
| ยอมความคดีแพ่งไม่ทำให้คดีอาญาระงับ,ป.วิ.อ. ม.39(2), (ฎีกา 3681/2568)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความสิทธิยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โดยผู้เสียหายแถลงยุติข้อพิพาททางแพ่งกับจำเลย แต่ไม่ได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้งว่าจะไม่ดำเนินคดีอาญา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การยอมความเฉพาะส่วนแพ่งไม่ทำให้สิทธิฟ้องอาญาระงับไป โจทก์ยังดำเนินคดีอาญาได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเพิ่มโทษหลายกรรม และการลดโทษเมื่อจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดากับผู้เสียหาย ซึ่งเข้าข่ายเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง สรุปข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัย คดีนี้ ผู้เสียหายและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยลักทรัพย์รวม 3 ครั้ง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) ประกอบมาตรา 336 ทวิ โจทก์ฟ้องขอเพิ่มโทษตาม มาตรา 92 และให้คืนทรัพย์ 12,800 บาท จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 12 เดือน พร้อมชดใช้ค่าสินไหม ศาลอุทธรณ์ยกคำขอส่วนแพ่งแต่คงโทษจำคุก จำเลยฎีกาอ้างว่า ผู้เสียหายยอมความแล้ว คดีอาญาต้องระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) ศาลฎีกาเห็นว่า การยอมความตาม มาตรา 39(2) ต้องเป็นการยอมความในทางอาญาโดยชัดแจ้ง การแถลงว่า “ไม่ติดใจในทางแพ่ง” ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องอาญา การกล่าวว่า “อยู่ในดุลพินิจของศาล” เป็นเพียงการขอให้ศาลพิจารณาลงโทษ ไม่ใช่การยอมความอาญา ดังนั้น สิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ ศาลฎีกายังวินิจฉัยประเด็นโทษ พบว่าเป็นผู้กระทำต่อญาติสายโลหิตตาม มาตรา 71 วรรคสอง จึงลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกระทงละ 1 ปี 4 เดือน เหลือ 8 เดือน รวม 3 กระทง = 2 ปี ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ คือ การตีความเรื่อง การยอมความในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โดยศาลฎีกาย้ำว่า การยอมความต้องมีเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา มิฉะนั้นสิทธิฟ้องอาญาไม่ระงับ แม้คู่ความจะยุติข้อพิพาททางแพ่งแล้วก็ตาม กล่าวอย่างเข้าใจง่ายที่สุดคือ ยอมความเฉพาะแพ่ง = ไม่ทำให้คดีอาญาหยุด ถ้าไม่แถลงชัดว่ายอมความอาญาด้วย กฎหมายที่เป็นหัวใจของคดีนี้ • ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) – การยอมความในคดีอาญาต้องชัดเจน • ป.อ. มาตรา 335 และ มาตรา 336 ทวิ – ฐานความผิดลักทรัพย์ • ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง – เหตุบรรเทาโทษกรณีกระทำต่อพี่น้องร่วมบิดามารดา • ป.อ. มาตรา 92 – เพิ่มโทษหลายกรรม • ป.อ. มาตรา 78 – ลดโทษเมื่อรับสารภาพ (แต่แก่นคดีจริง ๆ อยู่ที่ ป.วิ.อ. มาตรา 39(2)) ประเด็นที่สำคัญที่สุดของคดีนี้ 1. ยอมความอาญาต้องชัดแจ้ง หมายถึง ต้องระบุชัดว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ไม่ใช่เพียงยุติข้อพิพาทส่วนแพ่ง 2. แถลงไม่ติดใจเฉพาะส่วนแพ่งไม่เท่ากับยอมความอาญา คำว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง” ไม่มีผลทำให้สิทธิฟ้องอาญาสิ้นสุด 3. คำว่า “อยู่ในดุลพินิจศาล” ไม่ใช่การยอมความ เป็นเพียงการขอให้ศาลกำหนดโทษ ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องคดีอาญา 4. สิทธิฟ้องอาญาไม่ระงับ เพราะไม่มีการยอมความอาญาโดยชัดแจ้ง โจทก์จึงยังดำเนินคดีอาญาต่อได้ 5. ความผิดระหว่างพี่น้องร่วมบิดามารดา – ลดโทษตามกฎหมาย เมื่อเป็นความผิดภายในครอบครัว ศาลใช้มาตรา 71 วรรคสอง ลดโทษให้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ สรุปสั้น ๆ ยุติแพ่ง ไม่ได้แปลว่า ยุติคดีอาญา ถ้าไม่พูดชัดว่า “ยอมความอาญา”และในคดีนี้ ศาลยังลดโทษให้เพราะผู้กระทำและผู้เสียหายเป็นพี่น้องกันตามกฎหมาย IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) ยอมความเฉพาะคดีแพ่ง ย่อมทำให้คดีอาญาระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) หรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ยอมความเฉพาะคดีอาญาเท่านั้นจึงระงับสิทธิฟ้องคดีอาญา ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ, 71 วรรคสอง, 78, 92 Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย) ผู้เสียหายแสดงเจตนาชัดว่าไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง แต่ไม่ได้ยอมความเรื่องอาญา และยังให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษ จำเลยจึงยังต้องรับโทษตามกฎหมาย ศาลพิจารณาความสัมพันธ์พี่น้อง จึงให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตาม มาตรา 71 วรรคสอง และลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 Conclusion (ข้อสรุป) ยอมความเฉพาะแพ่ง ไม่ทำให้คดีอาญาระงับ โจทก์ยังฟ้องได้ จำเลยถูกลงโทษแต่ลดโทษตามเหตุครอบครัวและการรับสารภาพ ข้อคิดทางกฎหมาย การยุติข้อพิพาททางแพ่งไม่เท่ากับการยุติคดีอาญา หากต้องการยอมความในคดีอาญา ผู้เสียหายต้องระบุข้อความชัดเจน มิฉะนั้นสิทธิฟ้องอาญายังคงอยู่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ครอบครัวอาจเป็นเหตุให้ศาลลดโทษได้ แต่ไม่ได้ทำให้พ้นผิด สรุปบทความ คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า การยุติข้อพิพาททางแพ่งไม่กระทบสิทธิฟ้องคดีอาญา เว้นแต่จะมีข้อตกลงยอมความในคดีอาญาชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การกล่าวเพียงว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง” ไม่ถือเป็นการยอมความอาญา และการระบุว่า “อยู่ในดุลพินิจศาล” เป็นเพียงคำขอให้ศาลกำหนดโทษ ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องคดีอาญา ศาลฎีกาวางหลักว่าต้องตีความเรื่องยอมความอาญาอย่างชัดเจนและเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองกระบวนการยุติธรรม เมื่อจำเลยเป็นญาติกับผู้เสียหายและรับสารภาพ ศาลจึงใช้บทลดโทษตามมาตรา 71 และมาตรา 78 แทนการยกฟ้อง คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับทนายและผู้เกี่ยวข้องที่ควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างการยอมความแพ่งและอาญา หากต้องการให้คดีอาญาสิ้นสุด ต้องมีคำแถลงยอมความทางอาญาโดยชัดเจน ไม่ใช่แค่หยุดเรียกร้องค่าเสียหาย แนวคำถาม - ธงคำตอบ (1) คำถาม ในคดีที่ผู้เสียหายและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในหลายกรรมต่างกัน และต่อมาผู้เสียหายได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล” ซึ่งภายหลังจำเลยยกประเด็นว่า ข้อความดังกล่าวถือเป็นการยอมความในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาของโจทก์ระงับไปหรือไม่ ผู้เสียหายมีเจตนายุติคดีอาญาหรือไม่ และศาลควรใช้กฎหมายใดในการพิจารณาเรื่องการระงับคดีอาญาในกรณีนี้อย่างไร คำตอบ การแถลงของผู้เสียหายว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่ง” เป็นเพียงการสละสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งเท่านั้น ยังไม่ใช่การยอมความในทางอาญา และการระบุว่า “อยู่ในดุลพินิจของศาล” เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษตามสมควร มิใช่การประกาศยุติการดำเนินคดีอาญาอย่างชัดเจน ดังนั้น การยอมความซึ่งจะทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ต้องเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งว่าจะไม่ดำเนินคดีอาญา ซึ่งในคดีนี้ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าว คดีอาญาจึงไม่ระงับ สิทธิของโจทก์ยังคงมีอยู่ การดำเนินคดีอาญาจึงเป็นไปโดยชอบ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้เสียหาย ศาลฎีกาจึงอาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง เป็นเหตุบรรเทาโทษลงให้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งยังลดโทษตามมาตรา 78 จากการรับสารภาพ และเพิ่มโทษหลายกรรมตามมาตรา 92 อันเป็นการวินิจฉัยครบถ้วนทั้งประเด็นกระบวนกฎหมายและอัตราโทษ (2) คำถาม การที่ผู้เสียหายยอมความในส่วนแพ่งและมิได้ติดใจเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อจำเลย แต่เพียงแถลงว่าคดีอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น จะมีผลทำให้คดีอาญาระงับไปโดยผลของการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) หรือไม่ และในกรณีที่จำเลยเป็นญาติสายตรงกับผู้เสียหาย การลงโทษควรเป็นไปตามบทบัญญัติใดและลดหย่อนโทษได้เพียงใด คำตอบ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) บัญญัติชัดเจนว่าการที่คดีอาญาจะระงับเพราะการยอมความนั้น ต้องมีการยอมความในส่วนคดีอาญาโดยชัดแจ้ง หากผู้เสียหายเพียงแถลงไม่ติดใจดำเนินคดีในส่วนแพ่งแต่ไม่ได้ระบุว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาด้วย การแถลงดังกล่าวไม่อาจถือเป็นการยอมความในทางอาญาได้ คดีอาญาจึงไม่ระงับและยังดำเนินต่อไปได้โดยชอบ การกล่าวว่า "ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" มิได้สื่อถึงการถอนฟ้องหรือยุติคดี แต่อยู่ในลักษณะขอให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษตามสมควรเท่านั้น เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หลายกรรมต่างกัน ศาลต้องลงโทษทุกกรรมและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แต่เนื่องจากจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้เสียหาย ศาลฎีกานำบทบัญญัติ มาตรา 71 วรรคสอง มาใช้บรรเทาโทษให้ และเมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 ส่งผลให้โทษสุดท้ายที่จำเลยต้องรับถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อันสะท้อนหลักการสำคัญของกฎหมายอาญาที่ต้องการความยุติธรรมทั้งด้านการลงโทษและการบรรเทาโทษตามความสัมพันธ์ของคู่ความและพฤติการณ์แห่งคดี
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2568 การยอมความกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) หมายถึง การยอมความในทางอาญาเท่านั้น มิได้หมายความว่า เมื่อมีการยอมความกันไม่ว่าจะในเรื่องใดแล้ว จะทำให้คดีอาญาต้องระงับไปด้วย เมื่อผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" คำแถลงของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนที่ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" นั้น เป็นการแถลงขอให้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยตามที่เห็นสมควรเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมความกัน เมื่อไม่มีข้อตกลงโดยชัดแจ้งว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 92, 335, 336 ทวิ เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 12,800 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 6 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง จำคุก 6 ปี 24 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง จำคุก 3 ปี 12 เดือน ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ลักหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 12,800 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 12,800 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายศักดิ์ศิริ ผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) หรือไม่ เห็นว่า การยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) หมายถึง การยอมความในทางอาญาเท่านั้น มิได้หมายความว่า เมื่อมีการยอมความกันไม่ว่าจะในเรื่องใดแล้ว จะทำให้คดีอาญาต้องระงับไปด้วย เมื่อผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" คำแถลงของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนที่ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" นั้น เป็นการแถลงขอให้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยตามที่เห็นสมควรเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมความกัน เมื่อไม่มีข้อตกลงโดยชัดแจ้งว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้เสียหาย และขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ ความผิดดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่พี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1914/2558 – ถอนคำร้องทุกข์ในทางแพ่ง ไม่ตัดสิทธิอาญา ในคดีนี้ ผู้เสียหายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยในส่วนแพ่ง โดยยอมถอนคำร้องทุกข์เกี่ยวกับค่าเสียหายทางแพ่ง และรับชำระเงินบางส่วนตามข้อตกลง จำเลยอ้างว่าการถอนคำร้องทุกข์ดังกล่าวย่อมทำให้คดีอาญาระงับไปด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์เฉพาะส่วนแพ่งหรือการตกลงเรื่องชำระค่าเสียหาย ไม่ถือเป็นการยอมความทางอาญา เว้นแต่ผู้เสียหายได้แสดงเจตนา “ชัดแจ้ง” ว่าไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาด้วย ในคดีนี้ ผู้เสียหายเพียงยุติเรื่องสินไหม ไม่ได้สละสิทธิฟ้องคดีอาญา คดีอาญาจึงยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ศาลเน้นว่า มาตรา 39(2) ใช้ได้เฉพาะในคดีความผิดต่อส่วนตัว และการยอมความต้องมีถ้อยคำแสดงเจตนาอย่างชัดเจน ดังนั้น การโต้แย้งของจำเลยฟังไม่ขึ้น คดีอาญาไม่ระงับเพราะขาดการยอมความโดยชัดแจ้ง แม้จะมีข้อตกลงเยียวยาทางแพ่งก็ตาม 2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5270/2551 – แถลงไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายไม่ใช่ยอมความอาญา คดีนี้ ผู้เสียหายได้แถลงต่อศาลว่า “ไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลย” เนื่องจากจำเลยได้ชดใช้เงินค่าเสียหายให้ครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงอ้างว่า เมื่อผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย ถือเป็นการยอมความในคดีอาญาและคดีต้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย เป็นผลในทางแพ่งเท่านั้น ไม่อาจตีความเป็นการยอมความทางอาญาได้ เว้นแต่จะมีการแสดงเจตนา “ชัดเจนและตรงไปตรงมา” ว่าไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ในคดีนี้ ศาลจึงตัดสินให้คดีอาญายังดำเนินต่อไปได้โดยชอบ การแถลงเพียงว่าไม่ติดใจค่าเสียหายมิได้ทำให้สิทธิฟ้องอาญาระงับตามกฎหมาย ศาลย้ำหลักการสำคัญว่า การยอมความในคดีอาญาต้องเคร่งครัด เพราะเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและกระบวนการยุติธรรมรัฐ 3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5410/2562 – ความผิดระหว่างญาติ ใช้มาตรา 71 ลดโทษได้ คดีนี้ จำเลยซึ่งเป็นบุตรได้กระทำความผิดทางทรัพย์ต่อมารดา โดยมีพฤติการณ์ลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหาย ศาลรับฟังพยานหลักฐานเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดจริง และมีความผิดต่อทรัพย์ตามมาตรา 334 และเข้าลักษณะเพิ่มโทษตามมาตรา 335 แต่เนื่องจากคู่ความเป็นบุพการีและผู้สืบสันดาน ศาลฎีกาจึงอ้างอิงมาตรา 71 วรรคสอง ว่าความผิดในกรณีดังกล่าว แม้กฎหมายมิได้กำหนดว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และศาลมีอำนาจลดโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด การที่มารดาผู้เสียหายยืนยันให้ลงโทษ มิได้ทำให้ศาลหมดอำนาจใช้บทลดโทษ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้ว ศาลให้ลงโทษจำเลยน้อยกว่าปกติ พร้อมให้โอกาสปรับตัว ทั้งนี้เป็นหลักสำคัญของกฎหมายที่คุ้มครองความสัมพันธ์ในครอบครัวและการกลับตัวของผู้กระทำผิด 4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2556 – ถอนคำร้องทุกข์ไม่ชัดเจน คดีอาญาไม่ระงับ Quick Summary: ในคดีนี้ ผู้เสียหายได้ยื่นหนังสือแถลงต่อพนักงานสอบสวนว่า “ไม่ติดใจเอาความกับผู้ต้องหาในส่วนแพ่ง” และยอมรับเงินชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลย แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ผู้ต้องหาอ้างว่าการยอมความดังกล่าวทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์หรือการยอมความที่จะทำให้คดีอาญาระงับต้องมีคำแถลงที่ “ชัดเจนและไม่คลุมเครือ” ว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ดำเนินคดีอาญาต่อ การกล่าวเพียงว่า “ไม่ติดใจในคดีแพ่ง” ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องคดีอาญา แม้มีการชำระเงินชดใช้ให้ผู้เสียหายแล้วก็ตาม คดีอาญาจึงไม่ระงับ และรัฐยังคงมีสิทธิดำเนินคดีอาญาต่อได้ คำพิพากษานี้สะท้อนหลักการเดียวกับฎีกาที่ 3681/2568 ว่า การยอมความเฉพาะส่วนแพ่งไม่ถือเป็นการยอมความในทางอาญา เว้นแต่ผู้เสียหายแถลงชัดเจนว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ศาลต้องตีความโดยเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดอาญาหลุดพ้นความรับผิดโดยเจตนาแอบแฝงหรือการทำความตกลงคลุมเครือกับผู้เสียหาย 5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1792/2545 – ยุติทางแพ่งไม่กระทบอาญา เว้นแต่แถลงชัดเจน Quick Summary: คดีนี้เป็นกรณีพิพาทที่ฝ่ายผู้เสียหายทำบันทึกข้อตกลงยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับความเสียหายทางทรัพย์สินกับจำเลย และระบุว่าได้รับค่าเสียหายครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ดำเนินคดีอาญา จำเลยอ้างว่าการทำบันทึกดังกล่าวถือเป็นการยอมความทั้งทางแพ่งและอาญา ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เห็นว่า เจตนาสละสิทธิฟ้องอาญาต้องระบุชัด ไม่ใช่สันนิษฐานจากการรับเงินชดใช้หรือการระงับข้อพิพาทแพ่ง ศาลถือหลักว่า “คดีอาญาเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน” จึงต้องได้รับการยืนยันโดยชัดเจนว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา หากไม่มีข้อความดังกล่าว การยุติข้อพิพาททางแพ่งย่อมไม่มีผลตัดอำนาจฟ้องคดีอาญา ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและเพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดใช้ช่องทางการจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดทางอาญา 6) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2538 – คดีความผิดต่อญาติ ศาลลดโทษได้ Quick Summary: จำเลยกระทำความผิดลักทรัพย์ของมารดา โดยมีพฤติการณ์กระทำผิดจริง แต่มีความสัมพันธ์เป็น親สายโลหิตโดยตรง ศาลต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้กรณีที่ผู้กระทำและผู้เสียหายเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดากัน เป็นความผิดอันยอมความได้และศาลสามารถลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ เมื่อมารดาไม่ได้ใช้สิทธิยอมความจำเลยในทางอาญา ศาลยังสามารถลงโทษจำเลยได้ แต่พิจารณาลดโทษตามความสัมพันธ์ภายในครอบครัว แนวคำพิพากษานี้สอดคล้องกับคดีฎีกาที่ 3681/2568 ที่ศาลลดโทษให้จำเลยเนื่องจากเป็นน้องร่วมบิดามารดากับผู้เสียหาย และเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม มาตรา 71 วรรคสอง แม้ไม่มีการยอมความก็ตาม แสดงให้เห็นหลักว่า ความผิดภายในครอบครัว แม้ไม่ได้ยอมความแต่ศาลลดโทษได้เพื่อความยุติธรรมและสันติสุขในครัวเรือน
|





