
| สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567) ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับกรณีที่จำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ จนสิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) แต่สำหรับคดีส่วนแพ่งนั้น ศาลวินิจฉัยว่า สิทธิเรียกร้องชดใช้เงินหรือค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 43 / มาตรา 44/1 ยังคงไม่ระงับ และพนักงานอัยการสามารถดำเนินคดีแทนผู้เสียหายได้ ศาลจึงอนุญาตให้บังคับคดีต่อกับทายาทจำเลยตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และ 160 ข้อเท็จจริง • โจทก์ยื่นฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และเรียกร้องให้จำเลยคืนเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี • ในระหว่างที่จำเลยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และต่อมาทนายจำเลยยื่นคำร้องว่า จำเลยถึงแก่ความตาย • ศาลชั้นต้นนัดสอบถามคู่ความ และมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธิในคดีอาญาย่อมระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) ให้จำหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบ • โจทก์ร่วมยื่นคำร้องให้ศาลออกคำบังคับคดีส่วนแพ่งแก่จำเลย แต่ศาลชั้นต้นชี้ว่า ยังไม่เคยออกคำบังคับคดีส่วนแพ่งแก่จำเลย จึงให้โจทก์ร่วมสืบหาทายาทและส่งคำบังคับให้ทายาท • ต่อมามีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดกของจำเลย และศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ผู้จัดการมรดกปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน • ผู้ร้องอุทธรณ์/ฎีกา โต้แย้งว่า ศาลชั้นต้นสั่งจำหน่ายคดีทั้งคดีอาญาและแพ่งในคำสั่งเดียว ทำให้คำพิพากษาแพ่งตกไป และไม่มีคำพิพากษาที่จะบังคับชดใช้ ประเด็นวินิจฉัย • ประเด็นที่ 1: เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการดำเนินคดีอาญาจะระงับหรือไม่ (ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1)) • ประเด็นที่ 2: สิทธิฝ่ายผู้เสียหายในส่วนแพ่ง (เรียกร้องตามมาตรา 43, 44/1) ยังคงอยู่หรือระงับ • ประเด็นที่ 3: การแต่งตั้งทนายความเป็นตัวแทนของจำเลย มีผลอย่างไรเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย • ประเด็นที่ 4: สิทธิในการบังคับคดีแพ่งตกทอดแก่ทายาทหรือผู้จัดการมรดกหรือไม่ (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 / 1600) • ประเด็นที่ 5: ความชอบหรือการออกคำบังคับของศาลชั้นต้นในคดีแพ่ง ภายหลังคำสั่งจำหน่ายคดี ⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดี คดีนี้เป็นกรณีตัวอย่างสำคัญที่ศาลฎีกาอธิบายความแตกต่างระหว่าง “การระงับสิทธิทางอาญา” กับ “การคงอยู่ของสิทธิทางแพ่ง” เมื่อตัวจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างกระบวนการอุทธรณ์ ประเด็นหลักคือการตีความว่า “การตายของจำเลยทำให้คดีอาญาระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) แต่สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วม ยังคงอยู่ และสามารถบังคับต่อทายาทได้” ศาลฎีกาใช้หลักกฎหมายหลายบทผสมกันเพื่อสร้างแนวทางสำคัญให้ชัดเจนทั้งทางอาญาและแพ่ง 🧾 กฎหมายที่ใช้ในการวินิจฉัยหลัก 1. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) กำหนดให้สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องระงับเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย ➡ ศาลใช้เพื่อยืนยันว่าคดีอาญาสิ้นสุดโดยเด็ดขาด 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 และ 44/1 ให้อำนาจพนักงานอัยการดำเนินคดีส่วนแพ่งแทนผู้เสียหาย ➡ เพื่อให้ได้รับทรัพย์หรือค่าสินไหมทดแทนโดยไม่ต้องฟ้องใหม่ 3. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 วรรคหนึ่ง บัญญัติให้คำพิพากษาในคดีส่วนแพ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายแพ่ง แม้จำเลยจะไม่ได้ถูกตัดสินว่ากระทำผิด 4. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 ให้ตัวแทน (เช่น ทนายจำเลย) มีอำนาจดำเนินการเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวการจนกว่าทายาทจะเข้ามาแทน 5. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และ 1600 ระบุว่าความรับผิดของผู้ตายตกทอดแก่ทายาท ➡ ใช้อธิบายว่าคดีแพ่งไม่สิ้นสุดเมื่อจำเลยตาย 🔑 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ (พร้อมคำอธิบาย) 1. สิทธิในคดีอาญาระงับ – ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) การตายของจำเลยทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาสิ้นสุดโดยเด็ดขาด เพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัว ไม่ตกทอดสู่ทายาท ➡ ศาลใช้บทบัญญัตินี้เป็นจุดเริ่มต้นของการจำหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบ 2. สิทธิในคดีแพ่งยังคงอยู่ – ป.วิ.อ. มาตรา 43, 44/1 สิทธิของผู้เสียหายในการเรียกร้องทรัพย์หรือค่าสินไหมไม่ระงับ แม้คดีอาญาจะจบ เพราะเป็นสิทธิในทรัพย์สินที่กฎหมายคุ้มครอง ➡ พนักงานอัยการสามารถดำเนินคดีแพ่งต่อได้โดยไม่ต้องฟ้องแยก 3. อำนาจของทนายจำเลย – ป.พ.พ. มาตรา 828 การแต่งตั้งทนายความเป็นตัวแทนของจำเลยไม่สิ้นสุดทันทีเมื่อจำเลยตาย ทนายยังคงอำนาจปกป้องสิทธิของจำเลยต่อไปจนกว่าทายาทเข้ามาแทน ➡ ช่วยให้กระบวนการคดีแพ่งดำเนินต่อได้โดยไม่สะดุด 4. สิทธิในการบังคับคดีตกทอดแก่ทายาท – ป.พ.พ. มาตรา 1599 และ 1600 ศาลยืนยันว่า “สิทธิในการบังคับคดีแพ่งเป็นสิทธิในทรัพย์สิน” ที่สามารถตกทอดไปยังทายาทได้ ➡ ทำให้ผู้จัดการมรดกหรือทายาทต้องรับผิดชำระหนี้ตามคำพิพากษาแทนจำเลย 5. แยกความระงับระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง ศาลฎีกาเน้นว่า “คดีอาญาระงับ แต่คดีแพ่งไม่จำเป็นต้องระงับตาม” ➡ เป็นหลักการสำคัญที่สร้างแนววินิจฉัยชัดเจนให้ศาลชั้นต้นและผู้ปฏิบัตินำไปใช้ในกรณีจำเลยเสียชีวิตระหว่างกระบวนการ 🧩 สรุปสาระสำคัญโดยรวม คดีนี้เป็นหมุดหมายสำคัญที่ยืนยันว่า “การตายของจำเลยไม่ทำให้สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายสิ้นสุด” ศาลอธิบายหลักการเชื่อมโยงระหว่าง สิทธิทางอาญาที่ระงับได้ กับ สิทธิทางแพ่งที่ตกทอดได้ อย่างละเอียด เป็นแนวทางสำคัญให้ผู้บังคับใช้กฎหมายเข้าใจความแตกต่างระหว่าง “สิทธิเฉพาะตัว” กับ “สิทธิในทรัพย์สิน” อย่างชัดเจนในกระบวนพิจารณา หลักกฎหมาย • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) — “เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับ” • ป.วิ.อ. มาตรา 43 — อำนาจของพนักงานอัยการในการขอให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วม • ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 — สิทธิฝ่ายผู้เสียหายในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งควบคู่กับคดีอาญา • ป.วิ.อ. มาตรา 47 วรรคหนึ่ง — ให้คดีส่วนแพ่งดำเนินตามบทบัญญัติความรับผิดในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงผลในคดีอาญาว่าจำเลยถูกตัดสินหรือไม่ • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 — อำนาจหน้าที่ของตัวแทนทนายความ • ป.พ.พ. มาตรา 1599 / 1600 — ความรับผิดตามคำพิพากษาที่ตกทอดแก่ทายาท • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 / มาตรา 60 — กำหนดระยะเวลาและบทบัญญัติเกี่ยวกับตัวแทนในการดำเนินคดีแพ่ง • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 / วิ.อาญามาตรา 15 (ข้อที่ผู้ร้องอ้าง) — ข้อโต้แย้งเรื่องคำบังคับและการจำหน่ายคดีทั้งโครงเรื่อง การวิเคราะห์ • ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงไม่มีโต้แย้งในชั้นฎีกา ประกอบกับการขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์เป็นสิทธิที่ได้รับอนุญาต การที่จำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างนั้น ทำให้สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ย่อมระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) — จึงถูกต้องที่ศาลชั้นต้นสั่งให้จำหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบ • แต่สำหรับคดีส่วนแพ่ง ศาลวินิจฉัยว่าแม้ว่าจะอยู่ในกระบวนการดำเนินคดีอาญา แต่บทบัญญัติ มาตรา 47 วรรคหนึ่ง กำหนดให้คดีแพ่งเดินหน้าตามกฎหมายแพ่ง ไม่ขึ้นอยู่กับผลคดีอาญา • สิทธิตาม มาตรา 43 (เงิน) และ มาตรา 44/1 (ค่าสินไหมทดแทน) ยังคงอยู่ไม่ถูกระงับโดยอัตโนมัติเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย เพราะเจตนารมณ์ของบทบัญญัติดังกล่าวคือเพื่ออำนวยประโยชน์แก่ผู้เสียหายให้ได้รับการชดเชยรวดเร็วโดยไม่ต้องแยกฟ้องคดีแพ่งเพิ่มเติม • เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย การที่จำเลยแต่งตั้งทนายความเป็นตัวแทน (ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60) ย่อมไม่สิ้นผลทันทีที่จำเลยตาย แต่ทนายมีอำนาจและหน้าที่ดูแลประโยชน์ของจำเลยจนกว่าทายาทหรือผู้แทนเข้ามารับช่วงต่อ (ตาม ป.พ.พ. มาตรา 828) • หากทนายจำเลยไม่ดำเนินการในคดีแพ่งภายในระยะ 1 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 โจทก์มีสิทธิเรียกร้องให้บังคับคดีต่อไป • สิทธิในการบังคับคดี (สิทธิในทรัพย์สิน) ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงตกทอดแก่ทายาทของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 / 1600 • ศาลเห็นว่า การออกคำบังคับคดีแพ่งของศาลชั้นต้นต่อผู้จัดการมรดกเป็นไปโดยชอบ เพราะศาลยังมิได้มีคำบังคับคดีแพ่งแก่จำเลย จึงต้องเรียกทายาทและออกคำบังคับให้แก่ผู้จัดการมรดกตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด • คำอ้างของผู้ร้องว่า คำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบโดยไม่เจาะจงคดีแพ่งกับอาญาต้องตีความว่าเป็นการจำหน่ายเฉพาะคดีอาญา ไม่ใช่การลบสิทธิแพ่งไปด้วย • ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนไม่มีความผิด พิพากษายืน IRAC (Issue-Rule-Application-Conclusion) แบบละเอียด Issue (ประเด็น): 1. เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการนำคดีอาญาฟ้องของโจทก์จะระงับหรือไม่? 2. สิทธิทางแพ่ง (เรียกร้องเงิน / ค่าสินไหม) ยังคงอยู่หรือถูกระงับ? 3. การแต่งตั้งทนายความของจำเลย มีผลอย่างไรหลังจำเลยถึงแก่ความตาย? 4. สิทธิในการบังคับคดีแพ่งตกทอดแก่ใคร? 5. ความชอบของการออกคำบังคับคดีแพ่งหลังคำสั่งจำหน่ายคดีอาญา Rule (กฎหมายที่ใช้): • ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1): สิทธิในการดำเนินคดีอาญาจะระงับเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย • ป.วิ.อ. มาตรา 43: ให้พนักงานอัยการสามารถขอให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วม • ป.วิ.อ. มาตรา 44/1: ให้ผู้เสียหายสามารถเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนควบคู่กับคดีอาญา • ป.วิ.อ. มาตรา 47 วรรคหนึ่ง: ให้คดีแพ่งดำเนินตามกฎหมายแพ่งโดยอิสระ • ป.วิ.พ. มาตรา 42: กำหนดเวลาที่การดำเนินคดีแพ่งต้องปฏิบัติ • ป.วิ.พ. มาตรา 60: กำหนดการแต่งตั้งตัวแทนของจำเลย • ป.พ.พ. มาตรา 828: ให้ตัวแทนทนายความดำเนินการปกป้องผลประโยชน์ของจำเลย • ป.พ.พ. มาตรา 1599 / 1600: ความรับผิดตามคำพิพากษาตกทอดแก่ทายาท • ป.วิ.พ. มาตรา 272 / ป.วิ.อ. มาตรา 15: ข้อโต้แย้งเกี่ยวกับคำบังคับ / การจำหน่ายคดี Application (การประยุกต์ใช้): • เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างรอขยายเวลาอุทธรณ์ การดำเนินคดีอาญาจึงต้องระงับตามมาตรา 39 (1) — ศาลชั้นต้นและฎีกาเห็นตรงกันว่า การจำหน่ายคดีอาญาออกจากสารบบนั้นชอบ • แต่ในทางคดีแพ่ง ศาลต้องใช้หลักกฎหมายแพ่งตาม มาตรา 47 วรรคหนึ่ง โดยไม่ขึ้นกับผลคดีอาญา — จึงไม่อาจให้สิทธิแพ่งตกไป • ให้สิทธิตามมาตรา 43 / 44/1 ยังคงอยู่ เพราะบทบัญญัติเหล่านี้มุ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้เสียหาย • ทนายจำเลยซึ่งเป็นตัวแทน มีหน้าที่รักษาประโยชน์ของจำเลยต่อไปจนกว่าทายาทเข้ามา — ถ้าไม่ดำเนินการภายในกำหนดตาม มาตรา 42 โจทก์อาจบังคับคดีต่อ • สิทธิในการบังคับคดีแพ่งเป็นสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงตกทอดแก่ทายาท (ตาม มาตรา 1599 / 1600) • ศาลชั้นต้นดำเนินการให้โจทก์ร่วมสืบทายาทและออกคำบังคับให้ผู้จัดการมรดกตามกระบวนการ ถูกต้องตามกฎหมาย • การสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบ หากไม่ระบุให้ชัดว่าเฉพาะคดีอาญา ต้องตีความตามบริบทว่าไม่รวมคดีแพ่ง — ผู้ร้องไม่อาจอ้างว่าคำพิพากษาแพ่งตกไปโดยอัตโนมัติ Conclusion (บทสรุป): • สิทธิในการดำเนินคดีอาญาของโจทก์ถูกระงับเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย • แต่สิทธิในคดีแพ่ง (เรียกร้องเงิน / ค่าสินไหม) ยังคงดำรงอยู่ • ทนายจำเลยยังคงอำนาจในการปกป้องประโยชน์จนกว่าทายาทเข้ามา • สิทธิในการบังคับคดีแพ่งตกทอดแก่ทายาท • คำบังคับที่ศาลชั้นต้นออกให้กับผู้จัดการมรดกเป็นไปโดยชอบ • คำอ้างของผู้ร้องไม่อาจทำให้คำตัดสินแพ่ง “ตกไป” ได้ • ศาลฎีกาจึงพิพากษายืน ตามศาลอุทธรณ์ ข้อคิดทางกฎหมาย 1. เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธิทางอาญาจะระงับทันที — แต่ไม่หมายถึงสิทธิทางแพ่งทั้งหมดจะตกไปด้วย 2. บทบัญญัติ ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ถือเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ผู้เสียหายสามารถฟ้องคดีแพ่งควบคู่กับคดีอาญาได้อย่างสะดวก 3. ตัวแทน (ทนายความ) ของจำเลยยังมีบทบาทในการปกป้องผลประโยชน์ แม้จำเลยเสียชีวิต จนกว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะเข้ามา 4. สิทธิในการบังคับคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินมิใช่สิทธิเฉพาะตัว จึงสามารถตกทอดแก่ทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599/1600 5. การออกคำบังคับในคดีแพ่งหลังคำสั่งจำหน่ายคดีอาญา ต้องระมัดระวังให้ไม่ให้คำสั่ง “จำหน่าย” กลืนสิทธิแพ่งโดยไม่เจตนา 6. ผู้พิจารณาคดี (โดยเฉพาะศาลชั้นต้น/อุทธรณ์) ต้องแยกใจระหว่างคดีอาญาและคดีแพ่ง ไม่อนุญาตให้คำสั่งในคดีอาญากลืนคำพิพากษาแพ่งไปโดยปริยาย บทสรุป คำพิพากษาศาลฎีกา 2232/2567 ยืนยันหลักว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการดำเนินคดีอาญาจะระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) แต่ในขณะเดียวกัน สิทธิทางแพ่ง (การเรียกร้องเงิน / ค่าสินไหมทดแทน) ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 / 44/1 ยังคงดำรงอยู่ ไม่ระงับไปโดยอัตโนมัติ ศาลจึงสามารถออกคำบังคับต่อผู้จัดการมรดกหรือทายาทจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599/1600 ได้โดยไม่ตกไปตามคำสั่งจำหน่ายคดีอาญา 🟩 ประเด็นคำถามที่ 1: เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการดำเนินคดีอาญาและคดีส่วนแพ่งจะระงับไปทั้งหมดหรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไป ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) เพราะคดีอาญาเป็นเรื่องสิทธิเฉพาะตัวของจำเลย ไม่อาจตกทอดแก่ทายาทได้ อย่างไรก็ตาม สิทธิในคดีส่วนแพ่งของผู้เสียหายหรือโจทก์ร่วมไม่ระงับไปด้วย เนื่องจากเป็นสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว ตามเจตนารมณ์ของ ป.วิ.อ. มาตรา 43 และมาตรา 44/1 ซึ่งให้อำนาจพนักงานอัยการดำเนินการแทนผู้เสียหายในทางแพ่งได้โดยไม่ต้องฟ้องคดีแพ่งแยกต่างหาก ศาลจึงวินิจฉัยว่าโจทก์ร่วมยังมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อเนื่องได้ แม้จำเลยจะถึงแก่ความตายแล้วก็ตาม 🟩 ประเด็นคำถามที่ 2: หลังจำเลยถึงแก่ความตาย ทนายจำเลยยังมีอำนาจดำเนินคดีหรือไม่ และสิทธิในการบังคับคดีแพ่งตกทอดแก่ใคร? คำตอบ: ศาลฎีกาอธิบายว่า การที่จำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความแทนตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 ถือเป็นการแต่งตั้ง “ตัวแทน” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 ดังนั้นเมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย อำนาจของทนายความไม่สิ้นสุดทันที แต่ยังคงมีหน้าที่ดำเนินคดีเพื่อปกป้องประโยชน์ของจำเลยต่อไป จนกว่าทายาทหรือผู้แทนจะเข้ามารับช่วง และเมื่อคดีอยู่ในชั้นบังคับคดี ศาลเห็นว่า สิทธิในการบังคับคดีเป็นสิทธิในทรัพย์สิน ไม่ใช่สิทธิเฉพาะตัว ความรับผิดตามคำพิพากษาย่อมตกทอดแก่ทายาทของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และ 1600 ดังนั้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจออกคำบังคับให้ผู้จัดการมรดกหรือทายาทของจำเลยชำระหนี้แทนจำเลยได้โดยชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2232/2567 เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายระหว่างขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (1) จึงให้จำหน่ายคดีในคดีส่วนอาญาออกจากสารบบความ สำหรับคดีส่วนแพ่ง การดำเนินกระบวนพิจารณาต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 47 วรรคหนึ่ง สิทธิในคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่พนักงานอัยการขอให้จำเลยชดใช้เงินแก่โจทก์ร่วมตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 และสิทธิของโจทก์ร่วมที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 ยังคงมีอยู่ ไม่ระงับไป ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 เป็นบทบัญญัติที่มีเจตนารมณ์เพื่อช่วยให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายในทางแพ่งได้รับทรัพย์สินคืนหรือได้รับการชดใช้ราคาทรัพย์สินที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยได้โดยสะดวกรวดเร็ว และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่งเป็นอีกคดีหนึ่ง จึงให้อำนาจพนักงานอัยการใช้สิทธิเรียกร้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายและโจทก์ร่วมสามารถใช้สิทธิของตนเองต่อเนื่องไปในคดีอาญา เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีทั้งคดีส่วนแพ่งและคดีส่วนอาญาเสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน ดังนั้น การที่จำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตาม ป.วิ.พ. มาตรา 60 จึงเป็นการแต่งตั้งตัวแทน เมื่อจำเลยซึ่งเป็นตัวการถึงแก่ความตาย ทนายจำเลยคงมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยต่อไปตาม ป.พ.พ. มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของจำเลยจะเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลย อำนาจของทนายจำเลยหาได้หมดสิ้นไปทันทีเมื่อจำเลยถึงแก่ความตายไม่ เมื่อทนายจำเลยมิได้ดำเนินการในคดีส่วนแพ่งภายในกำหนด 1 ปี ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 42 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปได้ สิทธิในการบังคับคดีที่เป็นสิทธิในทรัพย์สินมิใช่สิทธิเฉพาะตัว ความรับผิดตามคำพิพากษาย่อมตกทอดแก่ทายาทของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 และมาตรา 1600 คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 และให้จำเลยใช้เงิน 3,000,000 บาท ที่ยังไม่ได้คืนแก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ระหว่างพิจารณา พระครู ว. นายแสวง นายทวี นายสินธ์ นายทองพูล นายทองล้วน นางอังสนา นางสาวปัทมนันท์ นางดวงกมล นายพิชัย นายสมหมาย นายสมจิตร นายเสมอ นายบัญชา และนางสาวประกายดาว ในฐานะคณะกรรมการบริหารงานของธนาคารหมู่บ้านวัด บ. ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นเงิน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 26 สิงหาคม 2560 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ จำเลยให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิด ไม่ได้เอาเงินโจทก์ร่วมไป จึงไม่ต้องคืนเงินพร้อมดอกเบี้ยแก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 วรรคหนึ่ง จำคุก 3 ปี ให้จำเลยคืนเงินแก่ธนาคารหมู่บ้านวัด บ. จำนวน 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 2 กันยายน 2560 เป็นต้นไปจนกว่าชำระเสร็จ ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ระหว่างจำเลยขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ โดยศาลชั้นต้นอนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นนัดสอบถามคู่ความในวันที่ 2 ตุลาคม 2562 และมีคำสั่งว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ วันที่ 23 มีนาคม 2563 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลยังมิได้มีคำบังคับคดีส่วนแพ่งแก่จำเลย เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย จึงให้โจทก์ร่วมสืบหาทายาทของจำเลย แล้วจัดการส่งคำบังคับต่อไป ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2564 โจทก์ร่วมยื่นคำแถลงขอให้ส่งคำบังคับแก่นายสุรศักดิ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของจำเลย วันที่ 1 กันยายน 2564 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้นายสุรศักดิ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของจำเลยปฏิบัติตามคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งภายใน 15 วัน นายสุรศักดิ์ ในฐานะผู้จัดการมรดกของจำเลย ผู้ร้อง ยื่นคำร้องว่า เมื่อจำเลยถึงแก่ความตาย สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) คำขอในส่วนแพ่งที่ให้จำเลยชดใช้เงินย่อมตกไปด้วย ประกอบกับศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีโดยมิได้ระบุว่าจำหน่ายคดีเฉพาะคดีส่วนอาญา ย่อมต้องถือว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีทั้งคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่ง คำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความมีผลทำให้คำพิพากษาของศาลชั้นต้นระงับไปในตัว จึงไม่มีคำพิพากษาที่จะบังคับให้จำเลยต้องรับผิด โจทก์ร่วมต้องไปฟ้องร้องทายาทจำเลยเป็นคดีใหม่ คำบังคับดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 272 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ขอให้เพิกถอนคำบังคับ ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ ผู้ร้องฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันในชั้นฎีกาฟังได้ว่า ระหว่างอุทธรณ์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยขยายระยะเวลาอุทธรณ์ถึงวันที่ 4 ตุลาคม 2562 ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นนัดสอบถามในวันที่ 2 ตุลาคม 2562 และมีคำสั่งว่าเมื่อจำเลยถึงแก่ความตายสิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ วันที่ 23 มีนาคม 2563 โจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดี ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ศาลยังมิได้มีคำบังคับคดีส่วนแพ่งแก่จำเลย เมื่อจำเลยถึงแก่ความตายให้โจทก์ร่วมสืบหาทายาทของจำเลย แล้วส่งคำบังคับให้ทายาทของจำเลยต่อไป ต่อมาวันที่ 30 สิงหาคม 2564 โจทก์ร่วมยื่นคำแถลงขอออกคำบังคับและให้ส่งคำบังคับแก่ผู้ร้องในฐานะผู้จัดการมรดกของจำเลย วันที่ 1 กันยายน 2564 ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำพิพากษาคดีส่วนแพ่งภายใน 15 วัน คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า การออกคำบังคับในคดีส่วนแพ่งของศาลชั้นต้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีส่วนอาญาเมื่อจำเลยถึงแก่ความตายในระหว่างขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ สิทธิในการนำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีในคดีส่วนอาญาของจำเลยออกจากสารบบความชอบแล้ว สำหรับคดีส่วนแพ่งการดำเนินกระบวนพิจารณาศาลจำต้องใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 47 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติว่า "คำพิพากษาคดีส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งกฎหมายอันว่าด้วยความรับผิดของบุคคลในทางแพ่ง โดยไม่ต้องคำนึงถึงว่าจำเลยต้องคำพิพากษาว่าได้กระทำความผิดหรือไม่" สิทธิของโจทก์ร่วมที่จะได้ทรัพย์สินคืนหรือใช้ราคาทรัพย์สินซึ่งเป็นสิทธิในคดีส่วนแพ่งที่พนักงานอัยการอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 และคำขอส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่ขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนจำนวนดังกล่าวเป็นค่าเสียหายในทางทรัพย์สินอันเนื่องมาจากการกระทำความผิดของจำเลย โจทก์ร่วมจึงยื่นคำร้องขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้เช่นกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 เห็นได้ว่าเจตนารมณ์ของกฎหมายดังกล่าวเพื่อช่วยให้โจทก์ร่วมได้รับทรัพย์สินคืนหรือได้รับการชดใช้ราคาทรัพย์สินที่สูญเสียไปเนื่องจากการกระทำผิดของจำเลยได้โดยสะดวก รวดเร็ว และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีแพ่งเป็นอีกคดีหนึ่ง จึงให้อำนาจพนักงานอัยการใช้สิทธิเรียกร้องและดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายและโจทก์ร่วมสามารถใช้สิทธิของตนเองต่อเนื่องไปในคดีอาญา เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาคดีทั้งคดีส่วนแพ่งและคดีส่วนอาญาเสร็จสิ้นไปในคราวเดียวกัน สิทธิในคดีส่วนแพ่งของโจทก์ร่วมที่พนักงานอัยการขอให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ร่วมและสิทธิของโจทก์ร่วมขอให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนยังคงมีอยู่จึงยังไม่ระงับไป แม้ผู้ร้องจะกล่าวอ้างมาในฎีกาว่า ศาลชั้นต้นมีคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความโดยมิได้ระบุว่าจำหน่ายคดีเฉพาะส่วนคดีอาญาย่อมเข้าใจได้ว่าเป็นการจำหน่ายคดีทั้งในคดีส่วนอาญาและคดีส่วนแพ่งไปทั้งหมดออกจากศาล ทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นระงับไปในตัว ไม่มีคำพิพากษาให้จำเลยต้องรับผิดนั้น ก็เป็นเพียงความเข้าใจหรือการคาดคะเนของผู้ร้อง หาได้ทำให้คดีส่วนแพ่งตกไปด้วยดังที่วินิจฉัยข้างต้นไม่ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า วันที่ 29 สิงหาคม 2562 ทนายจำเลยยื่นคำร้องว่าจำเลยที่ 1 ถึงแก่ความตายแล้วขอแถลงให้ศาลชั้นต้นทราบและมีคำสั่งตามกฎหมายต่อไป ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า นัดสอบถามวันที่ 2 ตุลาคม 2562 สำเนาให้โจทก์และโจทก์ร่วม เมื่อถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2562 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีออกจากสารบบความ การที่จำเลยแต่งตั้งทนายความให้ว่าความและดำเนินกระบวนพิจารณาแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 นั้น เป็นการแต่งตั้งตัวแทน เมื่อจำเลยซึ่งเป็นตัวการถึงแก่ความตาย ทนายจำเลยคงมีอำนาจและหน้าที่จัดการดำเนินคดีเพื่อปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลยต่อไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของจำเลยจะเข้ามาปกปักรักษาประโยชน์ของจำเลย อำนาจของทนายจำเลยหาได้หมดสิ้นไปทันทีเมื่อจำเลยถึงแก่ความตายไม่ ทนายจำเลยยังคงมีอำนาจและหน้าที่ในการดำเนินคดีส่วนแพ่งอยู่ เมื่อทนายจำเลยมิได้ดำเนินการในคดีส่วนแพ่งภายในกำหนด 1 ปี ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 42 โจทก์จึงมีสิทธิที่จะบังคับคดีต่อไปได้ และเนื่องจากสิทธิในการบังคับคดีที่เป็นสิทธิในทรัพย์สินมิใช่สิทธิเฉพาะตัว ความรับผิดตามคำพิพากษาย่อมตกทอดแก่ทายาทของจำเลยซึ่งเป็นผู้ร้อง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1599 และมาตรา 1600 เมื่อโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้ออกหมายตั้งเจ้าพนักงานบังคับคดีในวันที่ 23 มีนาคม 2563 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ยังมิได้มีคำบังคับคดีส่วนแพ่งแก่จำเลย โจทก์ร่วมจึงยื่นคำแถลงขอออกคำบังคับและส่งคำบังคับให้แก่ผู้ร้องซึ่งอยู่ในฐานะผู้จัดการมรดกและทายาทผู้มีสิทธิรับมรดกของจำเลย การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตและออกคำบังคับให้ผู้ร้องปฏิบัติตามคำพิพากษาภายใน 15 วัน ในวันที่ 1 กันยายน 2564 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว หาใช่เป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ผิดระเบียบต่อกฎหมายดังที่ผู้ร้องฎีกาแต่อย่างใดไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ตัวอย่างฎีกาเปรียบเทียบ 5 รายการ 1. ฎีกา 4547/2562 — “ผู้จัดการมรดกตาย” ประเด็นสำคัญ / ข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ ผู้ร้องซึ่งเคยได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการมรดกถึงแก่ความตายในระหว่างทาง กระทั่งศาลอุทธรณ์สั่งจำหน่ายคดี ฎีกาวินิจฉัยว่า “ผู้จัดการมรดกเป็นสิทธิเฉพาะตัว” ของผู้ได้รับแต่งตั้ง การที่ผู้ร้องตายก่อนดำเนินการให้ครบถ้วนย่อมทำให้ทนายความหรือผู้รับมอบอำนาจหมดสิทธิเป็นผู้ร้องแทน และศาลฎีกาจะสั่งให้จำหน่ายคดีไป ข้อกฎหมายที่ใช้ / บทเรียนที่เปรียบได้: • ผู้จัดการมรดกเป็น “สิทธิเฉพาะตัว” ไม่สามารถตกทอดแก่ผู้อื่นหรือทายาทโดยอัตโนมัติ • ถ้าผู้จัดการมรดกตายก่อนยื่นอุทธรณ์หรือก่อนดำเนินการตามบทบาทให้ครบถ้วน คำร้องดำเนินคดีโดยทนายแทนจะถูกปฏิเสธ • ในแง่มุมเปรียบกับฎีกา 2232/2567: ในกรณี 2232/2567 ศาลเห็นว่าทนายจำเลย (ตัวแทน) ยังคงมีอำนาจดำเนินการแม้จำเลยตาย เพื่อให้กระบวนการแพ่งไม่สะดุด — แตกต่างจากกรณีผู้จัดการมรดกซึ่งสิทธินั้น “เฉพาะตัว” และตายแล้วหมดสิทธิทันที 2. ฎีกา 1780/2567 — “จำเลยถึงแก่ความตายระหว่างคำพิพากษาตามยอม” ประเด็นสำคัญ / ข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นเคยให้จำเลยชำระเงินแก่โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอม แล้วต่อมาจำเลยถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การตายของจำเลยไม่ใช่เหตุให้สิทธิในการบังคับคดีแพ่ง/สิทธิที่โจทก์ได้รับในคำพิพากษา “ตกไป” อัตโนมัติ ทั้งนี้ สิทธิในการบังคับคดีแพ่งอาจตกทอดแก่ทายาทเมื่อเป็นสิทธิในทรัพย์สิน ข้อกฎหมาย / บทเรียนเปรียบเทียบ: • แม้ผู้ถูกพิพากษาตามยอม (จำเลย) ตายภายหลัง คำพิพากษาแพ่งยังสามารถบังคับได้ • สิทธิเรียกร้องตามคำพิพากษาแพ่งยังไม่สิ้นในกรณีจำเลยตาย • เปรียบกับ 2232/2567: กรณี 2232/2567 ก็ดูแลในแนวเดียวกัน — สิทธิแพ่ง (เรียกร้องเงิน / ค่าสินไหม) ยังคงอยู่แม้จำเลยตาย — ไม่ถูก “ลบทิ้ง” โดยอัตโนมัติ 3. ฎีกา 6219/2559 — “มรดกและผู้จัดการมรดกเป็นตัวแทนทายาท” ประเด็น / ข้อเท็จจริง: ในคดีนี้ ผู้ร้องมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งเป็นมรดกของผู้ตาย (หรือผู้ตายหลายราย) และผู้จัดการมรดกเป็นผู้ดำเนินการจัดการมรดกของผู้ตายหลายราย ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ผู้จัดการมรดกทำหน้าที่ “เป็นตัวแทนของทายาท” ในการจัดการมรดก และทายาทไม่จำเป็นต้องตั้งตัวเองเป็นตัวแทนอีกครั้ง ข้อกฎหมาย / บทเรียนเปรียบเทียบ: • ผู้จัดการมรดกมีอำนาจดำเนินการแทนทายาทในการจัดการทรัพย์มรดก • ในกรณี 2232/2567 ศาลมองว่าแม้จำเลยตายแล้ว สิทธิในคดีแพ่งสามารถดำเนินต่อไปโดยตัวแทนหรือผู้จัดการมรดกเพราะเป็นสิทธิในทรัพย์สิน — สอดคล้องกับหลักการจัดการมรดกและตัวแทนตามป.พ.พ. มาตรา 1719 / 1720 4. ฎีกา 416/2563 — “ความรับผิดของผู้จัดการมรดกโอนทรัพย์โดยไม่ชอบ” ประเด็น / ข้อเท็จจริง: ในคำพิพากษานี้ ผู้จัดการมรดกได้โอนทรัพย์มรดกเป็นของตนเองหรือบุคคลอื่นโดยไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ความซื่อสัตย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยให้ผู้จัดการมรดกรับผิดชดใช้ทรัพย์มรดกและอยู่ในฐานะผู้รับผิดตามบทบาทของตน ข้อกฎหมาย / บทเรียนเปรียบเทียบ: • ผู้จัดการมรดกต้องปฏิบัติในฐานะ fiduciary มีหน้าที่ซื่อสัตย์ต่อกองมรดกและทายาท • หากโอนหรือจัดการทรัพย์โดยไม่ถูกต้อง จะต้องรับผิดชดใช้ • เทียบกับ 2232/2567: เมื่อศาลออกคำบังคับให้ผู้จัดการมรดกของจำเลยดำเนินการตามคำพิพากษา เป็นการแสดงว่า ผู้จัดการมรดกเป็นผู้รับผิดชอบในวงการบังคับคดีแพ่ง แทนจำเลยตามหน้าที่ 5. ฎีกา 5279/2548 — “ทายาทรับไปทั้งสิทธิ หน้าที่ และความรับผิด” ประเด็น / ข้อเท็จจริง: โจทก์ฟ้องให้ทายาทผู้รับมรดกชำระภาษีอากรที่เจ้ามรดกเดิมค้างอยู่ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ทายาทผู้ได้รับมรดกต้องรับไปทั้ง “สิทธิ หน้าที่ และความรับผิด” ของผู้ตาย แต่ไม่เกินมูลค่าทรัพย์มรดกตามป.พ.พ. มาตรา 1601 ข้อกฎหมาย / บทเรียนเปรียบเทียบ: • หลักทั่วไป: ทายาทสืบทอดทั้งทรัพย์ สิทธิ หน้าที่ และความรับผิดของเจ้ามรดก • ข้อจำกัด: ทายาทรับผิดไม่เกินขอบเขตทรัพย์มรดกที่ได้รับ • เปรียบกับ 2232/2567: ศาลฎีกายอมรับการบังคับคดีแพ่งต่อทายาทของจำเลยโดยอาศัยหลักการรับผิดของทายาทตาม ป.พ.พ. มาตรา 1599 / 1600 — ซึ่งอยู่ในแนวเดียวกับหลักในฎีกา 5279/2548 • หลักการเรื่อง “ผู้จัดการมรดก / ตัวแทน / สิทธิโดยอัตโนมัติ / ความรับผิดของทายาท” มีบทบาทสำคัญ • พฤติการณ์ใกล้เคียงช่วยเสริมความเข้าใจในคำพิพากษา 2232/2567
การตายของจำเลยไม่ทำให้สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายสิ้นสุด คำพิพากษาศาลฎีกาฉบับนี้แสดงหลักกฎหมายสำคัญที่มักถูกเข้าใจผิดในทางปฏิบัติ คือ เมื่อจำเลยในคดีอาญาถึงแก่ความตายระหว่างการดำเนินกระบวนพิจารณา สิทธิดำเนินคดีอาญาย่อมระงับไปตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (1) เพราะเป็นสิทธิเฉพาะตัว แต่สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายที่เกิดจากการกระทำผิดนั้น ไม่ระงับตามไปด้วย เนื่องจากสิทธิดังกล่าวเป็น “สิทธิในทรัพย์สิน” ซึ่งกฎหมายแพ่งถือว่าสามารถตกทอดแก่ทายาทของจำเลยได้ ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่า “การตายของจำเลยไม่ทำให้สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายสิ้นสุด” ผู้เสียหายยังมีสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนหรือทรัพย์สินที่สูญหายกลับคืนได้ โดยอาศัยอำนาจของ มาตรา 43 และ 44/1 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ซึ่งเปิดทางให้พนักงานอัยการดำเนินคดีส่วนแพ่งแทนผู้เสียหายภายในคดีอาญา เพื่อให้ได้รับการเยียวยาโดยไม่ต้องฟ้องคดีแพ่งแยกต่างหาก นอกจากนี้ ศาลยังอธิบายว่า แม้จำเลยตาย แต่ ทนายความของจำเลยยังมีอำนาจดำเนินคดีต่อไปเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของจำเลย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 828 จนกว่าทายาทหรือผู้จัดการมรดกจะเข้ามาแทนที่ และเมื่อคดีแพ่งถึงขั้นบังคับคดี ความรับผิดทางทรัพย์สินจะตกทอดแก่ทายาทตาม มาตรา 1599 และ 1600
หลักการนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการคุ้มครองสิทธิของผู้เสียหาย เพราะป้องกันไม่ให้จำเลยหรือทายาทหลีกเลี่ยงความรับผิดทางแพ่งจากการกระทำผิดอาญา ศาลจึงย้ำแนวทางไว้อย่างชัดเจนว่า “การตายของจำเลยไม่ทำให้สิทธิทางแพ่งของผู้เสียหายสิ้นสุด” เพื่อคงไว้ซึ่งความยุติธรรมและความต่อเนื่องของสิทธิในทางทรัพย์สินตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมาย |



.jpg)

