีกาที่ 949/2531 วินิจฉัยว่า การสมรสที่เป็นโมฆะ ไม่อาจฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูจากอีกฝ่ายหนึ่งได้ แต่คำพิพากษาศาลฎีกาคดีนี้เป็นการวินิจฉัยก่อนมีการแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติ บรรพ 5 ปัญหาจึงมีว่า การสมรสที่เป็นโมฆะตามกฎหมายใหม่นั้น ความสัมพันธ์ในทางส่วนตัวโดยเฉพาะหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูต่อกันนั้น ชายหญิงดังกล่าวจะมีหน้าที่ต่อกันหรือไม่ ตามบทบัญญัติในปัจจุบัน คือมาตรา 1494 ถึง 1500 ไม่มีบทบัญญัติมาตราใดที่ตัดสิทธิหรือจำกัดสิทธิหน้าที่ดังกล่าวไว้เลย คงมีเฉพาะความสัมพันธ์ในทางทรัพย์สินเท่านั้น
|