
| ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับหลักการฟ้องคดีอาญาที่ต้องตรงตามข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ ศาลฎีกาอธิบายว่าหากฟ้องระบุการกระทำต่อทรัพย์ประเภทหนึ่ง แต่พยานหลักฐานพิสูจน์ได้ว่าเป็นทรัพย์อีกประเภทหนึ่ง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ถือว่า “ฟ้องต่างข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ” จึงไม่อาจลงโทษจำเลยได้ กรณีนี้โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงรถยนต์ แต่ข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณากลับปรากฏว่าเป็นการยักยอกเงินที่ได้จากการจำนำรถยนต์ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์ ข้อเท็จจริงโดยสรุป โจทก์ (อัยการ) ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 โดยกล่าวหาว่าจำเลยหลอกลวงผู้เสียหายให้ส่งมอบรถยนต์เช่าซื้อ แล้วนำรถไปจำนำต่อผู้อื่นเพื่อเอาเงิน 66,000 บาทมาใช้ส่วนตัว โดยไม่คืนรถหรือเงินให้ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงพิพากษายกฟ้องข้อหาฉ้อโกง แต่กลับเห็นว่าการที่จำเลยนำเงิน 66,000 บาทจากการจำนำรถไปใช้ส่วนตัว เป็นการยักยอกทรัพย์ของผู้เสียหายตามมาตรา 352 จึงพิพากษาลงโทษจำคุก 1 ปี ลดเหลือ 9 เดือน และให้คืนเงินแก่ผู้เสียหาย จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โดยเห็นว่าการฟ้องของโจทก์ระบุความผิดฐานฉ้อโกงรถยนต์ ไม่ได้กล่าวถึงการยักยอกเงินจากการจำนำ จึงถือว่าข้อเท็จจริงต่างกันในข้อสาระสำคัญ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ต้องระบุรายละเอียดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ว่าจำเลยได้กระทำการใด เมื่อใด ที่ใด และต่อบุคคลหรือทรัพย์ใด เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้ ในคดีนี้ โจทก์ฟ้องว่าจำเลยหลอกลวงเอารถยนต์ไป แต่ข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณากลับปรากฏว่า จำเลยยักยอกเงิน 66,000 บาท ที่ได้จากการจำนำรถยนต์ ซึ่งไม่ตรงกับฟ้องเดิม การเปลี่ยนจาก “รถยนต์” เป็น “เงิน” ถือว่าเป็นการเปลี่ยนวัตถุแห่งความผิด ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกในสาระสำคัญของคดี เมื่อฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริงเช่นนี้ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกได้ ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องถือว่าถูกต้องแล้ว ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. ฟ้องต้องตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) และ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงฯ พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ฟ้องต้องมีรายละเอียดของการกระทำผิดที่ชัดเจน ทั้งเวลา สถานที่ บุคคล และทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง หากฟ้องคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นองค์ประกอบภายนอก เช่น ชนิดของทรัพย์ที่ถูกละเมิด ถือว่าเป็น “ฟ้องต่างข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ” ซึ่งทำให้ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้ 2. หลักความแน่นอนของข้อหา การระบุข้อเท็จจริงในฟ้องมีความสำคัญเพื่อให้จำเลยเข้าใจและเตรียมการต่อสู้คดีได้อย่างเป็นธรรม การตีความมาตรา 158 จึงเป็นการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานของผู้ต้องหา และเป็นหลักแห่งกระบวนการยุติธรรมที่ยุติธรรม 3. ผลของการยกฟ้องคดีเดิม เมื่อศาลชั้นต้นยกฟ้องข้อหาฉ้อโกง และโจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดนั้นจึงยุติ การจะนำข้อเท็จจริงอื่นมาพิจารณาลงโทษฐานยักยอกย่อมทำไม่ได้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงใหม่ที่อยู่นอกฟ้อง และไม่ได้อยู่ในอำนาจพิจารณาของศาล 4. การเปรียบเทียบระหว่างฉ้อโกงและยักยอก แม้ทั้งสองความผิดเกี่ยวข้องกับทรัพย์สิน แต่มีเจตนาและพฤติการณ์ต่างกัน ฉ้อโกงคือการหลอกลวงเพื่อให้ผู้อื่นยินยอมมอบทรัพย์ ส่วนยักยอกคือการเบียดบังทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบ แต่ถือเอาเป็นของตน การเปลี่ยนวัตถุจากรถยนต์เป็นเงินจึงเปลี่ยนลักษณะของการกระทำโดยสิ้นเชิง IRAC Analysis Issue (ประเด็น): ฟ้องของโจทก์ที่กล่าวหาจำเลยฉ้อโกงรถยนต์ แต่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้กลับเป็นการยักยอกเงินจากการจำนำรถ ถือว่าเป็น “ฟ้องต่างข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ” หรือไม่ Rule (หลักกฎหมาย): ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) บัญญัติให้ฟ้องต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิด รวมถึงวัตถุแห่งความผิด เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ และหากฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด ถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ ศาลไม่อาจลงโทษได้ Application (การวิเคราะห์ข้อเท็จจริง): โจทก์ฟ้องว่าจำเลยฉ้อโกงรถยนต์ แต่ในทางพิจารณาปรากฏเพียงว่าจำเลยยักยอกเงินจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งไม่ตรงกับข้อกล่าวหาเดิม การเปลี่ยนจาก “รถยนต์” เป็น “เงิน” จึงเป็นการเปลี่ยนวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ถือว่าต่างข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ ไม่สามารถนำไปลงโทษได้ Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกฟ้องจำเลยถูกต้องแล้ว เพราะฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ การลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกจึงทำไม่ได้ สรุปข้อคิดทางกฎหมาย คดีนี้ตอกย้ำหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรมทางอาญา คือ “ศาลจะลงโทษจำเลยได้ต่อเมื่อฟ้องตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ” หากฟ้องไม่ครอบคลุมข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นจริง จำเลยย่อมได้รับประโยชน์แห่งความสงสัย และต้องได้รับการยกฟ้อง หลักการนี้สะท้อนถึงความยุติธรรมในกระบวนการฟ้องร้องและสิทธิคุ้มครองผู้ต้องหาอย่างแท้จริง ⚖️ ประเด็นกฎหมายสำคัญที่สุดของคดี ประเด็นหลัก: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการฟ้องคดีอาญาต้อง “ตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ” หากฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ในชั้นศาล โดยเฉพาะในส่วนที่เป็น วัตถุแห่งการกระทำความผิด (องค์ประกอบภายนอก) เช่น ทรัพย์หรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ถือว่าเป็น ฟ้องต่างข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหาที่ไม่อยู่ในฟ้องเดิมได้ 📜 มาตรากฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัย 1. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) → กำหนดให้ฟ้องต้องมีรายละเอียดของการกระทำผิด รวมถึงเวลา สถานที่ บุคคล และวัตถุแห่งการกระทำ เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้อย่างเป็นธรรม 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 → ห้ามศาลลงโทษจำเลยเกินกว่าข้อหาในฟ้อง หรือในข้อเท็จจริงที่ไม่ได้ฟ้องไว้ 3. พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 → บัญญัติให้ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับมาตรา 158 และ 192 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง 🧩 Key Words สำคัญที่สุดของคดีนี้ (5 ข้อความ) 1. ฟ้องต่างข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ หมายถึงกรณีที่ฟ้องของโจทก์ระบุข้อหาและทรัพย์หรือวัตถุแห่งการกระทำหนึ่ง แต่ข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้กลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง เช่น ฟ้องฉ้อโกงรถ แต่ข้อเท็จจริงเป็นยักยอกเงิน ถือว่าเป็นข้อแตกต่างในสาระสำคัญที่ทำให้ศาลไม่สามารถลงโทษได้ 2. องค์ประกอบภายนอกของความผิด (วัตถุแห่งการกระทำ) คือสิ่งของหรือทรัพย์สินที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง หากมีการเปลี่ยนแปลงในสิ่งของนั้น เช่น จาก “รถยนต์” เป็น “เงิน” ถือเป็นการเปลี่ยนองค์ประกอบภายนอก ทำให้ฟ้องไม่ตรงกับข้อเท็จจริง 3. หลักการฟ้องต้องชัดเจน (มาตรา 158 (5)) ฟ้องต้องระบุรายละเอียดครบถ้วน เช่น การกระทำ เวลา สถานที่ บุคคล และวัตถุแห่งความผิด เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาอย่างถูกต้อง หากฟ้องคลุมเครือหรือแตกต่างจากข้อเท็จจริง ศาลต้องยกฟ้อง 4. ห้ามศาลลงโทษเกินกว่าฟ้อง (มาตรา 192) ศาลมีอำนาจพิจารณาและพิพากษาได้เฉพาะในข้อหาที่โจทก์ฟ้องไว้เท่านั้น หากข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้แตกต่างจากข้อหาที่ฟ้อง ศาลไม่สามารถเปลี่ยนข้อหาเองได้ ต้องยกฟ้องตามหลักกฎหมาย 5. สิทธิของจำเลยในกระบวนการยุติธรรม หลักนี้คุ้มครองสิทธิของจำเลยให้ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม (fair trial) โดยจำเลยต้องทราบข้อกล่าวหาอย่างชัดเจนและมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ เป็นการป้องกันมิให้รัฐใช้ฟ้องที่คลุมเครือหรือต่างข้อเท็จจริงมาลงโทษ 🔍 สรุปเชิงวิเคราะห์ คดีนี้สะท้อนหลักสำคัญของกระบวนการยุติธรรมอาญาไทยว่า “ฟ้องต้องตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ” หากฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริง ศาลไม่มีอำนาจลงโทษจำเลย แม้จำเลยจะมีพฤติการณ์ใกล้เคียงกับความผิดนั้นก็ตาม หลักนี้ช่วยยืนยันความเป็นธรรมของกระบวนการพิจารณาคดีและเป็นเกราะป้องกันสิทธิเสรีภาพของบุคคลตามรัฐธรรมนูญและหลักนิติธรรม
❖ คำถามที่ 1 (ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจ) คำถาม: เหตุใดศาลฎีกาจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยในคดีนี้ไม่อาจลงโทษฐานยักยอกทรัพย์ได้ แม้ข้อเท็จจริงจะปรากฏว่าจำเลยนำเงินจากการจำนำรถไปใช้ส่วนตัว? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลย “ฉ้อโกงรถยนต์” ของผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงที่ปรากฏในทางพิจารณากลับเป็นว่า จำเลยนำ “เงิน 66,000 บาท” ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์ไปใช้ส่วนตัว ซึ่งไม่ตรงกับข้อกล่าวหาเดิมในฟ้อง เพราะเปลี่ยนจาก “รถยนต์” เป็น “เงิน” อันเป็นการเปลี่ยนวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง จึงถือว่าข้อเท็จจริงแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) เมื่อฟ้องต่างข้อเท็จจริงในสาระสำคัญเช่นนี้ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยได้ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนยกฟ้องตามศาลอุทธรณ์
❖ คำถามที่ 2 (ข้อกฎหมายที่สำคัญที่สุด) คำถาม: หลักกฎหมายใดที่ศาลฎีกาใช้วินิจฉัยว่าการฟ้องที่แตกต่างจากข้อเท็จจริงในสาระสำคัญไม่อาจนำมาลงโทษจำเลยได้ และหลักการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่ออะไร? คำตอบ: ศาลฎีกาอ้างอิงหลักตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบ พระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ซึ่งกำหนดให้ฟ้องต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำที่กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิด รวมถึงเวลา สถานที่ บุคคล หรือทรัพย์ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้จำเลยเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้อย่างเป็นธรรม หากฟ้องแตกต่างจากข้อเท็จจริงในส่วนที่เป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิด เช่น ชนิดของทรัพย์สิน ถือว่า “ต่างกันในข้อสาระสำคัญ” และศาลไม่อาจลงโทษได้ หลักการนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของผู้ต้องหาให้ได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม และเพื่อให้กระบวนการยุติธรรมอาญามีความแน่นอนในข้อหา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2567 ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) ประกอบ พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้จำเลยคืนหรือใช้ราคาทรัพย์ที่ยังไม่ได้คืนจำนวน 1,100,000 บาท แก่ผู้เสียหาย จำเลยให้การปฏิเสธ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 จำคุก 1 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณามีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 9 เดือน กับให้จำเลยคืนเงิน 66,000 บาท แก่ผู้เสียหาย คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ โจทก์ฎีกา โดยอัยการสูงสุดรับรองให้ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ในวันเกิดเหตุตามฟ้อง ผู้เสียหายมอบรถเก๋งที่ผู้เสียหายเช่าซื้อมาให้จำเลย หลังจากนั้น วันที่ 16 ธันวาคม 2563 จำเลยนำรถยนต์คันดังกล่าวไปจำนำไว้แก่ผู้อื่น และนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์คันดังกล่าวไป สำหรับความผิดฐานฉ้อโกง ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์ไม่อุทธรณ์ จึงยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์ไปนั้น เป็นการยักยอกเงิน 66,000 บาท ของผู้เสียหาย และพิพากษาลงโทษจำเลยฐานยักยอกทรัพย์นั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 2 วินิจฉัยว่า คำพิพากษาของศาลชั้นต้นดังกล่าวต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า โจทก์ฟ้องว่าจำเลยโดยทุจริต หลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จ และโดยการหลอกลวงดังว่านั้น จำเลยได้ไปซึ่งรถยนต์ตามฟ้องจากผู้เสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกง กับให้คืนหรือใช้ราคารถยนต์แก่ผู้เสียหาย ศาลชั้นต้นเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยได้กระทำผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลยและพิพากษายกฟ้องโจทก์ เท่ากับว่าได้มีการวินิจฉัยข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีแล้วว่าโจทก์ไม่มีพยานหลักฐานมาสืบให้ศาลเห็นว่าจำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้อง เมื่อโจทก์ไม่อุทธรณ์ ความผิดฐานฉ้อโกงย่อมยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จึงฎีกาขอให้ศาลฎีกาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิจารณาพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงไม่ได้ ส่วนที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัยต่อไปทำนองว่า ผู้เสียหายรู้เห็นยินยอมให้จำเลยนำรถยนต์ตามฟ้องไปจำนำไว้แก่ผู้อื่นนั้น แม้จะรับฟังเป็นความจริงดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย และข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติดังวินิจฉัยข้างต้นว่า เมื่อจำเลยนำรถยนต์ตามฟ้องไปจำนำไว้แก่ผู้อื่น จำเลยนำเงิน 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์คันดังกล่าวไป จะเป็นการเบียดบังเอาเงินของผู้เสียหาย 66,000 บาท ที่ได้รับจากการจำนำรถยนต์ไปโดยทุจริต เป็นความผิดฐานยักยอกดังที่ศาลชั้นต้นวินิจฉัย อันเป็นกรณีที่ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องระหว่างการกระทำผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกก็ตาม แต่ข้อแตกต่างดังกล่าวนั้นเป็นเพียงตัวอย่างที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสาม ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติไว้ว่า มิให้ถือว่าต่างกันในข้อสาระสำคัญเท่านั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5) ประกอบพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแขวงและวิธีพิจารณาความอาญาในศาลแขวง พ.ศ. 2499 มาตรา 4 บัญญัติให้ฟ้องโจทก์ต้องมีรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี ดังนั้น หากฟ้องโจทก์แตกต่างจากข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาในรายละเอียดเกี่ยวกับบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นองค์ประกอบภายนอกของความผิดในส่วนที่เป็นวัตถุแห่งการกระทำที่กฎหมายมุ่งคุ้มครอง ย่อมถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยไม่ได้กระทำความผิดต่อรถยนต์ตามที่โจทก์ฟ้อง หากแต่จำเลยกระทำต่อเงินที่จำเลยได้รับจากการจำนำรถยนต์ ซึ่งโจทก์ไม่ได้ฟ้องและไม่ได้ประสงค์ให้ลงโทษจำเลย ในกรณีเช่นนี้ต้องถือว่าแตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ จึงลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอกไม่ได้ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ย่อมพิพากษากลับคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำเลยในความผิดฐานยักยอก เป็นให้ยกฟ้องได้ โดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปให้ศาลชั้นต้นพิจารณาพิพากษาให้ถูกต้องตามข้อเท็จจริงที่ได้จากการสืบพยานดังที่โจทก์อ้างในฎีกา ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกฟ้องมานั้น ชอบด้วยกฎหมายแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 🔹 หมวดที่ 1: ฟ้องต่างข้อเท็จจริงในข้อสาระสำคัญ (ฟ้องไม่ตรงกับพยานหลักฐาน) 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3872/2557 ประเด็น: ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ระบุว่าจำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหาย แต่ข้อเท็จจริงกลับปรากฏว่าทรัพย์ดังกล่าวเป็นของกลางในคดีอื่น ซึ่งผู้เสียหายไม่มีกรรมสิทธิ์ จึงถือว่าฟ้องต่างข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ หลักกฎหมายที่ใช้: ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) เปรียบเทียบ: เช่นเดียวกับคดี 2427/2567 ฟ้องของโจทก์ไม่ตรงกับทรัพย์ที่ถูกละเมิด (รถยนต์ vs. เงิน) ศาลจึงเห็นว่าเป็นฟ้องที่ต่างข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ ไม่อาจลงโทษจำเลยได้ 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2772/2548 ประเด็น: โจทก์ฟ้องจำเลยว่าฉ้อโกงโดยการหลอกลวงให้โอนเงิน แต่ข้อเท็จจริงปรากฏว่าเป็นการยักยอกเงินที่ได้มาจากการถือแทนผู้อื่น ศาลวินิจฉัยว่าฟ้องต่างข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ เพราะวัตถุแห่งความผิด (ทรัพย์ที่ได้มาโดยหลอกลวง vs. ทรัพย์ที่ถือแทน) ไม่ตรงกัน เปรียบเทียบ: สะท้อนหลักเดียวกับคดี 2427/2567 ว่าการเปลี่ยนจากการหลอกลวงเอาทรัพย์ เป็นการเบียดบังทรัพย์ ถือเป็น “ข้อเท็จจริงต่างในสาระสำคัญ” ไม่สามารถลงโทษในข้อหาที่ไม่ได้ฟ้องได้ 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2546 ประเด็น: โจทก์ฟ้องว่าจำเลยยักยอกทรัพย์ แต่ข้อเท็จจริงในชั้นพิจารณากลับเป็นการลักทรัพย์ ศาลชี้ว่าทั้งสองความผิดมีองค์ประกอบภายนอกต่างกัน ฟ้องจึงต่างข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ เปรียบเทียบ: เหมือนคดี 2427/2567 ที่เปลี่ยนจากรถยนต์เป็นเงิน ซึ่งเปลี่ยนลักษณะวัตถุแห่งความผิดและพฤติการณ์โดยสิ้นเชิง 🔹 หมวดที่ 2: การลงโทษข้อหาอื่นนอกเหนือจากที่ฟ้อง (หลักการห้ามศาลพิพากษาเกินฟ้อง) 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1116/2559 ประเด็น: โจทก์ฟ้องจำเลยฐาน “ทำร้ายร่างกาย” แต่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐาน “บุกรุกเคหสถาน” ซึ่งไม่ใช่ข้อหาที่โจทก์ฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผิดหลัก มาตรา 192 แห่ง ป.วิ.อ. เปรียบเทียบ: สอดคล้องกับคดี 2427/2567 ที่ศาลยืนยันว่าศาลชั้นต้นไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหายักยอกได้ เพราะไม่ได้อยู่ในฟ้องเดิมของโจทก์ 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6046/2560 ประเด็น: โจทก์ฟ้องจำเลยฐานฉ้อโกง แต่ศาลชั้นต้นลงโทษฐานยักยอก ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าศาลไม่อาจพิพากษาในความผิดที่ไม่ได้ฟ้องได้ แม้ข้อเท็จจริงใกล้เคียงกัน เพราะเป็นการละเมิดสิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดี เปรียบเทียบ: เนื้อหานี้เกือบตรงกับคดี 2427/2567 โดยตรง ทั้งในแง่ข้อเท็จจริง (ฉ้อโกง vs. ยักยอก) และหลักกฎหมาย (มาตรา 158 และ 192) 6. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 501/2550 ประเด็น: โจทก์ฟ้องจำเลยฐานยักยอกทรัพย์ แต่พยานหลักฐานฟังได้ว่าเป็นการลักทรัพย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์ไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในฟ้อง เปรียบเทียบ: ตอกย้ำหลัก “ศาลไม่มีอำนาจลงโทษเกินกว่าที่ฟ้อง” ซึ่งใช้ในคดี 2427/2567 เช่นกัน 🔹 หมวดเพิ่มเติม: หลักการตีความ “ข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ” 7. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4234/2545 ประเด็น: ฟ้องว่าจำเลยรับของโจรจากรถยนต์คันหนึ่ง แต่ศาลรับฟังได้ว่าเป็นรถอีกคันหนึ่ง ศาลวินิจฉัยว่าแม้คล้ายกันแต่ถือเป็นข้อเท็จจริงต่างในสาระสำคัญ เปรียบเทียบ: คล้ายกับคดี 2427/2567 ที่ความแตกต่างของ “วัตถุแห่งการกระทำ” (รถยนต์ vs. เงิน) เป็นสาระสำคัญ ไม่ใช่เพียงรายละเอียดเล็กน้อย 🔹 บทสรุปเชิงเปรียบเทียบทางวิชาการ คดี 2427/2567 สอดคล้องกับแนววินิจฉัยของศาลฎีกาในหลายคดีที่เน้นว่า “การฟ้องคดีอาญาต้องตรงกับข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นการฟ้องที่ไม่ชอบ และศาลไม่อาจลงโทษจำเลยในข้อหาที่มิได้ฟ้องได้”
ทั้งนี้ ศาลฎีกาได้ตีความอย่างเคร่งครัดในเรื่อง “ข้อเท็จจริงในสาระสำคัญ” โดยเฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับ วัตถุแห่งการกระทำ หรือ องค์ประกอบภายนอกของความผิด เพื่อคุ้มครองสิทธิของจำเลยในการต่อสู้คดีและรักษาความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา |




.jpg)