

อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย, เดิมโจทก์ใช้ชื่อกลุ่มออมทรัพย์ฯ เป็นโจทก์ต่อมาแก้ฟ้องเป็นชื่อบุคคลที่เป็นกรรมการกลุ่มออมทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตาม กลุ่มออมทรัพย์ฯ ไม่ถือเป็นนิติบุคคลจึงไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ และกรรมการ ก็ไม่สามารถฟ้องแทนในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้รับมอบอำนาจได้ เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาดังกล่าวถือเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2567 เดิมโจทก์ใช้ชื่อกลุ่มออมทรัพย์ฯ เป็นชื่อคู่ความ ต่อมาแก้ฟ้องใช้ชื่อ ส. กับพวก ซึ่งเป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการแทนกลุ่มออมทรัพย์ฯ เป็นคู่ความแทน เมื่อกลุ่มออมทรัพย์ฯ ไม่เป็นบุคคลตาม ป.พ.พ. จึงไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ ดังนั้น ส. กับพวก ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการแทนกลุ่มออมทรัพย์ฯ จึงไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ แม้ ส. กับ จ. จะเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ฯ ดังกล่าว แต่ก็มิได้ฟ้องคดีในฐานะส่วนตัว จึงไม่สามารถมอบอำนาจให้ ภ. ดำเนินคดีแทนได้ เมื่อ ส. กับพวกไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ตามกฎหมายย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
****โจทก์ทั้งสามฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341, 350 *ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหาฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ให้ประทับฟ้องไว้พิจารณา ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง *จำเลยให้การปฏิเสธ *ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 จำคุก 3 ปี ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี *จำเลยอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้อง *โจทก์ทั้งสามฎีกา โดยผู้พิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า เห็นสมควรวินิจฉัยเสียก่อนว่าโจทก์ทั้งสามมีอำนาจฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องจากที่เดิมระบุชื่อโจทก์ว่า กลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านคลองกรูด เป็นนายสังเกตกับนางจีรนันท์และนางสาวขวัญสุดาก็ตาม แต่ตามคำเบิกความของนางสาวสุภาวดี ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งสามปรากฏว่า นายสังเกตกับนางจีรนันท์และนางสาวขวัญสุดา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการแทนกลุ่มออมทรัพย์เพื่อการผลิตบ้านคลองกรูด ซึ่งกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าวไม่เป็นบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ นายสังเกตกับนางจีรนันท์และนางสาวขวัญสุดา ในฐานะกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการแทนกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าวจึงไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ ตามคำฟ้องของโจทก์ประกอบเอกสารท้ายคำฟ้องที่ระบุว่า นายสังเกตและนางจีรนันท์ โจทก์ที่ 1 และที่ 2 เป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าวด้วย ก็ไม่ปรากฏว่านายสังเกตและนางจีรนันท์ โจทก์ที่ 1 และที่ 2 ฟ้องคดีในฐานะส่วนตัว โจทก์ทั้งสามจึงมอบอำนาจให้นางสาวสุภาวดี ดำเนินคดีนี้แทนไม่ได้เช่นกัน นอกจากนี้ นางสาวสุภาวดี ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งสาม ซึ่งตามคำฟ้องของโจทก์ประกอบเอกสารท้ายคำฟ้อง ระบุว่าเป็นสมาชิกกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าวด้วย ก็ไม่ได้ฟ้องคดีในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้รับมอบอำนาจจากสมาชิกทั้งหมดของกลุ่มออมทรัพย์ดังกล่าว เมื่อโจทก์ทั้งสามไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ตามกฎหมายย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้คู่ความไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้อง นั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ทั้งสามอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลแห่งคดีเปลี่ยนแปลงไป *พิพากษายืน • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2567 • อำนาจฟ้องตามกฎหมาย • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 และ 350 • ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย • ศาลฎีกายกฟ้องเพราะไม่มีอำนาจฟ้อง • การฟ้องในนามกลุ่มออมทรัพย์ • การพิจารณาคดีโดยศาลฎีกา มาตรา 195 วรรคสอง • บทบาทศาลในการพิจารณาข้อกฎหมาย *คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2567 (ย่อ) โจทก์เดิมใช้ชื่อกลุ่มออมทรัพย์ฯ เป็นคู่ความ ต่อมาแก้ฟ้องเป็นชื่อบุคคลที่เป็นกรรมการผู้มีอำนาจแทนกลุ่มออมทรัพย์ฯ อย่างไรก็ตาม กลุ่มออมทรัพย์ฯ ไม่ถือเป็นนิติบุคคลตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ จึงไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ และกรรมการผู้มีอำนาจดำเนินการแทนกลุ่มออมทรัพย์ฯ ก็ไม่สามารถฟ้องแทนในฐานะส่วนตัวหรือในฐานะผู้รับมอบอำนาจได้ โจทก์ทั้งสามไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีนี้ได้ตามกฎหมาย จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหาดังกล่าวถือเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีการฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง และมาตรา 225 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย เนื่องจากไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ***หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2567 1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 (ความผิดฐานฉ้อโกง) oเนื้อหา: บุคคลใดโดยทุจริต หลอกลวงผู้อื่นด้วยข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง แล้วทำให้ผู้ถูกหลอกลวงยินยอมให้ทรัพย์สินแก่ตนหรือบุคคลที่สาม หรือทำให้ผู้ถูกหลอกลวงเสียทรัพย์ ถือเป็นการฉ้อโกง oสาระสำคัญ: การกระทำต้องมี "การหลอกลวง" ซึ่งรวมถึงการใช้ข้อความเท็จหรือปกปิดความจริง มีเจตนาทุจริต ส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อทรัพย์สินของผู้ถูกหลอกลวง oการนำมาใช้ในคดีนี้: โจทก์กล่าวหาจำเลยว่ากระทำการฉ้อโกงตามมาตรานี้ แต่คดีนี้ไม่ได้วินิจฉัยในส่วนนี้ เนื่องจากปัญหาเรื่องสถานะคู่ความที่ฟ้องไม่ถูกต้อง 2.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 (ความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน) oเนื้อหา: บุคคลใดกระทำการฉ้อโกงประชาชนด้วยวิธีการใด ๆ เช่น การโฆษณาหรือการหลอกลวงประชาชนในวงกว้าง ถือเป็นความผิดฐานฉ้อโกงประชาชน oสาระสำคัญ: ต้องเป็นการหลอกลวงประชาชนในลักษณะวงกว้าง มีเจตนาทุจริตและเกิดความเสียหาย oการนำมาใช้ในคดีนี้: แม้ข้อหานี้จะถูกฟ้องในคดี แต่ศาลชั้นต้นเห็นว่าไม่มีมูลในข้อหานี้ จึงยกฟ้อง 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง oเนื้อหา: กำหนดให้ศาลฎีกามีอำนาจยกประเด็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยได้เอง แม้คู่ความจะไม่ได้ฎีกาประเด็นนั้น oสาระสำคัญ: ประเด็นที่ศาลฎีกายกขึ้นต้องเป็น "ข้อกฎหมาย" และต้องเกี่ยวกับ "ความสงบเรียบร้อย" ข้อนี้สะท้อนถึงบทบาทศาลฎีกาในการรักษาหลักกฎหมายที่ถูกต้องในคดีที่ส่งผลต่อความสงบเรียบร้อยของสังคม oการนำมาใช้ในคดีนี้: ศาลฎีกาใช้มาตรานี้เพื่อพิจารณาประเด็นว่าผู้ฟ้องมีอำนาจฟ้องหรือไม่ แม้โจทก์จะไม่ได้ฎีกาประเด็นนี้ 4.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 225 oเนื้อหา: กำหนดว่าในกรณีที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าคู่ความไม่มีอำนาจฟ้องหรือการดำเนินคดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลสามารถยกฟ้องโดยไม่ต้องวินิจฉัยข้อเท็จจริงอื่นต่อไป oสาระสำคัญ: ศาลสามารถยุติการพิจารณาคดีหากพบว่าการฟ้องไม่ชอบด้วยกฎหมาย เป็นมาตราที่เน้นการคุ้มครองกระบวนการยุติธรรมจากการดำเนินคดีที่ไม่ถูกต้อง oการนำมาใช้ในคดีนี้: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้องตามกฎหมาย จึงยกฟ้องโดยไม่ต้องพิจารณาข้อเท็จจริงเพิ่มเติม *การเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับคดี ในคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าผู้ฟ้องไม่สามารถเป็นคู่ความในคดีได้ เนื่องจากกลุ่มออมทรัพย์ฯ ไม่ถือเป็นนิติบุคคล และกรรมการผู้มีอำนาจก็ไม่ได้ฟ้องในฐานะส่วนตัวหรือฐานะที่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้ผู้ฟ้องไม่มีอำนาจฟ้อง ซึ่งเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีคู่ความฎีกา ศาลฎีกาก็สามารถยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ตามมาตรา 195 วรรคสอง และพิพากษายืนตามคำตัดสินของศาลอุทธรณ์ภาค 8 ที่ยกฟ้องคดี
***คุณสมบัติในการเป็นคู่ความในการฟ้องคดี การเป็นคู่ความในคดี หมายถึง การมีสิทธิหรือสถานะตามกฎหมายที่จะดำเนินคดีหรือถูกดำเนินคดีในชั้นศาล การจะเป็นคู่ความได้นั้น บุคคลต้องมีคุณสมบัติที่กำหนดไว้ในกฎหมาย และต้องดำเนินการตามขั้นตอนที่ถูกต้อง หากขาดคุณสมบัติดังกล่าว คดีอาจถูกยกฟ้องเนื่องจาก "ไม่มีอำนาจฟ้อง" คุณสมบัติของคู่ความในการฟ้องคดี 1.สถานะบุคคลหรือนิติบุคคลที่ชอบด้วยกฎหมาย oต้องเป็นบุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จัดตั้งโดยชอบด้วยกฎหมาย เช่น บริษัท ห้างหุ้นส่วนจำกัด หรือสมาคม oกลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล เช่น ชุมชน กลุ่มออมทรัพย์ ไม่สามารถเป็นคู่ความได้ เว้นแต่ดำเนินการผ่านผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมาย 2.ความสามารถทางกฎหมาย (Legal Capacity) oต้องมีอำนาจดำเนินการตามกฎหมาย เช่น บุคคลที่เป็นผู้เยาว์จะต้องดำเนินการผ่านผู้แทนโดยชอบธรรม 3.การฟ้องในฐานะที่ชอบด้วยกฎหมาย oหากฟ้องในนามกลุ่ม หรือองค์กร ต้องมีมติหรืออำนาจตามกฎหมายที่ระบุไว้ เช่น ผู้ถือหุ้นฟ้องแทนบริษัท ต้องแสดงว่าได้รับมอบหมายหรือมีอำนาจตามกฎหมาย กรณีที่ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นคู่ความ 1.สถานะบุคคลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย oเช่น กลุ่มบุคคลที่ไม่ใช่นิติบุคคล หรือองค์กรที่ไม่ได้รับการรับรองจากกฎหมาย 2.การฟ้องในฐานะที่ไม่ถูกต้อง oเช่น การฟ้องในนามส่วนรวมโดยไม่มีมติหรืออำนาจจากส่วนรวม 3.ไม่มีความสามารถทางกฎหมาย oเช่น ผู้เยาว์หรือคนไร้ความสามารถที่ฟ้องโดยไม่ผ่านผู้แทน 4.คดีที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายวิธีพิจารณา oเช่น การฟ้องโดยไม่มีผู้รับมอบอำนาจที่ถูกต้อง บทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 96 บุคคลธรรมดา หรือนิติบุคคลที่จัดตั้งโดยชอบด้วยกฎหมายเท่านั้นที่สามารถมีสิทธิหรือหน้าที่ตามกฎหมายได้ oหลักกฎหมาย: หากคู่ความไม่ใช่นิติบุคคล เช่น กลุ่มคนธรรมดา หรือสมาคมที่ไม่ได้รับการจดทะเบียนตามกฎหมาย บุคคลเหล่านั้นไม่มีสถานะเป็นคู่ความ 2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ศาลมีอำนาจยกประเด็นเรื่องข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นพิจารณาได้ แม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา oหลักกฎหมาย: หากศาลพบว่าคู่ความไม่มีอำนาจฟ้อง คดีจะถูกยกฟ้องทันที 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 55 การฟ้องคดีในนามกลุ่มต้องมีตัวแทนที่ได้รับมอบหมายโดยถูกต้อง oหลักกฎหมาย: หากตัวแทนฟ้องในนามกลุ่มโดยไม่มีมติหรือการมอบหมายจากกลุ่ม คดีอาจถูกยกฟ้อง ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 295/2567 oข้อเท็จจริง: กลุ่มออมทรัพย์ฟ้องในนามตัวเอง ต่อมาแก้ฟ้องโดยระบุกรรมการผู้มีอำนาจแทนกลุ่ม แต่กลุ่มออมทรัพย์ไม่ถือเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และกรรมการไม่ได้ฟ้องในฐานะส่วนตัว oศาลวินิจฉัย: โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง และเป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้ไม่มีฎีกา ศาลฎีกายกฟ้อง 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5097/2563 oข้อเท็จจริง: สมาคมแห่งหนึ่งฟ้องคดีโดยไม่ผ่านมติที่ประชุมใหญ่ของสมาคม oศาลวินิจฉัย: สมาคมไม่มีอำนาจฟ้อง คดีถือว่าดำเนินการโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1380/2557 oข้อเท็จจริง: กลุ่มชุมชนยื่นฟ้องในฐานะกลุ่มบุคคลโดยไม่มีสถานะนิติบุคคล oศาลวินิจฉัย: กลุ่มชุมชนไม่ถือเป็นคู่ความตามกฎหมาย ฟ้องคดีไม่ได้ 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 312/2550 oข้อเท็จจริง: การฟ้องในนามบริษัทโดยผู้ที่ไม่มีอำนาจตามข้อบังคับบริษัท oศาลวินิจฉัย: ฟ้องคดีในนามบริษัทโดยไม่ผ่านมติหรืออำนาจที่ชอบด้วยกฎหมาย คดีถือว่าไม่มีอำนาจฟ้อง 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2537 oข้อเท็จจริง: การฟ้องในนามของบุคคลไร้ความสามารถโดยไม่ผ่านผู้แทนโดยชอบด้วยกฎหมาย oศาลวินิจฉัย: คดีไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากผู้ฟ้องไม่มีความสามารถทางกฎหมาย สรุปการเปรียบเทียบ •ทุกกรณี ศาลยกฟ้องเนื่องจากคู่ความไม่มีสถานะหรืออำนาจฟ้องตามกฎหมาย โดยพิจารณาจากสถานะทางกฎหมาย การมอบหมายอำนาจ และการปฏิบัติตามกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งและอาญา •ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจยกข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นพิจารณาเองได้ เพื่อป้องกันการดำเนินคดีที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย บทความนี้แสดงให้เห็นว่าการฟ้องคดีต้องดำเนินการโดยบุคคลที่มีสถานะและคุณสมบัติครบถ้วนตามกฎหมาย มิฉะนั้นศาลจะยกฟ้องในทันที |