ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 1207/2567, องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ร.บ.2556, คดีโรแมนซ์สแกม, การพิสูจน์เจตนาการร่วมกระทำความผิด, บัญชีม้าในคดีอาชญากรรม, การยกประโยชน์แห่งความสงสัย ป.วิ.อ. ม.227, องค์ประกอบความผิดองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ มาตรา 5, แนวคำพิพากษาฉ้อโกงออนไลน์, ภาระการพิสูจน์ของโจทก์ในคดีอาญา, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาคดีไซเบอร์, คดีโอนเงินผิดบัญชี, สิทธิและหน้าที่เจ้าของบัญชีธนาคาร, การพิสูจน์การสมรู้ร่วมคิดในคดีออนไลน์, คดีหลอกโอนเงินผ่านไลน์, ศึกษาคดีบัญชีม้าและมาตรฐานพยานหลักฐาน

    ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

✅ บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการกล่าวหาจำเลยว่ามีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อเหตุโรแมนซ์สแกม โดยอ้างว่าจำเลยเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินจากผู้เสียหาย แต่ศาลตรวจสอบแล้วพบว่าไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีของจำเลยจริง อีกทั้งพฤติการณ์โดยรวมยังไม่พอชี้ว่าจำเลยรู้เห็นหรือร่วมกระทำผิด จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง และพิพากษายกฟ้อง

✅ ข้อเท็จจริงในคดี

คดีนี้เป็นคดี โรแมนซ์สแกม โดยกลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติใช้วิธีสร้างความสัมพันธ์ผ่านออนไลน์ อ้างส่งของมีค่าให้ผู้เสียหาย และให้ผู้เสียหายโอนเงินชำระค่าภาษีและค่าขนส่ง

บัญชีธนาคารของจำเลยถูกคนร้ายระบุให้ผู้เสียหายโอนเงิน แต่ก่อนที่ผู้เสียหายจะโอน คนร้ายกลับเปลี่ยนบัญชีใหม่

ผลคือ ไม่เคยมีเงินโอนเข้าบัญชีจำเลยเลย

ผู้ร้องฟ้องกล่าวหา

จำเลยร่วมเป็นเครือข่าย เปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับเงินผิดกฎหมาย ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 3, 5, 6, 7 และ 25

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ยกฟ้อง → โจทก์ฎีกา

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ อยู่ที่ ภาระการพิสูจน์ในการเอาผิดคดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ และหลักยกประโยชน์แห่งความสงสัย โดยศาลอาศัยกฎหมายหลักคือ

✅ มาตรากฎหมายที่เป็นหัวใจของคดีนี้

1. พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 5

→ ใช้อธิบายองค์ประกอบความผิดว่าต้องพิสูจน์ให้ชัดว่า จำเลยมีพฤติการณ์ร่วม ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง

→ “ยังสงสัย ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย”

เป็นมาตราหลักที่ศาลใช้ยกฟ้อง เนื่องจาก ไม่มีหลักฐานหนักแน่นว่าจำเลยสมรู้ร่วมคิด

✅ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ 

1) องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (มาตรา 5) ต้องพิสูจน์ว่าจำเลยร่วมขบวนการหรือสนับสนุนการกระทำอาญาอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่มีชื่อบัญชีปรากฏ

2) บัญชีม้า คำกล่าวหาเชื่อมโยงจำเลยว่าเปิดบัญชีเพื่อรองรับเงินผิดกฎหมาย แต่ไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้นในบัญชีจริง

3) โรแมนซ์สแกม  รูปแบบการฉ้อโกงออนไลน์สร้างความเชื่อใจและหลอกโอนเงิน เป็นบริบทของคดี

4) ไม่พบการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย ประเด็นสำคัญที่สุดเชิงข้อเท็จจริง → ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยเลย จึงไม่ปรากฏการกระทำร่วม

5) ยกประโยชน์แห่งความสงสัย (มาตรา 227 วรรคสอง) เมื่อหลักฐานไม่ชัด ศาลต้องยกฟ้องเพื่อคุ้มครองสิทธิจำเลยตามหลักกระบวนการยุติธรรม

✅ สรุปประเด็นสำคัญ

คดีนี้เน้นว่า การปรากฏชื่อบัญชีเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอเอาผิดในคดีองค์กรอาชญากรรมระหว่างประเทศ

เพราะ ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชี + ไม่มีพฤติการณ์อื่นชี้ถึงการสมรู้ร่วมคิด จึงต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย

✅ ประเด็นกฎหมายสำคัญ

1. จำเลยเข้าร่วมองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่

2. การที่คนร้ายแจ้งบัญชีจำเลยครั้งหนึ่ง แต่เปลี่ยนบัญชีใหม่ภายหลัง ถือเป็นพฤติการณ์สนับสนุนหรือไม่

3. ภาระการพิสูจน์ในคดีอาญาอยู่ที่ใคร

4. ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย → เพียงพอหรือไม่ในการลงโทษ

✅ ข้อกฎหมายที่ศาลใช้

พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ 2556 มาตรา 5

ต้องมี “พฤติการณ์ชัดเจน” ของการร่วมกระทำ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

หากยังมีเหตุสงสัยสมควร ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย

✅ เหตุผลของศาลฎีกา

ผู้เสียหาย ไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีจำเลย

พบว่า คนร้ายเป็นผู้เปลี่ยนบัญชีรับเงินเอง

ไม่พบพฤติการณ์อื่นว่าจำเลยรู้เห็นหรือยอมให้ใช้บัญชีรับเงินผิดกฎหมาย

ไม่มีหลักฐานว่าบัญชีนี้เคยใช้ในคดีอื่น

เพียงแค่มีชื่อบัญชีจำเลยถูกแจ้งครั้งหนึ่ง ไม่พอเอาผิด

➡️ หลักฐานไม่ชัดเจน ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัย

คำพิพากษา

พิพากษายืนยกฟ้องจำเลย

✅ วิเคราะห์แนวคำพิพากษา

แนวคิดสำคัญในคดีนี้:

ประเด็น

เจตนาร่วมในองค์กรอาชญากรรม หลัก ต้องพิสูจน์ว่ามีพฤติการณ์เข้าสนับสนุนจริง

การอ้างบัญชีธนาคาร หลัก ไม่พอถ้าไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้น

มาตรฐานพยานหลักฐาน หลัก ต้องหนักแน่น ชัดเจน

หลักยกประโยชน์แห่งความสงสัย หลัก ปกป้องสิทธิเพื่อความยุติธรรม

✅ สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

การเอาผิดคดีบัญชีม้า/องค์กรอาชญากรรม ต้องมีหลักฐานชัด

ไม่มีเงินโอน → ไม่อาจสรุปว่าร่วมกระทำผิด

ภาระพิสูจน์อยู่ที่รัฐ

หลัก “สงสัยให้ยกประโยชน์แก่จำเลย” ยังเป็นหลักสำคัญ

✅ IRAC (แบบขยาย)

Issue (ประเด็น)

จำเลยมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติและเปิดบัญชีเพื่อรับเงินผิดกฎหมายหรือไม่

Rule (กฎหมาย)

พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ 2556 มาตรา 5

ป.วิ.อ. ม.227 วรรคสอง

ต้องมีการกระทำที่บ่งชี้ถึงการร่วมสมคบหรืออำนวยความสะดวกอย่างเป็นรูปธรรม

Application (การวินิจฉัย)

ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย

คนร้ายเป็นผู้แจ้งเปลี่ยนบัญชีเอง

ไม่พบการใช้บัญชีนี้ในคดีอื่น

พยานหลักฐานไม่เพียงพอพิสูจน์เจตนาร่วม

Conclusion (ข้อสรุป)

จำเลยไม่ผิดตามฟ้อง ยกประโยชน์แห่งความสงสัย

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

✅ ประเด็นที่ 1: ภาระการพิสูจน์ในคดีอาชญากรรมข้ามชาติ & บัญชีม้า

❓ คำถาม

กลุ่มอาชญากรรมข้ามชาติได้หลอกเหยื่อผ่านแอปพลิเคชันไลน์ด้วยวิธี “โรแมนซ์สแกม” โดยอ้างส่งสินค้าและเรียกให้ผู้เสียหายจ่ายค่าธรรมเนียมและค่าภาษี ผู้เสียหายได้รับหมายเลขบัญชีธนาคารของจำเลย แต่ก่อนผู้เสียหายจะโอนเงิน คนร้ายกลับแจ้งบัญชีอื่นแทน จึงไม่มีเงินโอนเข้าบัญชีจำเลย และไม่พบว่าบัญชีของจำเลยถูกใช้รับเงินของเหยื่อรายอื่น โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมตาม พ.ร.บ.การมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 โดยมีหน้าที่เปิดบัญชีรับเงินเพื่อกระทำความผิด จำเลยให้การปฏิเสธ

ให้วินิจฉัยว่า จำเลยต้องรับผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติหรือไม่ โดยพิจารณาภาระการพิสูจน์และหลักพยานหลักฐานในคดีอาญา

✅ ธงคำตอบ

การจะลงโทษจำเลยฐานเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตาม พ.ร.บ. พ.ศ.2556 มาตรา 5 โจทก์ต้องพิสูจน์ให้ชัดว่า จำเลยได้กระทำการหนึ่งการใดอย่างรู้เห็นหรือให้การสนับสนุน ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมต่อการดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว จะสันนิษฐานเอาผิดไม่ได้ แม้จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีที่คนร้ายแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้า แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่ามิได้มีการโอนเงินเข้าในบัญชีจำเลย และคนร้ายเป็นฝ่ายเปลี่ยนบัญชีผู้รับเงินเอง ไม่ปรากฏว่าผู้เสียหายโอนเข้าบัญชีดังกล่าวไม่ได้ อีกทั้งไม่มีพยานหลักฐานอื่นแสดงให้เห็นว่าจำเลยเคยยอมให้ใช้บัญชีเพื่อกระทำความผิด หรือเคยถูกใช้รับเงินผิดกฎหมายในคดีอื่น

หลักฐานในคดีนี้จึงยังมีความสงสัยอันสมควรว่า จำเลยสมรู้หรือยินยอมให้บัญชีใช้ในการกระทำความผิดหรือไม่ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลย โจทก์พิสูจน์ไม่ครบองค์ประกอบแห่งความผิด จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษ

✅ ประเด็นที่ 2: “แค่มีชื่อบัญชีปรากฏ” เพียงพอหรือไม่ในการเอาผิดบัญชีม้า

❓ คำถาม

คดีหนึ่งมีกลุ่มคนร้ายทำการโรแมนซ์สแกมหลอกลวงผู้เสียหายให้โอนเงินค่าภาษีและค่าขนส่งสินค้า คนร้ายแจ้งหมายเลขบัญชีธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหาย แต่ผู้เสียหายไม่ได้ทำธุรกรรมโอนเงินเข้าไปเพราะคนร้ายแจ้งเปลี่ยนบัญชีเป็นของบุคคลอื่นภายหลัง และไม่พบว่ามีผู้เสียหายรายอื่นโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย โจทก์อ้างว่าเพียงการที่ชื่อบัญชีของจำเลยถูกนำมาใช้ก็เพียงพอแสดงว่าจำเลยอยู่ในเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ จำเลยปฏิเสธและไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นที่แสดงถึงการติดต่อหรือสนับสนุนคนร้าย

ให้วินิจฉัยว่าการปรากฏชื่อบัญชีของจำเลยเพียงครั้งเดียว โดยไม่มีธุรกรรมเกิดขึ้น เพียงพอหรือไม่ในการลงโทษฐานเป็นส่วนหนึ่งขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

✅ ธงคำตอบ

เพียงการที่ชื่อบัญชีธนาคารของจำเลยถูกคนร้ายแจ้งแก่ผู้เสียหายครั้งหนึ่ง โดยยังไม่มีการโอนเงินเข้าไป และไม่พบการใช้บัญชีดังกล่าวในคดีอื่น ไม่อาจถือว่าเป็นพฤติการณ์แสดงถึงการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติได้ เนื่องจากองค์ประกอบความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ.2556 มาตรา 5 ต้องปรากฏการกระทำหรือความร่วมมืออย่างชัดแจ้ง ไม่อาจลงโทษโดยอาศัยการคาดคะเน

ในเมื่อคนร้ายเป็นผู้อย่างแจ้งเปลี่ยนบัญชีผู้รับเงินเอง เหตุการณ์จึงยังมีความสงสัยอย่างสมควรว่าจำเลยรู้เห็นหรือให้การสนับสนุนต่อการกระทำความผิดหรือไม่ เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าบัญชีของจำเลยถูกใช้รับเงินผิดกฎหมายใด ๆ ศาลต้องยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้จำเลยตามป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง ดังนั้น การปรากฏชื่อบัญชีธนาคารเพียงครั้งเดียวโดยไม่มีธุรกรรม ไม่เพียงพอให้ลงโทษจำเลยได้

📌 แก่นกฎหมายที่ได้จากทั้งสองประเด็น

มาตรา 5 พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติ ต้องพิสูจน์พฤติการณ์ร่วมอย่างชัดแจ้ง ไม่สันนิษฐานเอาผิด

มาตรา 227 วรรคสอง ป.วิ.อ. หากยังสงสัยต้องยกประโยชน์ให้จำเลย

หลัก burden of proof ภาระพิสูจน์อยู่ที่รัฐ ไม่ใช่จำเลย

หลักอนุมานข้อเท็จจริง ไม่อนุญาตให้ลงโทษโดยข้อสันนิษฐานในคดีอาญา

มาตรฐานพิสูจน์ในคดีบัญชีม้า ต้องมีธุรกรรม/ความเชื่อมโยงชัด ไม่ใช่แค่มีชื่อ


1) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง  “ให้ศาลใช้ดุลพินิจวินิจฉัยชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานทั้งปวง อย่าพิพากษาลงโทษจนกว่าจะแน่ใจว่ามีการกระทำผิดจริงและจำเลยเป็นผู้กระทำความผิดนั้น เมื่อมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย” 2) พระราชบัญญัติ “ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556” มาตรา 5  มาตรา 5 ผู้ใดกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ (1) เป็นสมาชิกหรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (2) สมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ (3) มีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในกิจกรรมหรือการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ โดยรู้ถึงวัตถุประสงค์และการดำเนินกิจกรรม หรือโดยรู้ถึงเจตนาที่จะกระทำความผิดร้ายแรงขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว (4) จัดการ สั่งการ ช่วยเหลือ ยุยง อำนวยความสะดวก หรือให้คำปรึกษาในการกระทำความผิดร้ายแรงขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ ผู้นั้นกระทำความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1207/2567

การจะเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติโดยร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว หรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรดังกล่าวตามฟ้องได้นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏชัดถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของจำเลยดังที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 แต่คดีนี้ปรากฏว่าผู้เสียหายไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย เนื่องจากคนร้ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นบัญชีอื่น หาใช่ผู้เสียหายไม่สามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้ ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าคนร้ายไม่ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเป็นบัญชีรับและถอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่นนี้เท่ากับยังไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งการกระทำใด ๆ ของจำเลยอย่างอื่นอีกที่จะบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยในการกระทำความผิด ทั้งไม่ปรากฏว่านอกจากคดีนี้แล้วคนร้ายนำบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยไปใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก ลำพังเพียงการที่คนร้ายแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้ แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นโดยผู้เสียหายยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้อง หากแต่ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 227 วรรคสอง

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 มาตรา 3, 5, 6, 7, 25

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังได้ในเบื้องต้นว่า จำเลยเป็นเจ้าของบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. หมายเลขบัญชี 164-2-82xxx-x ตามสำเนาแบบคำขอเปิดบัญชี ตามวันเวลาเกิดเหตุในฟ้อง มีกลุ่มคนร้ายเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติร่วมกันฉ้อโกงนางสาวพัสตร์ชิตา ผู้เสียหาย ด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จโดยการส่งข้อความติดต่อกับผู้เสียหายผ่านแอปพลิเคชันไลน์ อ้างว่าทำงานอยู่ที่ประเทศคูเวต มีการพูดคุยในทำนองชู้สาว แล้วหลอกว่าได้ส่งของขวัญเป็นเงินดอลลาร์สหรัฐ เครื่องประดับ และสิ่งของมีค่ามาให้ผู้เสียหาย หลังจากนั้นพวกของคนร้ายติดต่อผู้เสียหายผ่านทางอีเมลอ้างว่าติดต่อมาจากบริษัทขนส่งสินค้าและแจ้งว่ามีพัสดุส่งมาถึงผู้เสียหาย แต่ต้องชำระค่าภาษีอากรและค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าก่อนจึงจะได้รับสินค้า ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่กลุ่มคนร้ายแจ้งหลายครั้ง เจ้าพนักงานตำรวจตรวจสอบรายละเอียดบัญชีเงินฝากธนาคารที่คนร้ายแจ้งแก่ผู้เสียหายเพื่อให้โอนเงินแล้ว ปรากฏว่ามีบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ของจำเลยดังกล่าวรวมอยู่ด้วย

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โจทก์มีพันตำรวจเอกสราวุธ ร้อยตำรวจเอกกรวิก และร้อยตำรวจเอกเดช เบิกความเป็นพยานได้ความโดยสรุปว่า มีการสืบสวนสอบสวนเพื่อติดตามจับกุมกลุ่มคนร้ายเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติที่ก่อเหตุฉ้อโกงประชาชนด้วยรูปแบบโรแมนซ์สแกม ซึ่งหมายถึง การหลอกให้หลงรัก หลอกให้เชื่อว่ารัก หรือหลอกให้ไว้ใจผ่านสื่อสังคมออนไลน์ พบกลุ่มองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติเครือข่ายจำนวน 18 คน คนร้ายกลุ่มดังกล่าวร่วมกันก่อเหตุหลอกลวงผู้เสียหายและเหยื่อคนไทยหลายรายให้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารที่คนร้ายแจ้ง โดยจำเลยเป็นเครือข่ายที่ทำหน้าที่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารเพื่อรับเงินที่ได้มาจากการกระทำความผิด และมีผู้เสียหายเป็นพยานเบิกความได้ความว่า คนร้ายหลอกให้ผู้เสียหายชำระค่าภาษีอากรและค่าขนส่งสินค้าโดยแจ้งให้ผู้เสียหายชำระเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารหลายบัญชี ซึ่งมีบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ของจำเลยรวมอยู่ด้วย ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารตามที่คนร้ายแจ้งรวมเป็นเงิน 1,540,000 บาท แต่ไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเพราะไม่สามารถทำรายการโอนได้ โดยธนาคารไม่ได้แจ้งให้ทราบถึงสาเหตุ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงที่โจทก์นำสืบฟังได้ว่าคนร้ายที่ร่วมกันฉ้อโกงผู้เสียหายมีพฤติการณ์แบ่งหน้าที่กันทำเป็นขบวนการ โดยลักษณะของการกระทำชี้ให้เห็นถึงความสัมพันธ์ของคนร้ายในลักษณะของการประสานงานและสนับสนุนซึ่งกันและกันจนทำให้การฉ้อโกงผู้เสียหายเป็นผลสำเร็จ และแม้จะได้ความด้วยว่าจำเลยเป็นผู้ขอเปิดบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ที่โจทก์อ้างด้วยตนเอง โดยจำเลยเพิ่งเปิดบัญชีเงินฝากดังกล่าวเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2562 ก่อนที่คนร้ายจะแจ้งหมายเลขบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยให้ผู้เสียหายทราบเพียง 6 วัน และในช่วงเกิดเหตุสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยอยู่ในความครอบครองของจำเลยดังที่โจทก์ฎีกาก็ตาม แต่การจะเป็นความผิดฐานมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติตามฟ้องได้นั้น โจทก์จะต้องนำสืบให้ปรากฏชัดถึงพฤติการณ์แห่งการกระทำอย่างหนึ่งอย่างใดของจำเลยดังที่ระบุไว้ในมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการมีส่วนร่วมในองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ พ.ศ. 2556 แต่คดีนี้ปรากฏว่าไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย ซึ่งในข้อนี้แม้ผู้เสียหายเบิกความว่า ผู้เสียหายไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้โดยไม่ทราบสาเหตุ แต่ตามบันทึกคำให้การชั้นสอบสวนของผู้เสียหาย ผู้เสียหายกลับให้การต่อพนักงานสอบสวนว่า "...วันที่ 22 เมษายน 2562 เวลา 06.27 นาฬิกา ทาง Polish Shipping Company (หมายถึงบริษัทขนส่งสินค้า) ส่งหมายเลขบัญชีธนาคาร ท. ชื่อบัญชี นางสาวดวงพร (หมายถึงจำเลย) เลขที่บัญชี 164282xxxx แต่ได้แจ้งเปลี่ยนภายหลังเป็นบัญชีธนาคาร ท. ชื่อบัญชี นางสาวศิริวรรณ หมายเลขบัญชี 433006xxxx..." ซึ่งข้อเท็จจริงที่ว่าคนร้ายเป็นฝ่ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีรับเงินตามคำให้การของผู้เสียหายดังกล่าวสอดคล้องกับข้อความเป็นภาษาอังกฤษที่ผู้เสียหายติดต่อกับคนร้ายมีความโดยสรุปว่า ในวันที่ 22 เมษายน 2562 เดิมคนร้ายแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย แต่เมื่อผู้เสียหายส่งข้อความถึงคนร้ายว่าเตรียมที่จะถอนเงินในวันนี้เพื่อมาโอนเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารดังกล่าวแล้วจะแจ้งให้คนร้ายทราบ คนร้ายกลับส่งข้อความแจ้งบัญชีเงินฝากใหม่เป็นบัญชีเงินฝากธนาคาร ท. ชื่อบัญชี นางสาวศิริวรรณ หมายเลขบัญชี 433006xxxx ในลักษณะเป็นการแจ้งให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของนางสาวศิริวรรณแทนบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย กรณีจึงน่าเชื่อว่าข้อเท็จจริงเป็นดังที่ผู้เสียหายให้การต่อพนักงานสอบสวนดังกล่าวว่าผู้เสียหายไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเนื่องจากคนร้ายแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีเงินฝากธนาคารเป็นบัญชีอื่น หาใช่ผู้เสียหายไม่สามารถทำรายการโอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยได้ดังที่ผู้เสียหายเบิกความไม่ ฉะนั้น เมื่อคดีได้ความว่าคนร้ายไม่ได้ใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยเป็นบัญชีรับและถอนเงินที่ได้มาจากการหลอกลวงผู้เสียหาย เช่นนี้เท่ากับยังไม่ปรากฏพฤติการณ์แห่งการกระทำใด ๆ ของจำเลยอย่างอื่นอีกที่จะบ่งชี้ได้ว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นหรือยินยอมให้คนร้ายใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยในการกระทำความผิด กรณีกลับมีข้อน่าสงสัยว่าเหตุใดคนร้ายจึงแจ้งเปลี่ยนแปลงบัญชีรับเงินไปใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของบุคคลอื่นแทนที่จะใช้บัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยตามที่แจ้งในตอนแรก เพราะหากจำเลยรู้เห็นเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของคนร้ายแล้วก็ไม่มีเหตุผลใดที่คนร้ายจะกระทำการเช่นนั้น ที่สำคัญจากการสืบสวนสอบสวนก็ไม่ปรากฏว่านอกจากคดีนี้แล้วคนร้ายนำบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยไปใช้เป็นบัญชีรับเงินจากผู้เสียหายรายอื่นอีก ดังนี้ เมื่อโจทก์ไม่นำสืบให้เห็นว่าจำเลยมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับการกระทำความผิดของคนร้ายโดยประการอื่นอีก ลำพังเพียงการที่คนร้ายแจ้งบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลยแก่ผู้เสียหายเพื่อให้ผู้เสียหายโอนเงินให้แต่ภายหลังเปลี่ยนเป็นบัญชีเงินฝากธนาคารอื่นโดยผู้เสียหายยังไม่ได้โอนเงินเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของจำเลย จึงยังไม่มีน้ำหนักรับฟังได้มั่นคงว่าจำเลยมีส่วนร่วมกระทำการใด ๆ ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมในการดำเนินการขององค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ หรือเป็นเครือข่ายดำเนินงานขององค์กรดังกล่าว หรือสมคบกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดร้ายแรงอันเกี่ยวข้องกับองค์กรดังกล่าวอันเป็นความผิดตามฟ้อง หากแต่ยังมีความสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดดังกล่าวหรือไม่ จึงให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1) คำพิพากษาศาลฎีกา 4920/2567

Quick Summary:

ในคำพิพากษาฎีกา 4920/2567 เป็นกรณีจำเลยรับจ้างเปิดบัญชีธนาคารแล้วมอบสมุดบัญชีเงินฝากให้บุคคลอื่นไปใช้ โดยบัญชีดังกล่าวถูกนำไปใช้โอนเงินจากการฉ้อโกงประชาชนผ่านเว็บไซต์ธนาคารปลอม โดยจำเลยอ้างว่า “ถูกหลอกใช้” แต่ศาลวินิจฉัยว่า แม้จำเลยไม่ได้โอนเงินเอง แต่พฤติการณ์เปิดบัญชีแล้วมอบสมุดให้ผู้อื่นใช้เป็นเรื่องผิดปกติวิสัย ซึ่งแสดงเจตนาร้ายว่า จำเลยรู้หรืออย่างน้อยยินยอมให้บัญชีถูกใช้ในการกระทำความผิด ศาลเห็นว่าเป็นการ “ช่วยเหลือหรืออำนวยความสะดวก” แก่คนร้าย จึงมีความผิดฐานสนับสนุนการฉ้อโกงประชาชน (แม้ไม่ใช่ตัวการตรง) รวมทั้งมีองค์ประกอบของการร่วมกระทำความผิดในลักษณะเครือข่าย

ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192, 215, 225 (อ้างในการตัดสิน) 

บทความเปรียบเทียบ: กรณีนี้ใกล้เคียงกับ 1207/2567 ในเรื่องของ “บัญชีม้า/เปิดบัญชี/ใช้บัญชีให้คนร้าย” แต่แตกต่างที่ใน 1207/2567 ยังไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลยจริง ทำให้ศาลให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัย ขณะที่ 4920/2567 มีพฤติการณ์ใช้งานบัญชีจริงจึงมีความผิดชัดเจน

2) คำพิพากษาศาลฎีกา 4040/2567

Quick Summary:

ในคำพิพากษาฎีกา 4040/2567 เป็นคดีของแก๊งโรแมนซ์สแกม (Romance Scam) ที่มีลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ จำเลยเปิดบัญชีธนาคารให้รับเงินหรือเกี่ยวข้องกับบัญชีที่ถูกใช้โดยคนร้าย กรณีนี้ศาลระบุว่า เพียงการมีบัญชีหรือชื่อบัญชีอยู่ในข้อมูลคนร้ายไม่ได้เพียงพอต่อการลงโทษ “สมาชิกเครือข่ายองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ” เว้นแต่ว่าพยานหลักฐานชี้ให้เห็นเจตนาร่วมจริง มีการใช้บัญชี/มีธุรกรรม ระบบเครือข่ายชัดเจน 

บทความเปรียบเทียบ: ลักษณะเหมือน 1207/2567 ตรงที่เป็นโรแมนซ์สแกม + บัญชีม้า แต่ 4040/2567 มีการใช้งานบัญชีและเครือข่ายชัดเจนกว่านี้ ขณะที่ 1207/2567 ยังไม่มีการโอนเงินเข้าบัญชีจำเลย ทำให้ต่างกันในผล

3) คำพิพากษาศาลฎีกา 3957/2566

Quick Summary:

คำพิพากษาฎีกา 3957/2566 เป็นคดีฟอกเงินและใช้งานบัญชีเงินฝากในลักษณะผิดกฎหมาย โดยศาลวินิจฉัยว่า แม้บัญชีธนาคารจะถูกใช้โดยบุคคลอื่น แต่หากจำเลยมีส่วนรู้เห็นหรือยื่นยินยอมให้ใช้บัญชี หรือละเลยการควบคุมบัญชีจนบัญชีถูกใช้ในการกระทำผิด ก็ให้ความผิดฐานที่เกี่ยวข้อง (ทั้งฟอกเงินและองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ) 

บทความเปรียบเทียบ: ถึงแม้จะเป็นกรณีฟอกเงิน ไม่ใช่โรแมนซ์สแกมโดยตรง แต่มีแก่น “บัญชีม้า/ใช้บัญชีผิดกฎหมาย/เครือข่ายบัญชี” ซึ่งทำให้เปรียบเทียบกับ 1207/2567 ได้ในแง่ “ภาระการพิสูจน์การใช้บัญชี”

4) คำพิพากษาศาลฎีกา 831/2559

Quick Summary:

ในคำพิพากษาฎีกา 831/2559 เป็นคดีฉ้อโกงประชาชนผ่านระบบออนไลน์หลายคดี จำเลยหลายคนถูกฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 / 342 / 269/5 / 269/7 โดยศาลวินิจฉัยว่าแม้จำเลยหลากหลายกรรมต่างกัน แต่ถ้าการกระทำเป็นกรรมเดียวที่ผิดหลายบท ให้ลงโทษตามมาตราที่หนักสุด และหากเป็นหลายกรรมให้ลงทุกกรรมตาม มาตรา 91 

บทความเปรียบเทียบ: ถึงจะไม่ใช่คดี “บัญชีม้า” โดยตรง แต่เป็นคดีออนไลน์-เครือข่าย-ฉ้อโกง ที่มีโครงสร้างคล้ายคลึงกับ 1207/2567 (หลายคน, แบ่งหน้าที่, โอนเงินออนไลน์) และช่วยให้ผู้ศึกษามองเห็นองค์ประกอบ “เครือข่าย + หลายคน + แบ่งหน้าที่”

5) คำพิพากษาศาลฎีกา 2949/2563

Quick Summary:

คำพิพากษาฎีกา 2949/2563 เป็นคดีที่โจทก์ฟ้องบริษัทและพวกตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 ทั้งนี้มีการเปิดบัญชีใช้แลกเปลี่ยนเงินและธุรกรรมทางการเงินที่น่าสงสัย ศาลวินิจฉัยว่าการเปิดบัญชีและมีธุรกรรมผิดปกติเป็นพยานชี้เจตนาและร่วมกระทำความผิด แต่ต้องมีหลักฐานแสดงความรู้หรือยินยอมของจำเลย 

บทความเปรียบเทียบ: ถึงไม่ใช่ พ.ร.บ.อาชญากรรมข้ามชาติโดยตรง แต่ใช้หลักเดียวกันคือ “บัญชีถูกใช้ผิดกฎหมาย → เจตนาร่วม” ซึ่งทำให้ผู้ศึกษามองเห็นว่าแนวคำพิพากษาในคดีบัญชีม้า/เครือข่ายอาชญากรรม มีการใช้หลักเดียวกันในกฎหมายหลายฉบับ 




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

ยอมความคดีแพ่งไม่ทำให้คดีอาญาระงับ,ป.วิ.อ. ม.39(2), (ฎีกา 3681/2568)
สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567)
ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)ป.วิ.อ. มาตรา 84 (ฎีกา 6820/2567)
(ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร
(ฎีกาที่ 3462/2567): อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและฟอกเงิน
(ฎีกาที่ 3672/2567): การทำร้ายร่างกายและการตีความการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2567: คดีฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน และประเด็นความชอบด้วยกฎหมายในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2567 การลักทรัพย์นายจ้างหลายกรรม และการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4317/2567: คดีลักทรัพย์-ขาดเจตนาทุจริต แต่ยังมีหน้าที่คืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน(ฎีกาที่ 8082/2567)
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ(ฎีกา5234/2566) article
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจพนักงานสอบสวน & ฎีกาต้องห้ามข้อเท็จจริงคดีอาวุธปืน (ฎีกา 1016/2567)
บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567)
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน