ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ยอมความคดีแพ่งไม่ทำให้คดีอาญาระงับ,ป.วิ.อ. ม.39(2), (ฎีกา 3681/2568)

คำพิพากษาศาลฎีกา 3681/2568, การยอมความคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2), ข้อตกลงยุติคดีแพ่งไม่ระงับสิทธิฟ้องอาญา, ความแตกต่างระหว่างยอมความแพ่งและอาญา, เพิ่มโทษหลายกระทงตาม ป.อ. มาตรา 92, ลดโทษตามมาตรา 78, โทษอาญาในคดีลักทรัพย์โดยญาติร่วมสายโลหิต, การตีความสิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา, การดำเนินคดีอาญาแม้ยุติข้อพิพาทแพ่ง, บทวิเคราะห์กฎหมายอาญาเรื่องยอมความ, สิทธิของผู้เสียหายในกระบวนพิจารณาอาญา, ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับยอมความ, แนวทางศาลฎีกาตีความมาตรา 39(2) เคร่งครัด, การบรรเทาโทษเพราะความสัมพันธ์ทางครอบครัว

   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความสิทธิยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โดยผู้เสียหายแถลงยุติข้อพิพาททางแพ่งกับจำเลย แต่ไม่ได้แสดงเจตนาโดยชัดแจ้งว่าจะไม่ดำเนินคดีอาญา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การยอมความเฉพาะส่วนแพ่งไม่ทำให้สิทธิฟ้องอาญาระงับไป โจทก์ยังดำเนินคดีอาญาได้ นอกจากนี้ยังมีประเด็นการเพิ่มโทษหลายกรรม และการลดโทษเมื่อจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดากับผู้เสียหาย ซึ่งเข้าข่ายเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง

สรุปข้อเท็จจริงและคำวินิจฉัย 

คดีนี้ ผู้เสียหายและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยลักทรัพย์รวม 3 ครั้ง เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335(1) ประกอบมาตรา 336 ทวิ โจทก์ฟ้องขอเพิ่มโทษตาม มาตรา 92 และให้คืนทรัพย์ 12,800 บาท

จำเลยรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกรวม 3 ปี 12 เดือน พร้อมชดใช้ค่าสินไหม ศาลอุทธรณ์ยกคำขอส่วนแพ่งแต่คงโทษจำคุก จำเลยฎีกาอ้างว่า ผู้เสียหายยอมความแล้ว คดีอาญาต้องระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2)

ศาลฎีกาเห็นว่า การยอมความตาม มาตรา 39(2) ต้องเป็นการยอมความในทางอาญาโดยชัดแจ้ง การแถลงว่า “ไม่ติดใจในทางแพ่ง” ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องอาญา การกล่าวว่า “อยู่ในดุลพินิจของศาล” เป็นเพียงการขอให้ศาลพิจารณาลงโทษ ไม่ใช่การยอมความอาญา ดังนั้น สิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ

ศาลฎีกายังวินิจฉัยประเด็นโทษ พบว่าเป็นผู้กระทำต่อญาติสายโลหิตตาม มาตรา 71 วรรคสอง จึงลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด จากกระทงละ 1 ปี 4 เดือน เหลือ 8 เดือน รวม 3 กระทง = 2 ปี

ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ คือ การตีความเรื่อง การยอมความในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) โดยศาลฎีกาย้ำว่า การยอมความต้องมีเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา มิฉะนั้นสิทธิฟ้องอาญาไม่ระงับ แม้คู่ความจะยุติข้อพิพาททางแพ่งแล้วก็ตาม

กล่าวอย่างเข้าใจง่ายที่สุดคือ

ยอมความเฉพาะแพ่ง = ไม่ทำให้คดีอาญาหยุด ถ้าไม่แถลงชัดว่ายอมความอาญาด้วย

กฎหมายที่เป็นหัวใจของคดีนี้

ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) – การยอมความในคดีอาญาต้องชัดเจน

ป.อ. มาตรา 335 และ มาตรา 336 ทวิ – ฐานความผิดลักทรัพย์

ป.อ. มาตรา 71 วรรคสอง – เหตุบรรเทาโทษกรณีกระทำต่อพี่น้องร่วมบิดามารดา

ป.อ. มาตรา 92 – เพิ่มโทษหลายกรรม

ป.อ. มาตรา 78 – ลดโทษเมื่อรับสารภาพ

(แต่แก่นคดีจริง ๆ อยู่ที่ ป.วิ.อ. มาตรา 39(2))

ประเด็นที่สำคัญที่สุดของคดีนี้ 

1. ยอมความอาญาต้องชัดแจ้ง

หมายถึง ต้องระบุชัดว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ไม่ใช่เพียงยุติข้อพิพาทส่วนแพ่ง

2. แถลงไม่ติดใจเฉพาะส่วนแพ่งไม่เท่ากับยอมความอาญา

คำว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง” ไม่มีผลทำให้สิทธิฟ้องอาญาสิ้นสุด

3. คำว่า “อยู่ในดุลพินิจศาล” ไม่ใช่การยอมความ

เป็นเพียงการขอให้ศาลกำหนดโทษ ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องคดีอาญา

4. สิทธิฟ้องอาญาไม่ระงับ

เพราะไม่มีการยอมความอาญาโดยชัดแจ้ง โจทก์จึงยังดำเนินคดีอาญาต่อได้

5. ความผิดระหว่างพี่น้องร่วมบิดามารดา – ลดโทษตามกฎหมาย

เมื่อเป็นความผิดภายในครอบครัว ศาลใช้มาตรา 71 วรรคสอง ลดโทษให้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดได้

สรุปสั้น ๆ 

ยุติแพ่ง ไม่ได้แปลว่า ยุติคดีอาญา ถ้าไม่พูดชัดว่า “ยอมความอาญา”และในคดีนี้ ศาลยังลดโทษให้เพราะผู้กระทำและผู้เสียหายเป็นพี่น้องกันตามกฎหมาย

IRAC Analysis

Issue (ประเด็นปัญหา)

ยอมความเฉพาะคดีแพ่ง ย่อมทำให้คดีอาญาระงับตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) หรือไม่

Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ)

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)

ยอมความเฉพาะคดีอาญาเท่านั้นจึงระงับสิทธิฟ้องคดีอาญา

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ, 71 วรรคสอง, 78, 92

Application (การประยุกต์ใช้กฎหมาย)

ผู้เสียหายแสดงเจตนาชัดว่าไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง แต่ไม่ได้ยอมความเรื่องอาญา และยังให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษ จำเลยจึงยังต้องรับโทษตามกฎหมาย

ศาลพิจารณาความสัมพันธ์พี่น้อง จึงให้ลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดตาม มาตรา 71 วรรคสอง และลดโทษครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78

Conclusion (ข้อสรุป)

ยอมความเฉพาะแพ่ง ไม่ทำให้คดีอาญาระงับ โจทก์ยังฟ้องได้ จำเลยถูกลงโทษแต่ลดโทษตามเหตุครอบครัวและการรับสารภาพ

ข้อคิดทางกฎหมาย

การยุติข้อพิพาททางแพ่งไม่เท่ากับการยุติคดีอาญา หากต้องการยอมความในคดีอาญา ผู้เสียหายต้องระบุข้อความชัดเจน มิฉะนั้นสิทธิฟ้องอาญายังคงอยู่ นอกจากนี้ความสัมพันธ์ครอบครัวอาจเป็นเหตุให้ศาลลดโทษได้ แต่ไม่ได้ทำให้พ้นผิด

สรุปบทความ

คดีนี้เป็นตัวอย่างสำคัญที่สะท้อนให้เห็นว่า การยุติข้อพิพาททางแพ่งไม่กระทบสิทธิฟ้องคดีอาญา เว้นแต่จะมีข้อตกลงยอมความในคดีอาญาชัดเจนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) การกล่าวเพียงว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีแพ่ง” ไม่ถือเป็นการยอมความอาญา และการระบุว่า “อยู่ในดุลพินิจศาล” เป็นเพียงคำขอให้ศาลกำหนดโทษ ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องคดีอาญา

ศาลฎีกาวางหลักว่าต้องตีความเรื่องยอมความอาญาอย่างชัดเจนและเคร่งครัดเพื่อคุ้มครองกระบวนการยุติธรรม เมื่อจำเลยเป็นญาติกับผู้เสียหายและรับสารภาพ ศาลจึงใช้บทลดโทษตามมาตรา 71 และมาตรา 78 แทนการยกฟ้อง

คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญสำหรับทนายและผู้เกี่ยวข้องที่ควรเข้าใจความแตกต่างระหว่างการยอมความแพ่งและอาญา หากต้องการให้คดีอาญาสิ้นสุด ต้องมีคำแถลงยอมความทางอาญาโดยชัดเจน ไม่ใช่แค่หยุดเรียกร้องค่าเสียหาย

แนวคำถาม - ธงคำตอบ

(1) คำถาม

ในคดีที่ผู้เสียหายและจำเลยเป็นพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในหลายกรรมต่างกัน และต่อมาผู้เสียหายได้แถลงต่อศาลชั้นต้นว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล” ซึ่งภายหลังจำเลยยกประเด็นว่า ข้อความดังกล่าวถือเป็นการยอมความในคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาของโจทก์ระงับไปหรือไม่ ผู้เสียหายมีเจตนายุติคดีอาญาหรือไม่ และศาลควรใช้กฎหมายใดในการพิจารณาเรื่องการระงับคดีอาญาในกรณีนี้อย่างไร

คำตอบ

การแถลงของผู้เสียหายว่า “ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่ง” เป็นเพียงการสละสิทธิเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งเท่านั้น ยังไม่ใช่การยอมความในทางอาญา และการระบุว่า “อยู่ในดุลพินิจของศาล” เป็นเพียงการเปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษตามสมควร มิใช่การประกาศยุติการดำเนินคดีอาญาอย่างชัดเจน ดังนั้น การยอมความซึ่งจะทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ต้องเป็นการแสดงเจตนาโดยชัดแจ้งว่าจะไม่ดำเนินคดีอาญา ซึ่งในคดีนี้ไม่ปรากฏข้อความดังกล่าว คดีอาญาจึงไม่ระงับ สิทธิของโจทก์ยังคงมีอยู่ การดำเนินคดีอาญาจึงเป็นไปโดยชอบ ศาลจึงมีอำนาจลงโทษจำเลยตามกฎหมาย ขณะเดียวกัน เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกับผู้เสียหาย ศาลฎีกาจึงอาศัยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง เป็นเหตุบรรเทาโทษลงให้ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ทั้งยังลดโทษตามมาตรา 78 จากการรับสารภาพ และเพิ่มโทษหลายกรรมตามมาตรา 92 อันเป็นการวินิจฉัยครบถ้วนทั้งประเด็นกระบวนกฎหมายและอัตราโทษ

(2) คำถาม

การที่ผู้เสียหายยอมความในส่วนแพ่งและมิได้ติดใจเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนต่อจำเลย แต่เพียงแถลงว่าคดีอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาลนั้น จะมีผลทำให้คดีอาญาระงับไปโดยผลของการยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) หรือไม่ และในกรณีที่จำเลยเป็นญาติสายตรงกับผู้เสียหาย การลงโทษควรเป็นไปตามบทบัญญัติใดและลดหย่อนโทษได้เพียงใด

คำตอบ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) บัญญัติชัดเจนว่าการที่คดีอาญาจะระงับเพราะการยอมความนั้น ต้องมีการยอมความในส่วนคดีอาญาโดยชัดแจ้ง หากผู้เสียหายเพียงแถลงไม่ติดใจดำเนินคดีในส่วนแพ่งแต่ไม่ได้ระบุว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาด้วย การแถลงดังกล่าวไม่อาจถือเป็นการยอมความในทางอาญาได้ คดีอาญาจึงไม่ระงับและยังดำเนินต่อไปได้โดยชอบ การกล่าวว่า "ให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" มิได้สื่อถึงการถอนฟ้องหรือยุติคดี แต่อยู่ในลักษณะขอให้ศาลใช้ดุลพินิจลงโทษตามสมควรเท่านั้น

เมื่อข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หลายกรรมต่างกัน ศาลต้องลงโทษทุกกรรมและเพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แต่เนื่องจากจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้เสียหาย ศาลฎีกานำบทบัญญัติ มาตรา 71 วรรคสอง มาใช้บรรเทาโทษให้ และเมื่อจำเลยรับสารภาพ ศาลจึงลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 ส่งผลให้โทษสุดท้ายที่จำเลยต้องรับถูกลดลงอย่างมีนัยสำคัญ อันสะท้อนหลักการสำคัญของกฎหมายอาญาที่ต้องการความยุติธรรมทั้งด้านการลงโทษและการบรรเทาโทษตามความสัมพันธ์ของคู่ความและพฤติการณ์แห่งคดี

1.	ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (เน้น (2) ที่เกี่ยวกับ “คดีความผิดต่อส่วนตัว—ถอนคำร้องทุกข์/ถอนฟ้อง/ยอมความ”) “มาตรา 39 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป ดังต่อไปนี้ (1) โดยความตายของผู้กระทำผิด (2) ในคดีความผิดต่อส่วนตัว เมื่อได้ถอนคำร้องทุกข์ ถอนฟ้อง หรือยอมความกันโดยถูกต้องตามกฎหมาย (3) เมื่อคดีเลิกกันตามมาตรา ๓๗ (4) เมื่อมีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดซึ่งได้ฟ้อง (5) เมื่อมีกฎหมายออกใช้ภายหลังการกระทำผิดยกเลิกความผิดเช่นนั้น (6) เมื่อคดีขาดอายุความ (7) เมื่อมีกฎหมายยกเว้นโทษ”  2.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง (เหตุ “ญาติใกล้ชิด—พ่อแม่/ผู้สืบสันดาน/พี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกัน” เป็นความผิดอันยอมความได้ + ศาลลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดได้) “ความผิดดังระบุมานี้ ถ้าเป็นการกระทำที่ผู้บุพการีกระทำต่อผู้สืบสันดาน ผู้สืบสันดานกระทำต่อผู้บุพการี หรือพี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกัน แม้กฎหมายมิได้บัญญัติให้เป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และนอกจากนั้น ศาลจะลงโทษน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเพียงใดก็ได้”  3.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 (เพิ่มโทษกรณีกระทำผิดอีก—“ภายใน 5 ปีนับแต่พ้นโทษ” หรือระหว่างยังต้องรับโทษอยู่) “มาตรา 92 ผู้ใดต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก ถ้าและได้กระทำความผิดใด ๆ อีกในระหว่างที่ยังจะต้องรับโทษอยู่ก็ดี ภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษก็ดี หากศาลจะพิพากษาลงโทษครั้งหลังถึงจำคุก ก็ให้เพิ่มโทษที่จะลงแก่ผู้นั้นหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลัง”  4.	ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 (เหตุบรรเทาโทษ—ศาลลดโทษได้ไม่เกินกึ่งหนึ่ง) “มาตรา 78 เมื่อปรากฏว่ามีเหตุบรรเทาโทษ ไม่ว่าจะได้มีการเพิ่มหรือการลดโทษตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายนี้หรือกฎหมายอื่นแล้วหรือไม่ ถ้าศาลเห็นสมควร จะลดโทษไม่เกินกึ่งหนึ่งของโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้นก็ได้ เหตุบรรเทาโทษนั้น ได้แก่ ผู้กระทำความผิดเป็นผู้โฉดเขลาเบาปัญญา ตกอยู่ในความทุกข์อย่างสาหัส มีคุณความดีมาแต่ก่อน รู้สึกความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายแห่งความผิดนั้น ลุแก่โทษต่อเจ้าพนักงาน หรือให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา หรือเหตุอื่นที่ศาลเห็นว่ามีลักษณะทำนองเดียวกัน”

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3681/2568

การยอมความกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2) หมายถึง การยอมความในทางอาญาเท่านั้น มิได้หมายความว่า เมื่อมีการยอมความกันไม่ว่าจะในเรื่องใดแล้ว จะทำให้คดีอาญาต้องระงับไปด้วย เมื่อผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" คำแถลงของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนที่ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" นั้น เป็นการแถลงขอให้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยตามที่เห็นสมควรเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมความกัน เมื่อไม่มีข้อตกลงโดยชัดแจ้งว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (2)

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 92, 335, 336 ทวิ เพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืน 12,800 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (1) วรรคแรก ประกอบมาตรา 336 ทวิ การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำคุกกระทงละ 2 ปี รวม 3 กระทง จำคุก 6 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกกระทงละ 2 ปี 8 เดือน รวม 3 กระทง จำคุก 6 ปี 24 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง จำคุก 3 ปี 12 เดือน ให้จำเลยคืนทรัพย์ที่ลักหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 12,800 บาท แก่ผู้เสียหาย

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอที่ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์เป็นเงิน 12,800 บาท แก่ผู้เสียหาย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ฎีกาโต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า จำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับนายศักดิ์ศิริ ผู้เสียหาย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" ตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2567 คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) หรือไม่ เห็นว่า การยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) หมายถึง การยอมความในทางอาญาเท่านั้น มิได้หมายความว่า เมื่อมีการยอมความกันไม่ว่าจะในเรื่องใดแล้ว จะทำให้คดีอาญาต้องระงับไปด้วย เมื่อผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "ไม่ติดใจดำเนินคดีส่วนแพ่งกับจำเลย สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" คำแถลงของผู้เสียหายดังกล่าวเป็นเพียงข้อตกลงไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางแพ่งเท่านั้น ส่วนที่ผู้เสียหายแถลงต่อศาลชั้นต้นว่า "สำหรับคดีส่วนอาญาขอให้อยู่ในดุลพินิจของศาล" นั้น เป็นการแถลงขอให้ศาลชั้นต้นใช้ดุลพินิจกำหนดโทษจำเลยตามที่เห็นสมควรเท่านั้น มิใช่เป็นการยอมความกัน เมื่อไม่มีข้อตกลงโดยชัดแจ้งว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยในทางอาญา สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ย่อมไม่ระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39 (2) ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยเป็นน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกับผู้เสียหาย และขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335, 336 ทวิ ความผิดดังกล่าวจึงเป็นการกระทำที่พี่หรือน้องร่วมบิดามารดาเดียวกันกระทำต่อกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ศาลฎีกาเห็นควรลงโทษจำเลยน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกกระทงละ 1 ปี รวม 3 กระทง เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกกระทงละ 1 ปี 4 เดือน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกกระทงละ 8 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 24 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7

คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1914/2558 – ถอนคำร้องทุกข์ในทางแพ่ง ไม่ตัดสิทธิอาญา

ในคดีนี้ ผู้เสียหายได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกับจำเลยในส่วนแพ่ง โดยยอมถอนคำร้องทุกข์เกี่ยวกับค่าเสียหายทางแพ่ง และรับชำระเงินบางส่วนตามข้อตกลง จำเลยอ้างว่าการถอนคำร้องทุกข์ดังกล่าวย่อมทำให้คดีอาญาระงับไปด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์เฉพาะส่วนแพ่งหรือการตกลงเรื่องชำระค่าเสียหาย ไม่ถือเป็นการยอมความทางอาญา เว้นแต่ผู้เสียหายได้แสดงเจตนา “ชัดแจ้ง” ว่าไม่ติดใจดำเนินคดีอาญาด้วย ในคดีนี้ ผู้เสียหายเพียงยุติเรื่องสินไหม ไม่ได้สละสิทธิฟ้องคดีอาญา คดีอาญาจึงยังดำเนินต่อไปได้ตามปกติ ศาลเน้นว่า มาตรา 39(2) ใช้ได้เฉพาะในคดีความผิดต่อส่วนตัว และการยอมความต้องมีถ้อยคำแสดงเจตนาอย่างชัดเจน ดังนั้น การโต้แย้งของจำเลยฟังไม่ขึ้น คดีอาญาไม่ระงับเพราะขาดการยอมความโดยชัดแจ้ง แม้จะมีข้อตกลงเยียวยาทางแพ่งก็ตาม

2) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5270/2551 – แถลงไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายไม่ใช่ยอมความอาญา

คดีนี้ ผู้เสียหายได้แถลงต่อศาลว่า “ไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายจากจำเลย” เนื่องจากจำเลยได้ชดใช้เงินค่าเสียหายให้ครบถ้วนแล้ว จำเลยจึงอ้างว่า เมื่อผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย ถือเป็นการยอมความในคดีอาญาและคดีต้องระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39(2) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การที่ผู้เสียหายไม่ติดใจเรียกค่าเสียหาย เป็นผลในทางแพ่งเท่านั้น ไม่อาจตีความเป็นการยอมความทางอาญาได้ เว้นแต่จะมีการแสดงเจตนา “ชัดเจนและตรงไปตรงมา” ว่าไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ในคดีนี้ ศาลจึงตัดสินให้คดีอาญายังดำเนินต่อไปได้โดยชอบ การแถลงเพียงว่าไม่ติดใจค่าเสียหายมิได้ทำให้สิทธิฟ้องอาญาระงับตามกฎหมาย ศาลย้ำหลักการสำคัญว่า การยอมความในคดีอาญาต้องเคร่งครัด เพราะเกี่ยวข้องกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนและกระบวนการยุติธรรมรัฐ

3) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5410/2562 – ความผิดระหว่างญาติ ใช้มาตรา 71 ลดโทษได้

คดีนี้ จำเลยซึ่งเป็นบุตรได้กระทำความผิดทางทรัพย์ต่อมารดา โดยมีพฤติการณ์ลักเอาทรัพย์ของผู้เสียหาย ศาลรับฟังพยานหลักฐานเห็นว่าเป็นการกระทำความผิดจริง และมีความผิดต่อทรัพย์ตามมาตรา 334 และเข้าลักษณะเพิ่มโทษตามมาตรา 335 แต่เนื่องจากคู่ความเป็นบุพการีและผู้สืบสันดาน ศาลฎีกาจึงอ้างอิงมาตรา 71 วรรคสอง ว่าความผิดในกรณีดังกล่าว แม้กฎหมายมิได้กำหนดว่าเป็นความผิดอันยอมความได้ ก็ให้เป็นความผิดอันยอมความได้ และศาลมีอำนาจลดโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด การที่มารดาผู้เสียหายยืนยันให้ลงโทษ มิได้ทำให้ศาลหมดอำนาจใช้บทลดโทษ เมื่อพิจารณาพฤติการณ์แล้ว ศาลให้ลงโทษจำเลยน้อยกว่าปกติ พร้อมให้โอกาสปรับตัว ทั้งนี้เป็นหลักสำคัญของกฎหมายที่คุ้มครองความสัมพันธ์ในครอบครัวและการกลับตัวของผู้กระทำผิด

4) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2443/2556 – ถอนคำร้องทุกข์ไม่ชัดเจน คดีอาญาไม่ระงับ

Quick Summary:

ในคดีนี้ ผู้เสียหายได้ยื่นหนังสือแถลงต่อพนักงานสอบสวนว่า “ไม่ติดใจเอาความกับผู้ต้องหาในส่วนแพ่ง” และยอมรับเงินชดใช้ค่าเสียหายจากจำเลย แต่ไม่ได้ระบุชัดเจนว่าไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ผู้ต้องหาอ้างว่าการยอมความดังกล่าวทำให้สิทธิฟ้องคดีอาญาระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การถอนคำร้องทุกข์หรือการยอมความที่จะทำให้คดีอาญาระงับต้องมีคำแถลงที่ “ชัดเจนและไม่คลุมเครือ” ว่าผู้เสียหายไม่ประสงค์ดำเนินคดีอาญาต่อ การกล่าวเพียงว่า “ไม่ติดใจในคดีแพ่ง” ไม่ใช่การสละสิทธิฟ้องคดีอาญา แม้มีการชำระเงินชดใช้ให้ผู้เสียหายแล้วก็ตาม คดีอาญาจึงไม่ระงับ และรัฐยังคงมีสิทธิดำเนินคดีอาญาต่อได้

คำพิพากษานี้สะท้อนหลักการเดียวกับฎีกาที่ 3681/2568 ว่า การยอมความเฉพาะส่วนแพ่งไม่ถือเป็นการยอมความในทางอาญา เว้นแต่ผู้เสียหายแถลงชัดเจนว่าจะไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา ศาลต้องตีความโดยเคร่งครัดเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดอาญาหลุดพ้นความรับผิดโดยเจตนาแอบแฝงหรือการทำความตกลงคลุมเครือกับผู้เสียหาย

5) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1792/2545 – ยุติทางแพ่งไม่กระทบอาญา เว้นแต่แถลงชัดเจน

Quick Summary:

คดีนี้เป็นกรณีพิพาทที่ฝ่ายผู้เสียหายทำบันทึกข้อตกลงยุติข้อพิพาทเกี่ยวกับความเสียหายทางทรัพย์สินกับจำเลย และระบุว่าได้รับค่าเสียหายครบถ้วนแล้ว แต่ไม่ได้แสดงเจตนาชัดเจนว่าจะไม่ดำเนินคดีอาญา จำเลยอ้างว่าการทำบันทึกดังกล่าวถือเป็นการยอมความทั้งทางแพ่งและอาญา ศาลฎีกาไม่เห็นด้วย เห็นว่า เจตนาสละสิทธิฟ้องอาญาต้องระบุชัด ไม่ใช่สันนิษฐานจากการรับเงินชดใช้หรือการระงับข้อพิพาทแพ่ง

ศาลถือหลักว่า “คดีอาญาเป็นเรื่องสำคัญเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน” จึงต้องได้รับการยืนยันโดยชัดเจนว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีอาญา หากไม่มีข้อความดังกล่าว การยุติข้อพิพาททางแพ่งย่อมไม่มีผลตัดอำนาจฟ้องคดีอาญา ทั้งนี้เพื่อคุ้มครองประโยชน์สาธารณะและเพื่อไม่ให้ผู้กระทำผิดใช้ช่องทางการจ่ายเงินเพื่อหลีกเลี่ยงความผิดทางอาญา

6) คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2538 – คดีความผิดต่อญาติ ศาลลดโทษได้

Quick Summary:

จำเลยกระทำความผิดลักทรัพย์ของมารดา โดยมีพฤติการณ์กระทำผิดจริง แต่มีความสัมพันธ์เป็น親สายโลหิตโดยตรง ศาลต้องพิจารณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 71 วรรคสอง ซึ่งบัญญัติให้กรณีที่ผู้กระทำและผู้เสียหายเป็นบุพการีหรือผู้สืบสันดาน หรือพี่น้องร่วมบิดามารดากัน เป็นความผิดอันยอมความได้และศาลสามารถลงโทษต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดได้ เมื่อมารดาไม่ได้ใช้สิทธิยอมความจำเลยในทางอาญา ศาลยังสามารถลงโทษจำเลยได้ แต่พิจารณาลดโทษตามความสัมพันธ์ภายในครอบครัว

แนวคำพิพากษานี้สอดคล้องกับคดีฎีกาที่ 3681/2568 ที่ศาลลดโทษให้จำเลยเนื่องจากเป็นน้องร่วมบิดามารดากับผู้เสียหาย และเป็นเหตุบรรเทาโทษตาม มาตรา 71 วรรคสอง แม้ไม่มีการยอมความก็ตาม แสดงให้เห็นหลักว่า ความผิดภายในครอบครัว แม้ไม่ได้ยอมความแต่ศาลลดโทษได้เพื่อความยุติธรรมและสันติสุขในครัวเรือน

 




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567)
สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567)
ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)ป.วิ.อ. มาตรา 84 (ฎีกา 6820/2567)
(ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร
(ฎีกาที่ 3462/2567): อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและฟอกเงิน
(ฎีกาที่ 3672/2567): การทำร้ายร่างกายและการตีความการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2567: คดีฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน และประเด็นความชอบด้วยกฎหมายในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2567 การลักทรัพย์นายจ้างหลายกรรม และการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4317/2567: คดีลักทรัพย์-ขาดเจตนาทุจริต แต่ยังมีหน้าที่คืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน(ฎีกาที่ 8082/2567)
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ(ฎีกา5234/2566) article
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจพนักงานสอบสวน & ฎีกาต้องห้ามข้อเท็จจริงคดีอาวุธปืน (ฎีกา 1016/2567)
บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567)
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน