ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ(ฎีกา5234/2566)

คำพิพากษาศาลฎีกา 5234–5238/2566, การตีความอำนาจฟ้องคดีอาญาตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ มาตรา 14(2), หลักเกณฑ์การแก้ไขฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163, การเพิ่มเติมฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 164, คดีทุจริตเจ้าหน้าที่รัฐและความผิดตามมาตรา 151, คดีละเว้นปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157, การใช้บทลงโทษตาม พ.ร.บ.ฮั้วประมูล 2542 มาตรา 12, แนวคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับอำนาจฟ้องอัยการ, บทบาทอัยการสูงสุดในคดีทุจริต, คดีตัวอย่างการใช้อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการ

   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ

พนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องคดีอาญาตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการฯ มาตรา 14 (2) โดยไม่จำเป็นต้องมอบอำนาจเพิ่มเติมตามหลักตัวแทนใน ป.พ.พ. การแก้และเพิ่มเติมฟ้องในคดีจำเลยบางรายที่อัยการสูงสุดมอบหมายให้พนักงานอัยการดำเนินคดี ถือว่าชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 163 และ 164 และเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5234 - 5238/2566

ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (2) ระบุว่าในคดีอาญาพนักงานอัยการมีอำนาจหน้าที่ตาม ป.วิ.อ. และตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ ประกอบกับการมีคำสั่งมอบหมายของอัยการสูงสุดให้พนักงานอัยการ ซึ่งเป็นพนักงานแห่งท้องที่ตามเขตอำนาจศาลที่รับผิดชอบดำเนินคดีอาญาฟ้องจำเลย หาต้องมอบอำนาจให้กระทำการแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เรื่องตัวแทน ดังนั้น การที่โจทก์ขอแก้ไขและเพิ่มเติมฟ้องในคดีที่จำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 โดยระบุว่า อัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 รับผิดชอบฟ้องคดีและดำเนินคดีแทนอัยการสูงสุด จึงมิใช่เป็นการขอแก้ไขและเพิ่มเติมฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ให้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์ ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 163 และ 164 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องและเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต

คดีทั้งห้าสำนวนนี้ ศาลชั้นต้นพิจารณาและพิพากษารวมกันกับคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อท (ผ) 8/2560 ของศาลชั้นต้น โดยให้เรียกโจทก์ทั้งห้าสำนวนและสำนวนดังกล่าวว่า โจทก์ เรียกจำเลยทั้งสามสิบในสำนวนแรกว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 30 เรียกจำเลยทั้งสองในสำนวนที่สองว่า จำเลยที่ 31 และที่ 32 เรียกจำเลยในสำนวนคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อท (ผ) 8/2560 ว่า จำเลยที่ 33 เรียกจำเลยในสำนวนที่สามว่า จำเลยที่ 34 เรียกจำเลยในสำนวนที่สี่ว่า จำเลยที่ 35 และเรียกจำเลยในสำนวนที่ห้าว่า จำเลยที่ 36 แต่คดีสำหรับจำเลยที่ 33 ยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คงขึ้นมาสู่ศาลฎีกาเฉพาะคดีห้าสำนวนนี้

สำนวนแรก โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 30 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 90, 91, 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12

สำนวนที่สอง โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 31 และที่ 32 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 90, 91, 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 และนับโทษของจำเลยที่ 31 ในคดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยที่ 1 ในคดีหมายเลขแดงที่ อ.367/2556 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร

สำนวนที่สาม โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 34 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 90, 91, 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12

สำนวนที่สี่ โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 35 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 90, 91, 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12

สำนวนที่ห้า โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 36 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 90, 91, 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12

จำเลยทั้งสามสิบหกให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 31 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยที่ 1 ในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 และที่ 33 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 20 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 20 และที่ 33 เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 และที่ 33 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด สำหรับความผิดตามฟ้องข้อ 1.11 ถึงข้อ 1.17 ให้จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 8 ถึงที่ 10 และที่ 33 คนละกระทงละ 1 ปี จำเลยที่ 1 กระทำความผิดรวม 7 กระทง เป็นจำคุก 7 ปี จำเลยที่ 3 กระทำความผิดรวม 7 กระทง เป็นจำคุก 7 ปี จำเลยที่ 4 กระทำความผิดรวม 7 กระทง เป็นจำคุก 7 ปี จำเลยที่ 6 กระทำความผิดรวม 2 กระทง เป็นจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 8 กระทำความผิดรวม 6 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 9 กระทำความผิดรวม 6 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 10 กระทำความผิดรวม 5 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 33 กระทำความผิดรวม 6 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี จำเลยที่ 20 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด กระทำความผิดรวม 4 กระทง จำคุกกระทงละ 8 เดือน เป็นจำคุก 32 เดือน ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำการโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคา สำหรับความผิดตามฟ้องข้อ 1.18 ถึงข้อ 1.69 เป็นความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 อันเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 และที่ 33 คนละกระทงละ 5 ปี จำเลยที่ 1 กระทำผิดรวม 49 กระทง เป็นจำคุก 245 ปี จำเลยที่ 2 กระทำผิดรวม 7 กระทง เป็นจำคุก 35 ปี จำเลยที่ 3 กระทำผิดรวม 41 กระทง เป็นจำคุก 205 ปี จำเลยที่ 4 กระทำผิดรวม 36 กระทง เป็นจำคุก 180 ปี จำเลยที่ 5 กระทำผิดรวม 4 กระทง เป็นจำคุก 20 ปี จำเลยที่ 6 กระทำผิดรวม 30 กระทง เป็นจำคุก 150 ปี จำเลยที่ 7 กระทำผิดรวม 44 กระทง เป็นจำคุก 220 ปี จำเลยที่ 8 กระทำผิดรวม 19 กระทง เป็นจำคุก 95 ปี จำเลยที่ 9 กระทำผิดรวม 27 กระทง เป็นจำคุก 135 ปี จำเลยที่ 10 กระทำผิดรวม 19 กระทง เป็นจำคุก 95 ปี จำเลยที่ 11 กระทำความผิดรวม 1 กระทง จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 12 กระทำความผิดรวม 1 กระทง จำคุก 5 ปี จำเลยที่ 33 กระทำผิดรวม 31 กระทง เป็นจำคุก 155 ปี และจำเลยที่ 20 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐกระทำการโดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรมเพื่ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคา เป็นความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกจำเลยที่ 20 กระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 32 กระทง เป็นจำคุก 96 ปี 128 เดือน รวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนด 252 ปี จำเลยที่ 2 มีกำหนด 35 ปี จำเลยที่ 3 มีกำหนด 212 ปี จำเลยที่ 4 มีกำหนด 187 ปี จำเลยที่ 5 มีกำหนด 20 ปี จำเลยที่ 6 มีกำหนด 152 ปี จำเลยที่ 7 มีกำหนด 220 ปี จำเลยที่ 8 มีกำหนด 101 ปี จำเลยที่ 9 มีกำหนด 141 ปี จำเลยที่ 10 มีกำหนด 100 ปี จำเลยที่ 11 มีกำหนด 5 ปี จำเลยที่ 12 มีกำหนด 5 ปี จำเลยที่ 33 มีกำหนด 161 ปี และจำเลยที่ 20 มีกำหนด 96 ปี 160 เดือน เมื่อรวมโทษจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 20 และที่ 33 ทุกกระทงความผิดแล้ว คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 ที่ 20 และที่ 33 มีกำหนดคนละ 50 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) ข้อหาและคำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก สำหรับจำเลยที่ 13 ถึงที่ 19 ที่ 21 ถึงที่ 32 และที่ 34 ถึงที่ 36 ให้ยกฟ้อง

โจทก์และจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 20 และที่ 33 อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดีทุจริตและประพฤติมิชอบพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 13 และที่ 33 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 151 ประกอบมาตรา 86 และเฉพาะจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 12 และที่ 33 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ด้วย จำเลยที่ 20 ถึงที่ 31 และที่ 36 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86, 151 ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำเลยที่ 34 และที่ 35 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86, 151 ประกอบมาตรา 86

จำเลยที่ 1 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 35 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 35 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตอันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 52 กระทง เป็นจำคุก 260 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว เป็นจำคุก 330 ปี กรณีนี้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กำหนดให้โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกว่า 50 ปี จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 1 จำคุก 50 ปี

จำเลยที่ 2 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 40 ปี ฐานเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 19 กระทง เป็นจำคุก 95 ปี ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติโดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 35 ปี เมื่อรวมกับโทษทุกกระทงแล้วจำคุก 170 ปี กรณีนี้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กำหนดให้โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกว่า 50 ปี จึงให้ลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุก 50 ปี

จำเลยที่ 3 ถึงที่ 11 และที่ 33 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 12 และที่ 13 กระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานสนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 จำเลยที่ 3 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 10 กระทง เป็นจำคุก 30 ปี 40 เดือน จำเลยที่ 4 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 10 กระทง เป็นจำคุก 30 ปี 40 เดือน จำเลยที่ 6 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 21 ปี 28 เดือน จำเลยที่ 8 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 24 ปี 32 เดือน จำเลยที่ 9 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 10 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 11 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 33 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 9 กระทง เป็นจำคุก 27 ปี 36 เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้น ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 3 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 16 กระทง เป็นจำคุก 48 ปี 64 เดือน จำเลยที่ 4 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 25 กระทง เป็นจำคุก 75 ปี 100 เดือน จำเลยที่ 5 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี 20 เดือน จำเลยที่ 6 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 12 กระทง เป็นจำคุก 36 ปี 48 เดือน จำเลยที่ 7 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 8 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 12 กระทง เป็นจำคุก 36 ปี 48 เดือน จำเลยที่ 9 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 17 กระทง เป็นจำคุก 51 ปี 68 เดือน จำเลยที่ 10 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 45 ปี 60 เดือน จำเลยที่ 13 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 33 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 35 กระทง เป็นจำคุก 105 ปี 140 เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และฐานเป็นเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 3 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 40 กระทง เป็นจำคุก 200 ปี จำเลยที่ 4 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 19 กระทง เป็นจำคุก 95 ปี จำเลยที่ 6 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 20 กระทง เป็นจำคุก 100 ปี จำเลยที่ 7 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 41 กระทง เป็นจำคุก 205 ปี จำเลยที่ 8 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 14 กระทง เป็นจำคุก 70 ปี จำเลยที่ 9 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 15 กระทง เป็นจำคุก 75 ปี จำเลยที่ 10 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 10 กระทง เป็นจำคุก 50 ปี จำเลยที่ 11 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 12 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 33 จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 5 ปี เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำเลยที่ 3 เป็นจำคุก 278 ปี 104 เดือน จำเลยที่ 4 เป็นจำคุก 200 ปี 140 เดือน จำเลยที่ 5 เป็นจำคุก 15 ปี 20 เดือน จำเลยที่ 6 เป็นจำคุก 157 ปี 76 เดือน จำเลยที่ 7 เป็นจำคุก 214 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 8 เป็นจำคุก 130 ปี 80 เดือน จำเลยที่ 9 เป็นจำคุก 132 ปี 76 เดือน จำเลยที่ 10 เป็นจำคุก 101 ปี 68 เดือน จำเลยที่ 11 เป็นจำคุก 11 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 12 เป็นจำคุก 5 ปี จำเลยที่ 13 เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 33 เป็นจำคุก 137 ปี 176 เดือน กรณีจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ที่ 7 ที่ 8 ที่ 9 ที่ 10 และที่ 33 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กำหนดให้โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกว่า 50 ปี จึงลงโทษจำคุกคนละ 50 ปี

จำเลยที่ 20 ถึงที่ 23 ที่ 25 ถึงที่ 28 ที่ 31 และที่ 34 ถึงที่ 36 กระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยที่ 24 ที่ 29 และที่ 30 กระทำความผิดกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 จำเลยที่ 20 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 24 ปี 32 เดือน จำเลยที่ 21 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 31 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 34 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 7 กระทง เป็นจำคุก 21 ปี 28 เดือน จำเลยที่ 35 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 20 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี 20 เดือน จำเลยที่ 31 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 34 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 35 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานมีหน้าที่ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใด ๆ ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริต อันเป็นการเสียหายแก่รัฐ เทศบาล สุขาภิบาล หรือเจ้าของทรัพย์นั้นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 ประกอบมาตรา 86 ฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ประกอบมาตรา 86 และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าหน้าที่ในหน่วยงานของรัฐ กระทำการใด ๆ โดยมุ่งหมายมิให้มีการแข่งขันราคาอย่างเป็นธรรม เพื่อเอื้ออำนวยแก่ผู้เข้าทำการเสนอราคารายใดให้เป็นผู้มีสิทธิทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 20 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 37 กระทง เป็นจำคุก 111 ปี 148 เดือน จำเลยที่ 21 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 22 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 8 กระทง เป็นจำคุก 24 ปี 32 เดือน จำเลยที่ 23 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 5 กระทง เป็นจำคุก 15 ปี 20 เดือน จำเลยที่ 24 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 25 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 26 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 27 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 28 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 3 กระทง เป็นจำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 29 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 30 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 31 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 1 กระทง เป็นจำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 36 จำคุกกระทงละ 3 ปี 4 เดือน รวม 2 กระทง เป็นจำคุก 6 ปี 8 เดือน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว จำเลยที่ 20 จำคุก 150 ปี 200 เดือน แต่ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) กำหนดให้โทษจำคุกทั้งสิ้นต้องไม่เกินกว่า 50 ปี จึงลงโทษจำเลยที่ 20 จำคุก 50 ปี ส่วนจำเลยที่ 21 จำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 22 จำคุก 24 ปี 32 เดือน จำเลยที่ 23 จำคุก 15 ปี 20 เดือน จำเลยที่ 24 จำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 25 จำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 26 จำคุก 6 ปี 8 เดือน จำเลยที่ 27 จำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 28 จำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 29 จำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 30 จำคุก 3 ปี 4 เดือน จำเลยที่ 31 จำคุก 15 ปี 20 เดือน นับโทษของจำเลยที่ 31 ต่อจากโทษในคดีหมายเลขแดงที่ อ.367/2556 ของศาลจังหวัดมุกดาหาร จำเลยที่ 34 จำคุก 24 ปี 32 เดือน จำเลยที่ 35 จำคุก 9 ปี 12 เดือน จำเลยที่ 36 จำคุก 6 ปี 8 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ระหว่างฎีกา จำเลยที่ 13 ถึงแก่ความตาย ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้จำหน่ายคดีจำเลยที่ 13 ออกจากสารบบความ

จำเลยที่ 5 ที่ 7 ถึงที่ 12 ที่ 20 ที่ 21 ที่ 23 ที่ 24 ที่ 26 ถึง 31 และที่ 34 ถึงที่ 36 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 5 ที่ 7 ถึงที่ 12 และที่ 20 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 7 ที่ 9 ที่ 20 ที่ 23 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 28 และที่ 31 ยื่นคำร้องขอถอนฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาต จำหน่ายคดีเฉพาะจำเลยที่ 7 ที่ 9 ที่ 20 ที่ 23 ที่ 24 ที่ 26 ที่ 28 และที่ 31 เสียจากสารบบความศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 8 ว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมบรรยายฟ้องขัดแย้งกันเอง และไม่ได้บรรยายองค์ประกอบความผิดโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 หรือไม่ เห็นว่า ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2556 ซึ่งใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีนี้ ข้อ 9 วรรคแรก กำหนดว่า ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือและต้องมีข้อความเป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการหรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และต้องระบุพฤติการณ์ที่กล่าวหาว่ากระทำความผิด พร้อมทั้งชี้ช่องพยานหลักฐานให้ชัดเจนพอที่จะดำเนินกระบวนพิจารณาไต่สวนข้อเท็จจริงต่อไปได้ และวรรคสองกำหนดว่า กรณีที่ศาลเห็นว่า ฟ้องไม่ถูกต้อง ให้ศาลมีคำสั่งให้โจทก์แก้ไขฟ้องให้ถูกต้อง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานตามประมวลกฎหมายอาญาปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมพัฒนาฝีมือแรงงานในการสั่งซื้อพัสดุโดยมิชอบอาศัยโอกาสที่ตนมีอำนาจในการอนุมัติจัดซื้อจัดจ้าง ได้ใช้อำนาจโดยทุจริต โดยแบ่งหน้าที่กันทำกับจำเลยอื่นซึ่งเป็นพวกของจำเลยที่ 1 แล้ว แม้จำเลยที่ 8 จะมิได้มีหน้าที่ในการจัดซื้อจัดจ้างเช่นเดียวกับจำเลยที่ 1 ด้วย การที่โจทก์บรรยายฟ้องในส่วนจำเลยที่ 8 กระทำความผิดฐานตัวการและผู้สนับสนุน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 83 และ 86 กรณีจึงถือว่าโจทก์ได้ฟ้องเป็นหนังสือและมีข้อความที่เป็นการกล่าวหาเกี่ยวกับเรื่องการกระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการแล้ว เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้อง จึงถือได้ว่าฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม ไม่ได้ขัดแย้งกันเอง และบรรยายครบองค์ประกอบความผิดโดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 แล้ว ฟ้องโจทก์จึงชอบด้วยระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2556 ข้อ 9 วรรคแรกแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 8 ฟังไม่ขึ้น

ปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 ข้อต่อไปมีว่า พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายปราบปรามการทุจริต 1 โจทก์ มีอำนาจฟ้องและใช้สิทธิโดยสุจริตหรือไม่ เห็นว่า แม้ระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกาว่าด้วยการดำเนินกระบวนพิจารณาโดยใช้ระบบไต่สวนกับเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2556 ซึ่งใช้บังคับแก่การพิจารณาคดีนี้ ข้อ 3 ให้ความหมายของคำว่าโจทก์ หมายความว่า อัยการสูงสุด ประธานกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติก็ตาม แต่ระเบียบดังกล่าวเป็นการกำหนดให้ศาลดำเนินกระบวนพิจารณาคดีอาญาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรมโดยใช้ระบบไต่สวนเท่านั้น ดังนี้ จึงไม่อาจนำความหมายของคำว่า โจทก์ ซึ่งหมายความว่า อัยการสูงสุด มาเป็นข้อพิจารณาถึงอำนาจฟ้องของโจทก์ได้ ซึ่งการพิจารณาว่าผู้ใดมีอำนาจฟ้องคดีอาญาที่เจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งมิใช่ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตามมาตรา 275 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม ต้องพิจารณาจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ใช้บังคับในขณะฟ้องคดีนี้ โดยมาตรา 97 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า ในกรณีที่ข้อกล่าวหาใดที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่ามีความผิดทางอาญา ให้ประธานกรรมการส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด หรือฟ้องคดีต่อศาลกรณีผู้ถูกกล่าวหาเป็นอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษาคดี โดยให้ถือว่ารายงานของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นสำนวนการสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาและให้ศาลประทับฟ้องไว้พิจารณาโดยไม่ต้องไต่สวนมูลฟ้อง คดีนี้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติให้ส่งรายงาน เอกสาร และความเห็นไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาในศาลซึ่งมีเขตอำนาจพิจารณาพิพากษากับจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 โดยแยกเป็นกรรมหรือกลุ่มของการกระทำความผิดเพื่อสะดวกในการฟ้องคดีตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 97 ตามมติการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ช. ครั้งที่ 433-91/2555 เมื่อวันที่ 25 ธันวาคม 2555 แก้ไขเพิ่มเติมในการประชุมครั้งที่ 438/2556 เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2556 เช่นนี้ ตามบทบัญญัติดังกล่าวอัยการสูงสุดจึงเป็นผู้มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 แต่อย่างไรก็ตาม พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (2) บัญญัติว่า พนักงานอัยการมีอำนาจและหน้าที่ดังต่อไปนี้ (2) ในคดีอาญา มีอำนาจและหน้าที่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และตามกฎหมายอื่นซึ่งบัญญัติว่าเป็นอำนาจและหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ ประกอบกับการมีคำสั่งมอบหมายของอัยการสูงสุดให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานอัยการสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ซึ่งเป็นพนักงานแห่งท้องที่ตามเขตอำนาจศาลรับผิดชอบดำเนินคดีอาญาฟ้องจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 ต่อศาลอาญานั้น หาจำต้องมอบอำนาจให้กระทำการแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ลักษณะตัวแทนแต่อย่างใด ดังนั้น การที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ยื่นฟ้องจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 เท่ากับอัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ฟ้องจำเลยดังกล่าวแล้ว ซึ่งอำนาจฟ้องคดีนี้เป็นไปโดยผลของกฎหมาย พนักงานอัยการสำนักอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุดและพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 เมื่อวินิจฉัยดังกล่าวแล้ว การที่โจทก์ขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องในคดีที่ฟ้องจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 โดยระบุว่า คดีนี้อัยการสูงสุดได้มอบหมายให้พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 (สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ 5) รับผิดชอบฟ้องและดำเนินคดีแทนอัยการสูงสุด จึงมิใช่เป็นการขอแก้และเพิ่มเติมฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ให้เป็นฟ้องที่สมบูรณ์แต่อย่างใด ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ฟ้องจึงชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 163 และ 164 พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด และพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องคดีและเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ฎีกาจำเลยที่ 5 ที่ 10 ถึงที่ 12 ที่ 27 และที่ 34 ข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

อนึ่ง เมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2560 มีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 26) พ.ศ. 2560 ใช้บังคับ โดยมาตรา 7 ให้ยกเลิกอัตราโทษในมาตรา 151 และมาตรา 157 และให้ใช้อัตราโทษใหม่แทน แต่กฎหมายที่ใช้บังคับภายหลังกระทำความผิดไม่เป็นคุณแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 26 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 35 จึงให้ใช้กฎหมายที่ใช้ขณะกระทำความผิดบังคับแก่จำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 26 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 33 ถึงที่ 35 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 และศาลอุทธรณ์ไม่ได้ปรับบทลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 และที่ 33 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ศาลฎีกาเห็นสมควรปรับบทลงโทษให้ถูกต้อง

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83, 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 3 ถึงที่ 12 และที่ 33 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม), 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83, 86 และเฉพาะจำเลยที่ 3 ที่ 4 ที่ 6 ถึงที่ 12 และที่ 33 มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ด้วย จำเลยที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 26 ที่ 28 และที่ 31 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86, 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 12 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 จำเลยที่ 35 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151 (เดิม) ประกอบมาตรา 86, 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 12 ที่ 20 ที่ 22 ถึงที่ 26 ที่ 28 ที่ 31 ที่ 33 และที่ 35 ในความผิดฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 83 และฐานเป็นผู้สนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 (เดิม) ประกอบมาตรา 86 ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 21 ที่ 27 ที่ 29 ที่ 30 ที่ 34 และที่ 36 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

•  "แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163"

•  "อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต"

•  "บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ"

•  "มาตรา 164 การแก้และเพิ่มเติมฟ้อง"

•  "โทษจำคุกในคดีทุจริตต่อหน้าที่"

•  "พ.ร.บ.ฮั้วประมูล พ.ศ. 2542 มาตรา 12"

•  "ศาลฎีกา คดีอาญาเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่รัฐ"

•  "ตัวอย่างคดีทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151"

ประเด็นการฟ้องร้องอำนาจพนักงานอัยการ

ตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการฯ มาตรา 14 (2) และระเบียบที่ประชุมใหญ่ศาลฎีกา อัยการสูงสุดมอบหมายพนักงานอัยการฟ้องคดีอาญาโดยชอบด้วยกฎหมาย การแก้และเพิ่มเติมฟ้องในคดีจำเลยที่ 5, 10-12, 27 และ 34 จึงสมบูรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 163 และ 164

สรุปคดีและคำพิพากษาศาลชั้นต้น

ศาลชั้นต้นรวมพิจารณาคดี 5 สำนวน จำเลย 1-36 ถูกฟ้องในความผิดฐานทุจริตตาม ป.อาญา มาตรา 151, 157 และ พ.ร.บ.ฮั้วประมูลฯ มาตรา 12 โดยตัดสินจำคุกจำเลยบางราย เช่น จำเลยที่ 1 ถูกตัดสินจำคุก 252 ปี แต่ลดโทษตามมาตรา 91(3) เหลือ 50 ปี ยกฟ้องบางราย

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนและแก้คำตัดสินในบางส่วน โดยระบุให้ลงโทษจำเลยเพิ่มเติมและยกฟ้องบางราย เช่น จำเลยที่ 21, 27, 29-30, 34-36 ในบางข้อหา

ฎีกาและวินิจฉัยข้อกฎหมาย

จำเลยบางรายฎีกา โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ฟ้องโจทก์ถูกต้องไม่เคลือบคลุม ฟ้องสำเร็จครบองค์ประกอบ และพนักงานอัยการมีอำนาจฟ้องชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของจำเลยที่ 5, 10-12, 27 และ 34 ฟังไม่ขึ้น นอกจากนี้ ศาลปรับบทลงโทษให้ถูกต้องตามกฎหมายที่บังคับขณะกระทำความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกา

ศาลฎีกายืนคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยที่มีความผิดตามกฎหมายเดิม แต่ลดโทษบางรายตามมาตรา 91(3) ยกฟ้องจำเลยบางรายที่ศาลอุทธรณ์เคยตัดสิน เช่น จำเลยที่ 21, 27, 29-30, 34 และ 36

เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องในบทความดังกล่าวได้ดีขึ้น ขออธิบายดังนี้:

1. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 163

หลักการ:

มาตรานี้บัญญัติว่า หากโจทก์ต้องการแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องในคดีอาญา จะต้องกระทำโดยได้รับอนุญาตจากศาล โดยศาลจะพิจารณาว่าการแก้ไขหรือเพิ่มเติมนั้นจะทำให้คดีเสียหายหรือไม่ หากไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย ศาลสามารถอนุญาตได้

วัตถุประสงค์:

เพื่อป้องกันไม่ให้โจทก์กระทำการแก้ไขฟ้องในลักษณะที่อาจก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรมแก่จำเลย เช่น การเพิ่มข้อหาโดยไม่ชอบ หรือการเปลี่ยนแปลงเนื้อหาที่ทำให้จำเลยไม่สามารถป้องกันตัวได้อย่างเต็มที่

การนำมาใช้ในบทความ:

การที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้โจทก์แก้ไขและเพิ่มเติมฟ้องในคดีจำเลยบางรายนั้น ถือว่าชอบด้วยมาตรา 163 เนื่องจากไม่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่จำเลย และเป็นไปเพื่อความสมบูรณ์ของคดี

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ป.วิ.อ.) มาตรา 164

หลักการ:

มาตรานี้บัญญัติว่า การแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องที่ศาลอนุญาต จะต้องไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงลักษณะของข้อหาหรือทำให้ข้อหานั้นต่างไปจากเดิมอย่างมีนัยสำคัญ

วัตถุประสงค์:

เพื่อรักษาความยุติธรรมแก่ทั้งโจทก์และจำเลย โดยการแก้ไขหรือเพิ่มเติมฟ้องจะต้องยังคงอยู่ในกรอบเดิมของคดี ไม่ใช่เปลี่ยนข้อหาหรือประเด็นคดีไปในลักษณะที่ทำให้จำเลยไม่สามารถป้องกันตัวได้

การนำมาใช้ในบทความ:

ศาลชั้นต้นพิจารณาว่าการแก้ฟ้องของโจทก์ในกรณีนี้ไม่ได้เปลี่ยนแปลงลักษณะของข้อหา และยังคงเป็นไปตามกรอบกฎหมายเดิม จึงถือว่าชอบด้วยมาตรา 164

3. พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 14 (2)

หลักการ:

มาตรานี้กำหนดอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการในคดีอาญา โดยระบุว่า:

พนักงานอัยการมีหน้าที่ดำเนินคดีอาญาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

หรือดำเนินคดีตามกฎหมายอื่นที่บัญญัติให้อำนาจเป็นหน้าที่ของสำนักงานอัยการสูงสุดหรือพนักงานอัยการ

วัตถุประสงค์:

เพื่อกำหนดขอบเขตอำนาจของพนักงานอัยการให้ครอบคลุมกรณีที่ต้องดำเนินคดีอาญาตามบทบัญญัติของกฎหมายต่าง ๆ รวมถึงกรณีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริต

การนำมาใช้ในบทความ:

ในบทความ การที่พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีปราบปรามการทุจริต 1 ได้รับมอบหมายจากอัยการสูงสุดให้ฟ้องคดีจำเลยที่เกี่ยวข้องนั้น ถือเป็นการดำเนินคดีโดยชอบด้วยมาตรา 14 (2) และไม่จำเป็นต้องมอบอำนาจเพิ่มเติมตามหลักตัวแทนใน ป.พ.พ. แต่อย่างใด

สรุปความสำคัญของกฎหมายทั้งสามมาตรา

ป.วิ.อ. มาตรา 163 และ 164

รักษาความยุติธรรมในกระบวนการแก้ไขฟ้องคดีอาญา

ป้องกันการแก้ไขฟ้องที่ไม่เป็นธรรมต่อจำเลย

สร้างความชัดเจนให้กับคดี

พ.ร.บ.องค์กรอัยการฯ มาตรา 14 (2)

กำหนดอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการในคดีอาญา

รองรับการดำเนินคดีในกรณีที่มีความซับซ้อน เช่น คดีทุจริต

การผสานหลักกฎหมายเหล่านี้ในบทความ ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่า การดำเนินคดีและการแก้ฟ้องในคดีนี้เป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด และป้องกันการกระทำที่อาจขัดต่อความยุติธรรมต่อคู่ความในคดี

*****บทความ: อำนาจฟ้องคดีคืออะไร?

อำนาจฟ้องคดี คือ สิทธิหรือความชอบธรรมของบุคคลหรือหน่วยงานที่สามารถนำคดีเข้าสู่ศาลเพื่อพิจารณาพิพากษาได้ โดยอำนาจฟ้องแบ่งออกเป็น 2 ส่วนสำคัญ คือ อำนาจฟ้องในคดีแพ่ง และ อำนาจฟ้องในคดีอาญา ซึ่งขึ้นอยู่กับประเภทของคดีและบทบัญญัติทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

อำนาจฟ้องในคดีแพ่ง

ในคดีแพ่ง บุคคลที่มีอำนาจฟ้องจะต้องมีสถานะเป็น “ผู้เสียหาย” หรือ “เจ้าของสิทธิที่ถูกละเมิด” โดยมีข้อพิพาทที่ชัดเจน เช่น การละเมิดสิทธิทางสัญญา หรือการเรียกร้องค่าเสียหาย ตัวอย่างที่สำคัญคือ:

1.โจทก์ต้องมีส่วนได้เสียในข้อพิพาทนั้น

2.ต้องฟ้องในเขตอำนาจศาลที่เกี่ยวข้อง

3.ต้องไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายอื่นที่ระบุว่าไม่มีอำนาจฟ้อง

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง:

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์มีอำนาจฟ้องและชนะคดี:

1.ฎีกาที่ 1312/2538: คดีการฟ้องเรียกคืนทรัพย์สินที่ถูกละเมิด ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง เนื่องจากโจทก์เป็นผู้เสียหายที่ถูกละเมิดสิทธิในทรัพย์สินโดยตรง

2.ฎีกาที่ 4287/2545: คดีฟ้องเพิกถอนการโอนกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินของจำเลย ศาลเห็นว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องเพราะการโอนกรรมสิทธิ์เป็นโมฆะ

3.ฎีกาที่ 7821/2560: โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากการละเมิดสัญญา ศาลชี้ว่าโจทก์มีสิทธิเสียหายโดยตรงและมีอำนาจฟ้อง

4.ฎีกาที่ 2543/2553: โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยในกรณีถูกเลิกจ้างไม่เป็นธรรม ศาลเห็นว่าโจทก์มีสถานะเป็นผู้เสียหายโดยตรง

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและศาลยกฟ้อง:

1.ฎีกาที่ 2105/2541: โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากบุคคลที่สามที่ไม่เกี่ยวข้อง ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มีสถานะเป็นผู้เสียหาย

2.ฎีกาที่ 3456/2554: การฟ้องเพิกถอนนิติกรรมที่โจทก์ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง ศาลยกฟ้องเนื่องจากขาดอำนาจฟ้อง

3.ฎีกาที่ 7182/2556: การฟ้องในเขตศาลที่ไม่ใช่เขตอำนาจพิจารณา

4.ฎีกาที่ 6123/2564: โจทก์ฟ้องคดีที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของบุคคลอื่นโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ

อำนาจฟ้องในคดีอาญา

ในคดีอาญา บุคคลหรือหน่วยงานที่มีอำนาจฟ้อง ได้แก่:

1.ผู้เสียหายโดยตรง

2.พนักงานอัยการ ที่ได้รับมอบหมายจากรัฐ

3.บุคคลที่ได้รับมอบอำนาจตามกฎหมาย

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง:

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์มีอำนาจฟ้องและชนะคดี:

1.ฎีกาที่ 4368/2551: พนักงานอัยการฟ้องคดีทุจริต ศาลชี้ว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องตามกฎหมาย

2.ฎีกาที่ 2174/2542: คดีที่โจทก์ผู้เสียหายโดยตรงฟ้องคดีฐานลักทรัพย์ ศาลเห็นว่ามีสิทธินำคดีสู่ศาล

3.ฎีกาที่ 7825/2562: คดีหมิ่นประมาทที่โจทก์เป็นผู้เสียหายโดยตรง ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้อง

4.ฎีกาที่ 3301/2565: คดีที่โจทก์เป็นพนักงานอัยการดำเนินคดีฐานฟอกเงินตามกฎหมายเฉพาะ

•คำพิพากษาศาลฎีกาที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องและศาลยกฟ้อง:

1.ฎีกาที่ 4563/2537: โจทก์ไม่ได้เป็นผู้เสียหายโดยตรงในคดีฉ้อโกง

2.ฎีกาที่ 6123/2551: โจทก์ฟ้องในกรณีที่สิทธิในคดีอาญาหมดอายุความแล้ว

3.ฎีกาที่ 2342/2560: ฟ้องคดีอาญาโดยบุคคลที่ไม่ได้รับอำนาจจากพนักงานอัยการ

4.ฎีกาที่ 4890/2564: คดีที่โจทก์ไม่ได้มีส่วนได้เสียโดยตรง และฟ้องในข้อหาที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง

การศึกษาเปรียบเทียบ

จากคำพิพากษาดังกล่าว จะเห็นได้ว่า:

•กรณีที่โจทก์มีอำนาจฟ้อง: โจทก์จะต้องมีสถานะเป็นผู้เสียหายโดยตรงหรือมีอำนาจตามกฎหมาย

•กรณีที่โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง: มักเกิดจากการขาดสถานะผู้เสียหาย หรือไม่ได้รับมอบอำนาจตามที่กฎหมายกำหนด

สรุป

อำนาจฟ้องคดีเป็นหัวใจสำคัญในกระบวนการพิจารณาคดี หากโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง คดีก็ไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ การตรวจสอบความถูกต้องของอำนาจฟ้องจึงเป็นหน้าที่ของศาลในการรักษาความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมทั้งคดีแพ่งและคดีอาญา

ท นาย อาสา ฟรี




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

การนับโทษจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุดและข้อจำกัดมาตรา 190(ฎีกา 322/2567)
คดีไม่ไปรายงานตัวทหาร ศาลฎีกายกฟ้องแม้จำเลยรับสารภาพเหตุไร้เจตนา(ฎีกาที่ 532/2567)
อำนาจฟ้องละเมิดกรณีเพลิงไหม้จากงานรัฐ(ฎีกา 613/2567)
สิทธิผู้เสียหายในคดีทรัพย์มรดกและการเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วม(ฎีกา 633/2567)
คดีแข่งรถในทาง การห้ามฎีกาข้อเท็จจริง(ฎีกาที่ 781/2567)
ยอมความคดีแพ่งไม่ทำให้คดีอาญาระงับ,ป.วิ.อ. ม.39(2), (ฎีกา 3681/2568)
คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567)
สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567)
ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)ป.วิ.อ. มาตรา 84 (ฎีกา 6820/2567)
(ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร
(ฎีกาที่ 3462/2567): อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและฟอกเงิน
(ฎีกาที่ 3672/2567): การทำร้ายร่างกายและการตีความการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2567: คดีฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน และประเด็นความชอบด้วยกฎหมายในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2567 การลักทรัพย์นายจ้างหลายกรรม และการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4317/2567: คดีลักทรัพย์-ขาดเจตนาทุจริต แต่ยังมีหน้าที่คืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน
ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน(ฎีกาที่ 8082/2567)
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจพนักงานสอบสวน & ฎีกาต้องห้ามข้อเท็จจริงคดีอาวุธปืน (ฎีกา 1016/2567)
บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567)
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน