
| คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ ✅ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาจำเลยว่ามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อเหตุโรแมนซ์สแกม โดยอ้างว่าจำเลยเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินจากผู้เสียหาย แต่ศาลตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยจริง อีกทั้งพฤติการณ์โดยรวมยังไม่พอชี้ว่าจำเลยรู้เห็นหรือร่วมกระทำผิด จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง และพิพากษายกฟ้อง ✅ ข้อเท็จจริงในคดี คดีนี้เป็นคดี โรแมนซ์สแกม โดยกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติใช้วิธีสร้างความสัมพันธ์ผ่านออนไลน์ อ้างส่งของมีค่าให้ผู้เสียหาย และให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าภาษีและค่าขนส่ง บัญชีธนาคารของจำเลยถูกคนร้ายระบุให้ผู้เสียหายโอนเงิน แต่ก่อนที่ผู้เสียหายจะโอน คนร้ายกลับเปลี่ยนบัญชีใหม่ ผลคือ ไม่เคยมีเงินโอนเข้าบัญชีจำเลยเลย ผู้ร้องฟ้องกล่าวหา จำเลยร่วมเป็นเครือข่าย เปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3, 5, 6, 7 และ 25 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง → โจทก์ฎีกา ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ อยู่ที่ ภาระการพิสูจน์ในการเอาผิดคดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และหลักยกประโยชน์แห่งความสงสัย โดยศาลอาศัยกฎหมายหลักคือ ✅ มาตรากฎหมายที่เป็นหัวใจของคดีนี้ 1. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5 → ใช้อธิบายองค์ประกอบความผิดว่าต้องพิสูจน์ให้ชัดว่า จำเลยมีพฤติการณ์ร่วม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง → “ยังสงสัย ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย” เป็นมาตราหลักที่ศาลใช้ยกฟ้อง เนื่องจาก ไม่มีหลักฐานหนักแน่นว่าจำเลยสมรู้ร่วมคิด ✅ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ 1) องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (มาตรา 5) ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยร่วมขบวนการหรือสนับสนุนการกระทำอาญาอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่มีชื่อบัญชีปรากฏ 2) บัญชีม้า คำกล่าวหาเชื่อมโยงจำเลยว่าเปิดบัญชีเพื่อรองรับเงินผิดกฎหมาย แต่ไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้นในบัญชีจริง 3) โรแมนซ์สแกม รูปแบบการฉ้อโกงออนไลน์สร้างความเชื่อใจและหลอกโอนเงิน เป็นบริบทของคดี 4) ไม่พบการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย ประเด็นสำคัญที่สุดเชิงข้อเท็จจริง → ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยเลย จึงไม่ปรากฏการกระทำร่วม 5) ยกประโยชน์แห่งความสงสัย (มาตรา 227 วรรคสอง) เมื่อหลักฐานไม่ชัด ศาลต้องยกฟ้องเพื่อคุ้มครองสิทธิจำเลยตามหลักกระบวนการยุติธรรม ✅ สรุปประเด็นสำคัญ คดีนี้เน้นว่า การปรากฏชื่อบัญชีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอเอาผิดในคดีองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศ เพราะ ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชี + ไม่มีพฤติการณ์อื่นชี้ถึงการสมรู้ร่วมคิด จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย ✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญ 1. จำเลยเข้าร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ 2. การที่คนร้ายแจ้งบัญชีจำเลยครั้งหนึ่ง แต่เปลี่ยนบัญชีใหม่ภายหลัง ถือเป็นพฤติการณ์สนับสนุนหรือไม่ 3. ภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาอยู่ที่ใคร 4. ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย → เพียงพอหรือไม่ในการลงโทษ ✅ ข้อกฎหมายที่ศาลใช้ • พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ 2556 มาตรา 5 ต้องมี “พฤติการณ์ชัดเจน” ของการร่วมกระทำ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม • ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง หากยังมีเหตุสงสัยสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย ✅ เหตุผลของศาลฎีกา • ผู้เสียหาย ไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีจำเลย • พบว่า คนร้ายเป็นผู้เปลี่ยนบัญชีรับเงินเอง • ไม่พบพฤติการณ์อื่นว่าจำเลยรู้เห็นหรือยอมให้ใช้บัญชีรับเงินผิดกฎหมาย • ไม่มีหลักฐานว่าบัญชีนี้เคยใช้ในคดีอื่น • เพียงแค่มีชื่อบัญชีจำเลยถูกแจ้งครั้งหนึ่ง ไม่พอเอาผิด ➡️ หลักฐานไม่ชัดเจน ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย คำพิพากษา พิพากษายืนยกฟ้องจำเลย ✅ วิเคราะห์แนวคำพิพากษา แนวคิดสำคัญในคดีนี้: ประเด็น เจตนาร่วมในองค์กรอาชญากรรม หลัก ต้องพิสูจน์ว่ามีพฤติการณ์เข้าสนับสนุนจริง การอ้างบัญชีธนาคาร หลัก ไม่พอถ้าไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้น มาตรฐานพยานหลักฐาน หลัก ต้องหนักแน่น ชัดเจน หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัย หลัก ปกป้องสิทธิเพื่อความยุติธรรม ✅ สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • การเอาผิดคดีบัญชีม้า/องค์กรอาชญากรรม ต้องมีหลักฐานชัด • ไม่มีเงินโอน → ไม่อาจสรุปว่าร่วมกระทำผิด • ภาระพิสูจน์อยู่ที่รัฐ • หลัก “สงสัยให้ยกประโยชน์แก่จำเลย” ยังเป็นหลักสำคัญ ✅ IRAC (แบบขยาย) Issue (ประเด็น) จำเลยมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและเปิดบัญชีเพื่อรับเงินผิดกฎหมายหรือไม่ Rule (กฎหมาย) • พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ 2556 มาตรา 5 • ป.วิ.อ. ม.227 วรรคสอง ต้องมีการกระทำที่บ่งชี้ถึงการร่วมสมคบหรืออำนวยความสะดวกอย่างเป็นรูปธรรม Application (การวินิจฉัย) • ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย • คนร้ายเป็นผู้แจ้งเปลี่ยนบัญชีเอง • ไม่พบการใช้บัญชีนี้ในคดีอื่น • พยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์เจตนาร่วม Conclusion (ข้อสรุป) จำเลยไม่ผิดตามฟ้อง ยกประโยชน์แห่งความสงสัย แนวคำถาม - ธงคำตอบ ✅ ประเด็นที่ 1: ภาระการพิสูจน์ในคดีอาชญากรรมข้ามชาติ & บัญชีม้า ❓ คำถาม กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติได้หลอกเหยื่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ด้วยวิธี “โรแมนซ์สแกม” โดยอ้างส่งสินค้าและเรียกให้ผู้เสียหายจ่ายค่าธรรมเนียมและค่าภาษี ผู้เสียหายได้รับหมายเลขบัญชีธนาคารของจำเลย แต่ก่อนผู้เสียหายจะโอนเงิน คนร้ายกลับแจ้งบัญชีอื่นแทน จึงไม่มีเงินโอนเข้าบัญชีจำเลย และไม่พบว่าบัญชีของจำเลยถูกใช้รับเงินของเหยื่อรายอื่น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมตาม พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 โดยมีหน้าที่เปิดบัญชีรับเงินเพื่อกระทำความผิด จำเลยให้การปฏิเสธ ให้วินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ โดยพิจารณาภาระการพิสูจน์และหลักพยานหลักฐานในคดีอาญา ✅ ธงคำตอบ การจะลงโทษจำเลยฐานเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ. พ.ศ.2556 มาตรา 5 โจทก์ต้องพิสูจน์ให้ชัดว่า จำเลยได้กระทำการหนึ่งการใดอย่างรู้เห็นหรือให้การสนับสนุน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมต่อการดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว จะสันนิษฐานเอาผิดไม่ได้ แม้จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีที่คนร้ายแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้า แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามิได้มีการโอนเงินเข้าในบัญชีจำเลย และคนร้ายเป็นฝ่ายเปลี่ยนบัญชีผู้รับเงินเอง ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีดังกล่าวไม่ได้ อีกทั้งไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าจำเลยเคยยอมให้ใช้บัญชีเพื่อกระทำความผิด หรือเคยถูกใช้รับเงินผิดกฎหมายในคดีอื่น หลักฐานในคดีนี้จึงยังมีความสงสัยอันสมควรว่า จำเลยสมรู้หรือยินยอมให้บัญชีใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย โจทก์พิสูจน์ไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิด จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ ✅ ประเด็นที่ 2: “แค่มีชื่อบัญชีปรากฏ” เพียงพอหรือไม่ในการเอาผิดบัญชีม้า ❓ คำถาม คดีหนึ่งมีกลุ่มคนร้ายทำการโรแมนซ์สแกมหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินค่าภาษีและค่าขนส่งสินค้า คนร้ายแจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ได้ทำธุรกรรมโอนเงินเข้าไปเพราะคนร้ายแจ้งเปลี่ยนบัญชีเป็นของบุคคลอื่นภายหลัง และไม่พบว่ามีผู้เสียหายรายอื่นโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย โจทก์อ้างว่าเพียงการที่ชื่อบัญชีของจำเลยถูกนำมาใช้ก็เพียงพอแสดงว่าจำเลยอยู่ในเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จำเลยปฏิเสธและไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นที่แสดงถึงการติดต่อหรือสนับสนุนคนร้าย ให้วินิจฉัยว่าการปรากฏชื่อบัญชีของจำเลยเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้น เพียงพอหรือไม่ในการลงโทษฐานเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ✅ ธงคำตอบ เพียงการที่ชื่อบัญชีธนาคารของจำเลยถูกคนร้ายแจ้งแก่ผู้เสียหายครั้งหนึ่ง โดยยังไม่มีการโอนเงินเข้าไป และไม่พบการใช้บัญชีดังกล่าวในคดีอื่น ไม่อาจถือว่าเป็นพฤติการณ์แสดงถึงการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้ เนื่องจากองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 ต้องปรากฏการกระทำหรือความร่วมมืออย่างชัดแจ้ง ไม่อาจลงโทษโดยอาศัยการคาดคะเน ในเมื่อคนร้ายเป็นผู้อย่างแจ้งเปลี่ยนบัญชีผู้รับเงินเอง เหตุการณ์จึงยังมีความสงสัยอย่างสมควรว่าจำเลยรู้เห็นหรือให้การสนับสนุนต่อการกระทำความผิดหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าบัญชีของจำเลยถูกใช้รับเงินผิดกฎหมายใด ๆ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ดังนั้น การปรากฏชื่อบัญชีธนาคารเพียงครั้งเดียวโดยไม่มีธุรกรรม ไม่เพียงพอให้ลงโทษจำเลยได้ 📌 แก่นกฎหมายที่ได้จากทั้งสองประเด็น มาตรา 5 พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ ต้องพิสูจน์พฤติการณ์ร่วมอย่างชัดแจ้ง ไม่สันนิษฐานเอาผิด มาตรา 227 วรรคสอง ป.วิ.อ. หากยังสงสัยต้องยกประโยชน์ให้จำเลย หลัก burden of proof ภาระพิสูจน์อยู่ที่รัฐ ไม่ใช่จำเลย หลักอนุมานข้อเท็จจริง ไม่อนุญาตให้ลงโทษโดยข้อสันนิษฐานในคดีอาญา มาตรฐานพิสูจน์ในคดีบัญชีม้า ต้องมีธุรกรรม/ความเชื่อมโยงชัด ไม่ใช่แค่มีชื่อ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2567 การจะเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว หรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรดังกล่าวตามฟ้องได้นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏชัดถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของจำเลยดังที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 แต่คดีนี้ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย เนื่องจากคนร้ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นบัญชีอื่น หาใช่ผู้เสียหายไม่สามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้ ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าคนร้ายไม่ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเป็นบัญชีรับและถอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่นนี้เท่ากับยังไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งการกระทำใด ๆ ของจำเลยอย่างอื่นอีกที่จะบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยในการกระทำความผิด ทั้งไม่ปรากฏว่านอกจากคดีนี้แล้วคนร้ายนำบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยไปใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก ลำพังเพียงการที่คนร้ายแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นโดยผู้เสียหายยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้อง หากแต่ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 7, 25 จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. หมายเลขบัญชี 164-2-82xxx-x ตามสำเนาแบบคำขอเปิดบัญชี ตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง มีกลุ่มคนร้ายเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกันฉ้อโกงนางสาวพัสตร์ชิตา ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยการส่งข้อความติดต่อกับผู้เสียหายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ อ้างว่าทำงานอยู่ที่ประเทศคูเวต มีการพูดคุยในทำนองชู้สาว แล้วหลอกว่าได้ส่งของขวัญเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เครื่องประดับ และสิ่งของมีค่ามาให้ผู้เสียหาย หลังจากนั้นพวกของคนร้ายติดต่อผู้เสียหายผ่านทางอีเมลอ้างว่าติดต่อมาจากบริษัทขนส่งสินค้าและแจ้งว่ามีพัสดุส่งมาถึงผู้เสียหาย แต่ต้องชำระค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าก่อนจึงจะได้รับสินค้า ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่กลุ่มคนร้ายแจ้งหลายครั้ง เจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบรายละเอียดบัญชีเงินฝากธนาคารที่คนร้ายแจ้งแก่ผู้เสียหายเพื่อให้โอนเงินแล้ว ปรากฏว่ามีบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ของจำเลยดังกล่าวรวมอยู่ด้วย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจเอกสราวุธ ร้อยตำรวจเอกกรวิก และร้อยตำรวจเอกเดช เบิกความเป็นพยานได้ความโดยสรุปว่า มีการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อเหตุฉ้อโกงประชาชนด้วยรูปแบบโรแมนซ์สแกม ซึ่งหมายถึง การหลอกให้หลงรัก หลอกให้เชื่อว่ารัก หรือหลอกให้ไว้ใจผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายจำนวน 18 คน คนร้ายกลุ่มดังกล่าวร่วมกันก่อเหตุหลอกลวงผู้เสียหายและเหยื่อคนไทยหลายรายให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่คนร้ายแจ้ง โดยจำเลยเป็นเครือข่ายที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อรับเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด และมีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความได้ความว่า คนร้ายหลอกให้ผู้เสียหายชำระค่าภาษีอากรและค่าขนส่งสินค้าโดยแจ้งให้ผู้เสียหายชำระเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารหลายบัญชี ซึ่งมีบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ของจำเลยรวมอยู่ด้วย ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่คนร้ายแจ้งรวมเป็นเงิน 1,540,000 บาท แต่ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเพราะไม่สามารถทำรายการโอนได้ โดยธนาคารไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงสาเหตุ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าคนร้ายที่ร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายมีพฤติการณ์แบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ โดยลักษณะของการกระทำชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนร้ายในลักษณะของการประสานงานและสนับสนุนซึ่งกันและกันจนทำให้การฉ้อโกงผู้เสียหายเป็นผลสำเร็จ และแม้จะได้ความด้วยว่าจำเลยเป็นผู้ขอเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ที่โจทก์อ้างด้วยตนเอง โดยจำเลยเพิ่งเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 ก่อนที่คนร้ายจะแจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยให้ผู้เสียหายทราบเพียง 6 วัน และในช่วงเกิดเหตุสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยอยู่ในความครอบครองของจำเลยดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่การจะเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้องได้นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏชัดถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของจำเลยดังที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 แต่คดีนี้ปรากฏว่าไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย ซึ่งในข้อนี้แม้ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ผู้เสียหายกลับให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า "...วันที่ 22 เมษายน 2562 เวลา 06.27 นาฬิกา ทาง Polish Shipping Company (หมายถึงบริษัทขนส่งสินค้า) ส่งหมายเลขบัญชีธนาคาร ท. ชื่อบัญชี นางสาวดวงพร (หมายถึงจำเลย) เลขที่บัญชี 164282xxxx แต่ได้แจ้งเปลี่ยนภายหลังเป็นบัญชีธนาคาร ท. ชื่อบัญชี นางสาวศิริวรรณ หมายเลขบัญชี 433006xxxx..." ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่าคนร้ายเป็นฝ่ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีรับเงินตามคำให้การของผู้เสียหายดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ผู้เสียหายติดต่อกับคนร้ายมีความโดยสรุปว่า ในวันที่ 22 เมษายน 2562 เดิมคนร้ายแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย แต่เมื่อผู้เสียหายส่งข้อความถึงคนร้ายว่าเตรียมที่จะถอนเงินในวันนี้เพื่อมาโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารดังกล่าวแล้วจะแจ้งให้คนร้ายทราบ คนร้ายกลับส่งข้อความแจ้งบัญชีเงินฝากใหม่เป็นบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ชื่อบัญชี นางสาวศิริวรรณ หมายเลขบัญชี 433006xxxx ในลักษณะเป็นการแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของนางสาวศิริวรรณแทนบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย กรณีจึงน่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนดังกล่าวว่าผู้เสียหายไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเนื่องจากคนร้ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นบัญชีอื่น หาใช่ผู้เสียหายไม่สามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้ดังที่ผู้เสียหายเบิกความไม่ ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าคนร้ายไม่ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเป็นบัญชีรับและถอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่นนี้เท่ากับยังไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งการกระทำใด ๆ ของจำเลยอย่างอื่นอีกที่จะบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยในการกระทำความผิด กรณีกลับมีข้อน่าสงสัยว่าเหตุใดคนร้ายจึงแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีรับเงินไปใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นแทนที่จะใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยตามที่แจ้งในตอนแรก เพราะหากจำเลยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของคนร้ายแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่คนร้ายจะกระทำการเช่นนั้น ที่สำคัญจากการสืบสวนสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่านอกจากคดีนี้แล้วคนร้ายนำบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยไปใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกระทำความผิดของคนร้ายโดยประการอื่นอีก ลำพังเพียงการที่คนร้ายแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นโดยผู้เสียหายยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว หรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรดังกล่าวอันเป็นความผิดตามฟ้อง หากแต่ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) คำพิพากษาศาลฎีกา 4920/2567 Quick Summary: ในคำพิพากษาฎีกา 4920/2567 เป็นกรณีจำเลยรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารแล้วมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้ โดยบัญชีดังกล่าวถูกนำไปใช้โอนเงินจากการฉ้อโกงประชาชนผ่านเว็บไซต์ธนาคารปลอม โดยจำเลยอ้างว่า “ถูกหลอกใช้” แต่ศาลวินิจฉัยว่า แม้จำเลยไม่ได้โอนเงินเอง แต่พฤติการณ์เปิดบัญชีแล้วมอบสมุดให้ผู้อื่นใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ซึ่งแสดงเจตนาร้ายว่า จำเลยรู้หรืออย่างน้อยยินยอมให้บัญชีถูกใช้ในการกระทำความผิด ศาลเห็นว่าเป็นการ “ช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวก” แก่คนร้าย จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการฉ้อโกงประชาชน (แม้ไม่ใช่ตัวการตรง) รวมทั้งมีองค์ประกอบของการร่วมกระทำความผิดในลักษณะเครือข่าย ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192, 215, 225 (อ้างในการตัดสิน) บทความเปรียบเทียบ: กรณีนี้ใกล้เคียงกับ 1207/2567 ในเรื่องของ “บัญชีม้า/เปิดบัญชี/ใช้บัญชีให้คนร้าย” แต่แตกต่างที่ใน 1207/2567 ยังไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยจริง ทำให้ศาลให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย ขณะที่ 4920/2567 มีพฤติการณ์ใช้งานบัญชีจริงจึงมีความผิดชัดเจน 2) คำพิพากษาศาลฎีกา 4040/2567 Quick Summary: ในคำพิพากษาฎีกา 4040/2567 เป็นคดีของแก๊งโรแมนซ์สแกม (Romance Scam) ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำเลยเปิดบัญชีธนาคารให้รับเงินหรือเกี่ยวข้องกับบัญชีที่ถูกใช้โดยคนร้าย กรณีนี้ศาลระบุว่า เพียงการมีบัญชีหรือชื่อบัญชีอยู่ในข้อมูลคนร้ายไม่ได้เพียงพอต่อการลงโทษ “สมาชิกเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” เว้นแต่ว่าพยานหลักฐานชี้ให้เห็นเจตนาร่วมจริง มีการใช้บัญชี/มีธุรกรรม ระบบเครือข่ายชัดเจน บทความเปรียบเทียบ: ลักษณะเหมือน 1207/2567 ตรงที่เป็นโรแมนซ์สแกม + บัญชีม้า แต่ 4040/2567 มีการใช้งานบัญชีและเครือข่ายชัดเจนกว่านี้ ขณะที่ 1207/2567 ยังไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย ทำให้ต่างกันในผล 3) คำพิพากษาศาลฎีกา 3957/2566 Quick Summary: คำพิพากษาฎีกา 3957/2566 เป็นคดีฟอกเงินและใช้งานบัญชีเงินฝากในลักษณะผิดกฎหมาย โดยศาลวินิจฉัยว่า แม้บัญชีธนาคารจะถูกใช้โดยบุคคลอื่น แต่หากจำเลยมีส่วนรู้เห็นหรือยื่นยินยอมให้ใช้บัญชี หรือละเลยการควบคุมบัญชีจนบัญชีถูกใช้ในการกระทำผิด ก็ให้ความผิดฐานที่เกี่ยวข้อง (ทั้งฟอกเงินและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ) บทความเปรียบเทียบ: ถึงแม้จะเป็นกรณีฟอกเงิน ไม่ใช่โรแมนซ์สแกมโดยตรง แต่มีแก่น “บัญชีม้า/ใช้บัญชีผิดกฎหมาย/เครือข่ายบัญชี” ซึ่งทำให้เปรียบเทียบกับ 1207/2567 ได้ในแง่ “ภาระการพิสูจน์การใช้บัญชี” 4) คำพิพากษาศาลฎีกา 831/2559 Quick Summary: ในคำพิพากษาฎีกา 831/2559 เป็นคดีฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบออนไลน์หลายคดี จำเลยหลายคนถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 / 342 / 269/5 / 269/7 โดยศาลวินิจฉัยว่าแม้จำเลยหลากหลายกรรมต่างกัน แต่ถ้าการกระทำเป็นกรรมเดียวที่ผิดหลายบท ให้ลงโทษตามมาตราที่หนักสุด และหากเป็นหลายกรรมให้ลงทุกกรรมตาม มาตรา 91 บทความเปรียบเทียบ: ถึงจะไม่ใช่คดี “บัญชีม้า” โดยตรง แต่เป็นคดีออนไลน์-เครือข่าย-ฉ้อโกง ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับ 1207/2567 (หลายคน, แบ่งหน้าที่, โอนเงินออนไลน์) และช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นองค์ประกอบ “เครือข่าย + หลายคน + แบ่งหน้าที่” 5) คำพิพากษาศาลฎีกา 2949/2563 Quick Summary: คำพิพากษาฎีกา 2949/2563 เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องบริษัทและพวกตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ทั้งนี้มีการเปิดบัญชีใช้แลกเปลี่ยนเงินและธุรกรรมทางการเงินที่น่าสงสัย ศาลวินิจฉัยว่าการเปิดบัญชีและมีธุรกรรมผิดปกติเป็นพยานชี้เจตนาและร่วมกระทำความผิด แต่ต้องมีหลักฐานแสดงความรู้หรือยินยอมของจำเลย บทความเปรียบเทียบ: ถึงไม่ใช่ พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติโดยตรง แต่ใช้หลักเดียวกันคือ “บัญชีถูกใช้ผิดกฎหมาย → เจตนาร่วม” ซึ่งทำให้ผู้ศึกษามองเห็นว่าแนวคำพิพากษาในคดีบัญชีม้า/เครือข่ายอาชญากรรม มีการใช้หลักเดียวกันในกฎหมายหลายฉบับ |





