ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ

ทนายความ ฟ้องหย่า lawyer

ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ 

แม้โจทก์จะยื่นฟ้องเฉพาะความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่าผู้ร้องได้รับอันตรายสาหัสด้วย และแม้คดีส่วนแพ่งของผู้ร้องจะขาดอายุความเนื่องจากไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาแก่จำเลย เมื่อจำเลยไม่ได้ยกอายุความส่วนแพ่งขึ้นต่อสู้ในคำให้การ จึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ ที่ศาลชั้นต้นหยิบยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7147/2562

แม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยเฉพาะความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตาม ป.อ. มาตรา 291 แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับอันตรายสาหัส ผู้ร้องจึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องทางแพ่งฐานมูลละเมิดเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ร่างกายโดยอาศัยมูลคดีอาญาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 44/1 และแม้คดีส่วนแพ่งของผู้ร้องจะขาดอายุความเนื่องจากไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 300 ภายในอายุความสิบปีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 51 ประกอบ ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคสอง ตามที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ ป.วิ.อ. มาตรา 40 ก็บัญญัติว่า คำพิพากษาส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ในคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ชอบ ต้องห้ามตาม ป.พ.พ. มาตรา 193/29 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 142 (5) และถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่จำเลยสามารถหยิบยกขึ้นในชั้นฎีกาได้

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291

จำเลยให้การปฏิเสธ

ระหว่างพิจารณา นางสาวพรรณนภา ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่ารักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการรักษาพยาบาล 25,000 บาท ค่าขาดรายได้ 12,500 บาท ค่าเสียความสามารถในการประกอบอาชีพในอนาคต 300,000 บาท ค่าเสียหายได้รับความทุกข์ทรมานทางจิตใจ 300,000 บาท รวมเป็นเงิน 637,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง

จำเลยให้การคดีส่วนแพ่งขอให้ยกคำร้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องและยกคำร้องของผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 (เดิม) จำคุก 3 ปี ให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้ร้องเป็นเงิน 237,500 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 1 มีนาคม 2547 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่ผู้ร้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้เป็นพับ

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่รับฟังเป็นยุติในชั้นฎีกามีว่า เมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2557 เวลาประมาณ 20 นาฬิกา มีผู้ขับรถบรรทุกหกล้อของบริษัทอาคิเต็กกรุ๊ป จำกัด แล่นมาตามถนนบางขุนเทียน - ชายทะเล จากถนนพระราม 2 มุ่งหน้าชายทะเล เมื่อถึงที่เกิดเหตุซึ่งถนนแบ่งเป็น 2 ช่องเดินรถ รถแล่นสวนทางกัน รถบรรทุกหกล้อคันดังกล่าวเลี้ยวขวาเข้าบริษัทอาคิเต็กกรุ๊ป จำกัด ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ขณะนั้นมีนายเกรียงศักดิ์ ผู้ตาย ขับรถจักรยานยนต์ หมายเลขทะเบียน บรว กรุงเทพมหานคร 648 มีนางสาวพรรณนภา ผู้ร้องนั่งซ้อนท้ายแล่นสวนมาแล้วพุ่งชนรถบรรทุกหกล้อ เป็นเหตุให้ผู้ตายได้รับบาดเจ็บและถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา ส่วนผู้ร้องได้รับบาดเจ็บสาหัส สภาพความเสียหายของรถบรรทุกหกล้อและรถจักรยานยนต์ปรากฏตามรายงานผลการตรวจสภาพรถที่เกิดอุบัติเหตุ บันทึกผลการตรวจพิสูจน์สภาพและเครื่องอุปกรณ์รถยนต์ที่เกิดเหตุและภาพถ่ายที่เกิดเหตุคดีจราจร คนขับรถบรรทุกหกล้อได้หลบหนีไป พันตำรวจโทชินวุฒิ พนักงานสอบสวน มีความเห็นว่าเหตุประมาทเกิดจากจำเลยผู้ขับรถบรรทุก จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายจับจำเลยในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและได้รับอันตรายสาหัส เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2560 จำเลยถูกเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมตามหมายจับ

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการแรกว่า จำเลยเป็นคนขับรถบรรทุกหกล้อในวันเกิดเหตุหรือไม่ เห็นว่า เหตุที่มีการจับกุมจำเลยดำเนินคดีนี้สืบเนื่องจากบริษัทอาคิเต็กกรุ๊ป จำกัด โดยนายชัยยุทธ ผู้จัดการฝ่ายบุคคล ยืนยันต่อพันตำรวจโทชินวุฒิว่า จำเลยเป็นพนักงานขับรถของบริษัทและในวันเกิดเหตุจำเลยเป็นคนขับรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 92 - 1758 กรุงเทพมหานคร คันเกิดเหตุ นอกจากนี้ยังมอบสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน และสำเนาใบอนุญาตขับรถบรรทุกของจำเลยที่จำเลยนำมายื่นขณะสมัครเป็นพนักงานขับรถของบริษัทให้แก่พันตำรวจโทชินวุฒิไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งจำเลยนำสืบรับในส่วนนี้ว่าเอกสารดังกล่าวเป็นของจำเลย หลังเกิดเหตุจำเลยยังได้โทรศัพท์แจ้งเหตุให้นายชัยยุทธทราบก่อนจะหลบหนีไป อันเป็นการยืนยันต่อนายชัยยุทธว่าจำเลยเป็นคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุจริง นายชัยยุทธเป็นผู้จัดการฝ่ายบุคคลของบริษัทไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อน เชื่อว่าเบิกความไปตามความจริง ดังนี้ แม้โจทก์ไม่มีประจักษ์พยาน แต่พยานแวดล้อมกรณีที่โจทก์นำสืบมีน้ำหนักให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นคนขับรถบรรทุกคันเกิดเหตุจริง ที่จำเลยนำสืบต่อสู้ว่า นายมานพซึ่งเป็นคู่แฝดกับจำเลย เป็นคนนำเอกสารของจำเลยมาแอบอ้างเป็นจำเลยเพื่อสมัครเป็นพนักงานขับรถของบริษัทอาคิเต็กกรุ๊ป จำกัด นั้น เห็นว่า หลังเกิดเหตุจำเลยได้หลบหนีไป เจ้าพนักงานตำรวจเพิ่งติดตามจับกุมจำเลยได้หลังจากนั้นเป็นเวลากว่า 10 ปี ในวันที่จำเลยถูกจับกุม จำเลยเพียงแต่ให้การปฏิเสธ จำเลยเพิ่งยกข้อเท็จจริงดังกล่าวขึ้นภายหลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวและได้พบกับทนายความแล้ว แม้จำเลยจะมีนายมานพเป็นพยานเบิกความสนับสนุน แต่นายมานพเป็นพี่น้องกับจำเลย ย่อมอยู่ในวิสัยที่จะเบิกความช่วยเหลือจำเลยให้ไม่ต้องรับโทษ ทั้งนายมานพยังเบิกความเพิ่มเติมด้วยว่า ในวันเกิดเหตุขณะพยานขับรถกลับบริษัท พยานรู้สึกปวดท้องจึงลงจากรถและนั่งรถแท็กซี่ไปหาหมอที่คลินิกแห่งหนึ่ง และขณะอยู่ที่คลินิกพยานรู้สึกปวดท้องมากขึ้น พยานจึงโทรศัพท์แจ้งให้นายประภาสเด็กประจำรถเป็นคนขับรถกลับบริษัท ในเวลาต่อมาได้รับแจ้งจากนายประภาสว่าเกิดอุบัติเหตุรถชน เท่ากับว่านายมานพไม่ได้สมอ้างรับผิดแทนจำเลย เพียงแต่ซัดทอดนายประภาสเพื่อให้ตนเองพ้นผิดเท่านั้น จึงไม่มีน้ำหนักในการรับฟัง นอกจากนี้เมื่อพิจารณาข้อต่อสู้ของจำเลยโดยละเอียดแล้ว เห็นว่า การขับรถบรรทุกแตกต่างจากการขับรถยนต์ทั่วไป เนื่องจากสภาพรถบรรทุกมีขนาดใหญ่กว่ารถยนต์ทั่วไปมาก ผู้ขับขี่จึงต้องอาศัยทักษะและความชำนาญเป็นพิเศษ และต้องได้รับใบอนุญาตจากกรมการขนส่งทางบกเป็นการเฉพาะ โดยทั่วไปแล้วผู้ขอใบอนุญาตขับรถบรรทุกมักประกอบอาชีพรับจ้างขับรถบรรทุก ที่จำเลยนำสืบว่าประกอบอาชีพทำไร่ข้าวโพดและมีรถไถไว้ใช้งานในไร่นั้นจำเลยจึงไม่มีความจำเป็นต้องมีใบอนุญาตขับรถบรรทุก ส่วนนายมานพหากประสงค์จะสมัครเป็นพนักงานขับรถบรรทุก แสดงว่านายมานพสามารถขับรถบรรทุกได้ นายมานพน่าจะไปดำเนินการขอใบอนุญาตขับรถบรรทุกเป็นของตนเอง ไม่มีเหตุผลหรือความจำเป็นที่ต้องลักใบอนุญาตขับรถบรรทุกของจำเลยไปแอบอ้างเป็นจำเลยเพื่อสมัครงาน และเมื่อพิจารณาในส่วนของสำเนาใบอนุญาตขับรถบรรทุกของจำเลยในช่วงเกิดเหตุแล้ว ใบอนุญาตขับรถบรรทุกของจำเลยจะสิ้นอายุลงในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2547 เท่ากับว่าหลังจากนั้นนายมานพจะมีเพียงใบอนุญาตขับรถบรรทุกที่หมดอายุแล้วเท่านั้น ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกเจ้าพนักงานตำรวจเรียกตรวจและจับกุม และที่จำเลยอ้างว่ามีการแจ้งความว่าใบอนุญาตขับรถบรรทุกสูญหายนั้น จำเลยก็ไม่มีหลักฐานการแจ้งความมาแสดง จึงเป็นการกล่าวอ้างลอย ๆ ในทางกลับกันปรากฏว่ามีการต่อใบอนุญาตต่อเนื่องกับวันสิ้นสุดอายุของใบอนุญาตฉบับเดิม ราวกับว่าใบอนุญาตขับรถบรรทุกของจำเลยไม่เคยสูญหาย พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมานั้น ไม่สมเหตุผลและมีข้อพิรุธหลายประการดังที่ได้วินิจฉัย จึงไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ ส่วนที่จำเลยฎีกาในประเด็นอื่นนั้นไม่จำต้องวินิจฉัยเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่าจำเลยเป็นพนักงานขับรถของบริษัทอาคิเต็กกรุ๊ป จำกัด และในวันเกิดเหตุจำเลยเป็นคนขับรถบรรทุก หมายเลขทะเบียน 92 - 1758 กรุงเทพมหานคร

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการต่อไปว่า จำเลยเป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทหรือไม่ เห็นว่า บริเวณที่เกิดเหตุแบ่งเป็น 2 ช่องเดินรถ ไปกลับฝั่งละหนึ่งช่องทาง ไม่มีเกาะกลางถนน จุดที่รถผู้ตายชนกับรถของจำเลยอยู่ในช่องเดินรถของผู้ตายโดยไม่ปรากฏรอยห้ามล้อของรถของผู้ตายก่อนถึงจุดชน พบเพียงรอยครูดบนถนนห่างจากจุดชนเพียง 0.5 เมตร ผู้ร้องเบิกความว่า บริเวณที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างจากไฟริมทางมองเห็นชัดเจน จึงน่าเชื่อว่าจำเลยเลี้ยวรถกะทันหันตัดหน้ารถผู้ตาย ทำให้ผู้ตายไม่ทันได้ห้ามล้อ ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจุดชนอยู่บริเวณตำแหน่งถังน้ำมันซึ่งอยู่ด้านท้ายของรถบรรทุกหกล้อแสดงว่าจำเลยขับรถผ่านช่องทางจราจรเข้าไปจนเกือบจะพ้นทั้งคันแล้ว หากจำเลยขับรถตัดหน้ารถของผู้ตายจริงตำแหน่งที่ชนน่าจะอยู่ด้านหน้าหรือค่อนมาทางกลางรถมากกว่านั้น เห็นว่า ช่องทางที่ผู้ตายขับรถมุ่งหน้าไปเป็นทางเอก ตำแหน่งที่จำเลยจะเลี้ยวรถเป็นทางโท จำเลยจึงต้องปล่อยให้รถที่แล่นมาในทางเอกผ่านพ้นไปก่อนและรอจนมั่นใจว่าสามารถเลี้ยวรถพ้นทั้งคัน การที่จำเลยเลี้ยวรถแล้วเกิดเฉี่ยวชนกับรถที่แล่นสวนทางมาในทางเอก ย่อมต้องฟังว่าเป็นความประมาทของจำเลย ส่วนที่จำเลยฎีกาทำนองว่าจากสภาพความเสียหายรถจักรยานยนต์ของผู้ตายแสดงว่าผู้ตายขับรถมาด้วยความเร็ว ผู้ตายจึงมีส่วนประมาทด้วยนั้นก็เป็นเพียงข้อสันนิษฐานของจำเลยที่ไม่มีหลักฐานสนับสนุน และแม้ฟังได้ว่าผู้ตายมีส่วนประมาท ก็เป็นคนละส่วนกับความประมาทของจำเลย ซึ่งแยกต่างหากจากกัน กรณีจึงไม่อาจลบล้างข้อเท็จจริงว่าจำเลยขับรถโดยประมาทไปได้ พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมารับฟังได้โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยขับรถโดยประมาท จำเลยจึงมีความผิดตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยในประการสุดท้ายว่า คดีส่วนแพ่งของผู้ร้องขาดอายุความหรือไม่ เห็นว่า แม้โจทก์จะยื่นฟ้องจำเลยเฉพาะความผิดฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 แต่โจทก์ก็บรรยายฟ้องว่า การกระทำของจำเลยเป็นเหตุให้ผู้ร้องได้รับอันตรายสาหัส ผู้ร้องจึงเป็นผู้เสียหายมีสิทธิเรียกร้องทางแพ่งฐานมูลละเมิดเรียกร้องให้จำเลยชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ร่างกายโดยอาศัยมูลคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/1 และแม้คดีส่วนแพ่งของผู้ร้องจะขาดอายุความเนื่องจากไม่มีการฟ้องร้องดำเนินคดีอาญาแก่จำเลยในข้อหาประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 ภายในอายุความสิบปีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 51 ประกอบประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 448 วรรคสอง ตามที่จำเลยฎีกาก็ตาม แต่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 40 ก็บัญญัติว่า คำพิพากษาส่วนแพ่งต้องเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ดังนั้น เมื่อจำเลยไม่ได้ยกปัญหาเรื่องอายุความขึ้นต่อสู้ในคำให้การ คดีจึงไม่มีประเด็นเรื่องอายุความ การที่ศาลชั้นต้นหยิบยกเอาอายุความมาเป็นเหตุยกคำร้องของผู้ร้องจึงไม่ชอบ ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/29 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142 (5) และถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาโดยชอบในศาลชั้นต้น ทั้งไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่จำเลยสามารถหยิบยกขึ้นในชั้นฎีกาได้ ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ข้อห้ามฎีกาคดีอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง, การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง, คดีอาวุธปืนและอาวุธเถื่อน,
การกระทำโดยบันดาลโทสะ, โทษสถานเบาและการรอการลงโทษ, สิทธิยกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน