ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,

 ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ 

 

ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,

คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เพื่อขอให้ศาลลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ใหม่โดยโจทก์เห็นว่าศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยเรื่องที่โจทก์อุทธรณ์ จึงถือว่าไม่เป็นไปตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 185 วรรคสอง และมาตรา 186 (6) (8) ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยเองโดยไม่ย้อนสำนวนเพื่อไม่ให้คดีล่าช้า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567

คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ขอให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่า ศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์ส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาโดยชอบจึงถือว่าเป็นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 แล้ว ดังนั้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่จะลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติ ป.วิ.อ. ว่าด้วยการพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8)


*****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 334, 335, 336 ทวิ และเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามกฎหมาย

*จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพ และจำเลยที่ 1 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ

*ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง, 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83 (ที่ถูก ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83) จำคุกคนละ 1 ปี 6 เดือน และปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท เพิ่มโทษจำเลยที่ 1 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 1 ปี 12 เดือน จำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 12 เดือน คงจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน และปรับ 5,000 บาท โทษจำคุกจำเลยที่ 2 ให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยที่ 2 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติทุก 4 เดือน ต่อครั้ง ภายในเวลา 1 ปี ให้กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากจำเลยที่ 2 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

*โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

*ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน

*โจทก์ฎีกา

*ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้เพิ่มโทษปรับแก่จำเลยที่ 2 นั้น ชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 ขอให้ลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ซึ่งศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์ของโจทก์กับส่งให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาโดยชอบ จึงถือว่าเป็นอุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 แล้ว ดังนั้นศาลอุทธรณ์ภาค 8 ต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ว่ามีเหตุที่จะลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ตามที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษหรือไม่ด้วย การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ จึงเป็นกรณีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาว่าด้วยการพิจารณาและพิพากษา คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง, 186 (6) (8) อย่างไรก็ตามเมื่อคดีขึ้นสู่ศาลฎีกาแล้ว เพื่อมิได้คดีต้องล่าช้า ศาลฎีกาเห็นควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวโดยไม่ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณาพิพากษาใหม่ เห็นว่า ความผิดของจำเลยที่ 2 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 อัตราโทษปรับขั้นต่ำปรับตั้งแต่ 30,000 บาท แต่ที่ศาลชั้นต้นลงโทษปรับจำเลยที่ 2 จำนวน 10,000 บาท ก่อนลดโทษเป็นการลงโทษปรับต่ำกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนด และศาลอุทธรณ์ภาค 8 มิได้เพิ่มเติมโทษปรับให้ถูกต้องตามที่โจทก์อุทธรณ์ จึงเป็นการไม่ชอบ ฎีกาโจทก์ฟังขึ้น

*พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 30,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงปรับ 15,000 บาท เมื่อรวมกับโทษจำคุกจำเลยที่ 2 แล้ว คงจำคุก 9 เดือน และปรับ 15,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8


•  คำพิพากษาศาลฎีกา 286/2567

•  การเพิ่มโทษปรับตามกฎหมาย

•  มาตรา 185 วรรคสอง อธิบาย

•  มาตรา 186 (6) และ (8) ความหมาย

•  โทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญา

•  อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์

•  ลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 78

•  ความผิดตามมาตรา 335 และ 336 ทวิ


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567 (สรุปย่อ)

คดีนี้โจทก์ยื่นอุทธรณ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2565 เพื่อขอให้ศาลลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย โดยอ้างว่าศาลชั้นต้นลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ศาลชั้นต้นรับอุทธรณ์และส่งเรื่องให้ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิจารณา อย่างไรก็ตาม ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยเรื่องดังกล่าว ถือว่าไม่เป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง และมาตรา 186 (6) (8)

คำพิพากษาศาลชั้นต้น

•จำเลยทั้งสองรับสารภาพ

•ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง, 336 ทวิ ประกอบมาตรา 83

oจำคุกจำเลยที่ 1 เป็นเวลา 12 เดือน (หลังจากเพิ่มโทษและลดโทษ)

oจำคุกจำเลยที่ 2 เป็นเวลา 9 เดือน ปรับ 5,000 บาท และให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไข

•โจทก์และจำเลยที่ 1 อุทธรณ์

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

•พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกา

•ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ควรวินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้เพิ่มโทษปรับแก่จำเลยที่ 2 แต่เมื่อไม่ได้ดำเนินการ ศาลฎีกาจึงเห็นควรวินิจฉัยเองเพื่อไม่ให้คดีล่าช้า

•จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) (12) วรรคสอง ประกอบมาตรา 336 ทวิ, 83 ซึ่งกำหนดโทษปรับขั้นต่ำ 30,000 บาท แต่ศาลชั้นต้นปรับเพียง 10,000 บาท ถือว่าต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด

•พิพากษาแก้ให้ปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 30,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือปรับ 15,000 บาท รวมกับโทษจำคุกเดิมเป็นจำคุก 9 เดือน ปรับ 15,000 บาท นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8

 

คำพิพากษาศาลฎีกา 286/2567, การเพิ่มโทษปรับตามกฎหมาย, มาตรา 185 วรรคสอง อธิบาย, มาตรา 186 (6) และ (8) ความหมาย, โทษปรับตามประมวลกฎหมายอาญา, อุทธรณ์คำพิพากษา ศาลอุทธรณ์, ลดโทษกึ่งหนึ่ง ตามมาตรา 78, ความผิดตามมาตรา 335 และ 336 ทวิ,

•หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคสอง, มาตรา 186 (6), และ มาตรา 186 (8)

•มาตรา 185 วรรคสอง

•มาตรา 185 วรรคสอง กำหนดให้ศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัยคำอุทธรณ์ในทุกประเด็นที่ยื่นขึ้นไป โดยเฉพาะในกรณีที่คำอุทธรณ์เกี่ยวกับการเพิ่มโทษหรือการบังคับใช้กฎหมายให้ถูกต้อง การละเลยไม่วินิจฉัยคำอุทธรณ์ดังกล่าวถือเป็นการไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติของกฎหมาย ส่งผลให้คำพิพากษาอาจไม่ชอบด้วยกฎหมาย เช่นในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับโทษปรับของจำเลยที่ 2 ซึ่งโจทก์ยื่นอุทธรณ์ว่าไม่เป็นไปตามกฎหมาย ทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามมาตรานี้

•มาตรา 186 (6)

•มาตรา 186 (6) ระบุว่าคำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องแสดงเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายและข้อเท็จจริงอย่างครบถ้วน เพื่อให้ชัดเจนว่าศาลใช้ดุลพินิจอย่างไร การไม่แสดงเหตุผลดังกล่าวอาจทำให้คำพิพากษาไม่ชอบหรือถูกแก้ไขได้ เช่นในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ได้วินิจฉัยถึงความถูกต้องของโทษปรับที่ต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด ถือว่าไม่เป็นไปตามบทบัญญัติในมาตรา 186 (6)

•มาตรา 186 (8)

•มาตรา 186 (8) กำหนดให้คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลต้องมีความชัดเจนและครบถ้วนในข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงที่เกี่ยวข้อง การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่วินิจฉัยคำอุทธรณ์ในเรื่องสำคัญ เช่น การลงโทษปรับจำเลยที่ 2 ให้ถูกต้องตามกฎหมาย จึงเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 186 (8) เพราะทำให้คำพิพากษาขาดความสมบูรณ์และอาจเกิดความไม่เป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม

•การเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับคดี

•ในคดีนี้ ศาลฎีกาเห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 8 ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 185 วรรคสอง เพราะไม่ได้วินิจฉัยคำอุทธรณ์ของโจทก์เกี่ยวกับโทษปรับจำเลยที่ 2 รวมถึงขัดต่อมาตรา 186 (6) และ 186 (8) ที่กำหนดให้คำพิพากษาต้องมีความชัดเจนและครบถ้วน ศาลฎีกาจึงตัดสินแก้ไขคำพิพากษาเองเพื่อให้คดีมีความถูกต้องตามกฎหมายและไม่ล่าช้า

•หลักกฎหมายเหล่านี้สะท้อนถึงความสำคัญของการพิจารณาคดีที่โปร่งใสและครบถ้วน เพื่อรักษาความยุติธรรมและความชอบด้วยกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม


***บทความ: การเพิ่มโทษ การลดโทษ การรอการลงโทษ และการใช้ดุลพินิจในคดีอาญา

1. การเพิ่มโทษ การลดโทษ การรอการลงโทษ และการใช้ดุลพินิจ

ในคดีอาญา ศาลมีดุลพินิจในการเพิ่มโทษ ลดโทษ หรือรอการลงโทษ โดยพิจารณาจากข้อเท็จจริงของคดีและพฤติการณ์ของจำเลย หลักเกณฑ์สำคัญ ได้แก่:

•การเพิ่มโทษ: ใช้ในกรณีที่กฎหมายกำหนดโทษขั้นต่ำ และจำเลยกระทำผิดซ้ำหรือมีพฤติการณ์เลวร้าย เช่น ฐานไม่เข็ดหลาบ

•การลดโทษ: อาจลดตามกฎหมาย เช่น การรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 หรือมีเหตุบรรเทาโทษ

•การรอการลงโทษ: ใช้กับจำเลยที่มีพฤติการณ์เหมาะสม โดยต้องไม่เป็นอันตรายต่อสังคม ตามเงื่อนไขของมาตรา 56

บทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง

1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

ลดโทษกึ่งหนึ่งเมื่อจำเลยรับสารภาพและให้ความร่วมมือ

2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

การรอการลงโทษใช้กับจำเลยที่ไม่เคยกระทำผิดร้ายแรง หรือไม่เป็นอันตรายต่อสังคม


**2. วิธีการเพิ่มโทษและลดโทษ

การเพิ่มโทษ

การเพิ่มโทษมักใช้ในกรณีที่จำเลยกระทำผิดซ้ำ หรือมีฐานไม่เข็ดหลาบ เช่น ตาม มาตรา 92 ที่กำหนดให้เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งหากจำเลยกระทำผิดอีกภายในเวลาที่กำหนดหลังถูกลงโทษครั้งแรก

การลดโทษ

การลดโทษเกิดจากการใช้ดุลพินิจของศาล โดยพิจารณาจาก:

•การรับสารภาพ (มาตรา 78)

•เหตุบรรเทาโทษ เช่น จำเลยช่วยเหลือผู้เสียหาย หรือพฤติการณ์ที่น่าสงสาร

*3. การขอให้เพิ่มโทษฐานไม่เข็ดหลาบและกระทำผิดซ้ำ

ฐานไม่เข็ดหลาบและกระทำผิดซ้ำ

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ระบุว่า หากผู้กระทำผิดถูกลงโทษไปแล้วและมากระทำผิดในลักษณะเดียวกันอีกภายในระยะเวลา 5 ปี ให้เพิ่มโทษ 1 ใน 3 ถึงครึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้


**ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4383/2556

ศาลลงโทษจำเลยในคดียักยอกทรัพย์ และเพิ่มโทษจำเลย 1 ใน 3 ตามมาตรา 92 เนื่องจากจำเลยกระทำผิดซ้ำในระยะเวลา 3 ปีหลังจากการลงโทษในคดีก่อน

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 529/2563

ศาลลดโทษให้จำเลยตามมาตรา 78 เพราะจำเลยรับสารภาพตลอดข้อหา และให้รอการลงโทษตามมาตรา 56 เนื่องจากพฤติการณ์เหมาะสม

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 286/2567

ศาลเพิ่มโทษจำเลยที่ 1 ตามมาตรา 92 เพราะจำเลยมีประวัติการกระทำผิดมาก่อน และให้ลดโทษกึ่งหนึ่งแก่จำเลยทั้งสองตามมาตรา 78 จากการรับสารภาพ

4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 531/2564

ศาลตัดสินเพิ่มโทษจำเลยในคดีลักทรัพย์เพราะจำเลยไม่เข็ดหลาบ ศาลเห็นว่าโทษปรับในคดีแรกไม่เพียงพอที่จะปรับปรุงพฤติกรรม

สรุป

การเพิ่มโทษ ลดโทษ การรอการลงโทษ และการใช้ดุลพินิจของศาลเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการพิจารณาคดีอาญา เพื่อให้โทษที่เหมาะสมกับการกระทำผิด ศาลจะพิจารณาข้อเท็จจริง พฤติการณ์ของจำเลย และบทบัญญัติของกฎหมาย เช่น มาตรา 78, 56, และ 92 พร้อมทั้งยึดหลักความยุติธรรมและความเหมาะสมในแต่ละกรณี




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ข้อห้ามฎีกาคดีอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง, การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง, คดีอาวุธปืนและอาวุธเถื่อน,
การกระทำโดยบันดาลโทสะ, โทษสถานเบาและการรอการลงโทษ, สิทธิยกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน