

ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ, คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เพื่อขอให้ศาลลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ใหม่โดยโจทก์เห็นว่าศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ จึงถือว่าไม่เป็นไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 185 วรรคสอง และมาตรา 186 (6) (8) ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยเองโดยไม่ย้อนสำนวนเพื่อไม่ให้คดีล่าช้า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567 คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ขอให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาโดยชอบจึงถือว่าเป็นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 แล้ว ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่จะลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ป.วิ.อ. ว่าด้วยการพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8)
*****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 334, 335, 336 ทวิ และเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย *จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ *ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง, 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83) จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ต่อครั้ง ภายในเวลา 1 ปี ให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 *โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน *โจทก์ฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้เพิ่มโทษปรับแก่จำเลยที่ 2 นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ขอให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์กับส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาโดยชอบ จึงถือว่าเป็นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 แล้ว ดังนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่จะลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8) อย่างไรก็ตามเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว เพื่อมิได้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า ความผิดของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 อัตราโทษปรับขั้นต่ำปรับตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท ก่อนลดโทษเป็นการลงโทษปรับต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด และศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้เพิ่มเติมโทษปรับให้ถูกต้องตามที่โจทก์อุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น *พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 30,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 15,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แล้ว คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 15,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
• คำพิพากษาศาลฎีกา 286/2567 • การเพิ่มโทษปรับตามกฎหมาย • มาตรา 185 วรรคสอง อธิบาย • มาตรา 186 (6) และ (8) ความหมาย • โทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญา • อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์ • ลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 78 • ความผิดตามมาตรา 335 และ 336 ทวิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567 (สรุปย่อ) คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 เพื่อขอให้ศาลลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณา อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ถือว่าไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง และมาตรา 186 (6) (8) คำพิพากษาศาลชั้นต้น •จำเลยทั้งสองรับสารภาพ •ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง, 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 oจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 12 เดือน (หลังจากเพิ่มโทษและลดโทษ) oจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 9 เดือน ปรับ 5,000 บาท และให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไข •โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 •พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลฎีกา •ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้เพิ่มโทษปรับแก่จำเลยที่ 2 แต่เมื่อไม่ได้ดำเนินการ ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยเองเพื่อไม่ให้คดีล่าช้า •จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 ซึ่งกำหนดโทษปรับขั้นต่ำ 30,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นปรับเพียง 10,000 บาท ถือว่าต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด •พิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 30,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือปรับ 15,000 บาท รวมกับโทษจำคุกเดิมเป็นจำคุก 9 เดือน ปรับ 15,000 บาท นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8
•หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง, มาตรา 186 (6), และ มาตรา 186 (8) •มาตรา 185 วรรคสอง •มาตรา 185 วรรคสอง กำหนดให้ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยคำอุทธรณ์ในทุกประเด็นที่ยื่นขึ้นไป โดยเฉพาะในกรณีที่คำอุทธรณ์เกี่ยวกับการเพิ่มโทษหรือการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้อง การละเลยไม่วินิจฉัยคำอุทธรณ์ดังกล่าวถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ส่งผลให้คำพิพากษาอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับโทษปรับของจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่าไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรานี้ •มาตรา 186 (6) •มาตรา 186 (6) ระบุว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องแสดงเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน เพื่อให้ชัดเจนว่าศาลใช้ดุลพินิจอย่างไร การไม่แสดงเหตุผลดังกล่าวอาจทำให้คำพิพากษาไม่ชอบหรือถูกแก้ไขได้ เช่นในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยถึงความถูกต้องของโทษปรับที่ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือว่าไม่เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 186 (6) •มาตรา 186 (8) •มาตรา 186 (8) กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องมีความชัดเจนและครบถ้วนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยคำอุทธรณ์ในเรื่องสำคัญ เช่น การลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 186 (8) เพราะทำให้คำพิพากษาขาดความสมบูรณ์และอาจเกิดความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม •การเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับคดี •ในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 185 วรรคสอง เพราะไม่ได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับโทษปรับจำเลยที่ 2 รวมถึงขัดต่อมาตรา 186 (6) และ 186 (8) ที่กำหนดให้คำพิพากษาต้องมีความชัดเจนและครบถ้วน ศาลฎีกาจึงตัดสินแก้ไขคำพิพากษาเองเพื่อให้คดีมีความถูกต้องตามกฎหมายและไม่ล่าช้า •หลักกฎหมายเหล่านี้สะท้อนถึงความสำคัญของการพิจารณาคดีที่โปร่งใสและครบถ้วน เพื่อรักษาความยุติธรรมและความชอบด้วยกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม
***บทความ: การเพิ่มโทษ การลดโทษ การรอการลงโทษ และการใช้ดุลพินิจในคดีอาญา 1. การเพิ่มโทษ การลดโทษ การรอการลงโทษ และการใช้ดุลพินิจ ในคดีอาญา ศาลมีดุลพินิจในการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือรอการลงโทษ โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงของคดีและพฤติการณ์ของจำเลย หลักเกณฑ์สำคัญ ได้แก่: •การเพิ่มโทษ: ใช้ในกรณีที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำ และจำเลยกระทำผิดซ้ำหรือมีพฤติการณ์เลวร้าย เช่น ฐานไม่เข็ดหลาบ •การลดโทษ: อาจลดตามกฎหมาย เช่น การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หรือมีเหตุบรรเทาโทษ •การรอการลงโทษ: ใช้กับจำเลยที่มีพฤติการณ์เหมาะสม โดยต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม ตามเงื่อนไขของมาตรา 56 บทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษกึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยรับสารภาพและให้ความร่วมมือ 2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 การรอการลงโทษใช้กับจำเลยที่ไม่เคยกระทำผิดร้ายแรง หรือไม่เป็นอันตรายต่อสังคม
**2. วิธีการเพิ่มโทษและลดโทษ การเพิ่มโทษ การเพิ่มโทษมักใช้ในกรณีที่จำเลยกระทำผิดซ้ำ หรือมีฐานไม่เข็ดหลาบ เช่น ตาม มาตรา 92 ที่กำหนดให้เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งหากจำเลยกระทำผิดอีกภายในเวลาที่กำหนดหลังถูกลงโทษครั้งแรก การลดโทษ การลดโทษเกิดจากการใช้ดุลพินิจของศาล โดยพิจารณาจาก: •การรับสารภาพ (มาตรา 78) •เหตุบรรเทาโทษ เช่น จำเลยช่วยเหลือผู้เสียหาย หรือพฤติการณ์ที่น่าสงสาร *3. การขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและกระทำผิดซ้ำ ฐานไม่เข็ดหลาบและกระทำผิดซ้ำ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ระบุว่า หากผู้กระทำผิดถูกลงโทษไปแล้วและมากระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีกภายในระยะเวลา 5 ปี ให้เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้
**ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4383/2556 ศาลลงโทษจำเลยในคดียักยอกทรัพย์ และเพิ่มโทษจำเลย 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 เนื่องจากจำเลยกระทำผิดซ้ำในระยะเวลา 3 ปีหลังจากการลงโทษในคดีก่อน 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2563 ศาลลดโทษให้จำเลยตามมาตรา 78 เพราะจำเลยรับสารภาพตลอดข้อหา และให้รอการลงโทษตามมาตรา 56 เนื่องจากพฤติการณ์เหมาะสม 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567 ศาลเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 92 เพราะจำเลยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อน และให้ลดโทษกึ่งหนึ่งแก่จำเลยทั้งสองตามมาตรา 78 จากการรับสารภาพ 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2564 ศาลตัดสินเพิ่มโทษจำเลยในคดีลักทรัพย์เพราะจำเลยไม่เข็ดหลาบ ศาลเห็นว่าโทษปรับในคดีแรกไม่เพียงพอที่จะปรับปรุงพฤติกรรม สรุป การเพิ่มโทษ ลดโทษ การรอการลงโทษ และการใช้ดุลพินิจของศาลเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพิจารณาคดีอาญา เพื่อให้โทษที่เหมาะสมกับการกระทำผิด ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริง พฤติการณ์ของจำเลย และบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น มาตรา 78, 56, และ 92 พร้อมทั้งยึดหลักความยุติธรรมและความเหมาะสมในแต่ละกรณี |