.jpg)
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
บรรยายฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จโดยว่าจำเลยได้เบิกความในคดีหมายเลขใด ใครโจทก์ -จำเลย ความจริงเป็นอย่างไร แม้จะเข้าใจได้ว่าคดีที่เบิกความเป็นการพิจารณาคดีอาญา และข้อความที่เบิกความเป็นข้อสำคัญในคดี แต่มิได้กล่าวมาในฟ้องว่าคดีอาญานั้นมีข้อหาความผิดตามกฎหมายใด ประเด็นข้อสำคัญในคดีมีว่าอย่างใด และคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญอย่างไร จึงถือว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดมาโดยครบถ้วนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และยังเป็นฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 274/2546
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลแขวงพระนครเหนือ โดยเพียงแต่กล่าวว่าจำเลยได้เบิกความในคดีหมายเลขใด ระหว่างผู้ใดโจทก์ ผู้ใดจำเลย และข้อความที่เบิกความกับว่าความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งแม้จะเข้าใจได้ว่าคดีที่เบิกความเป็นการพิจารณาคดีอาญา และโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องว่าข้อความที่เบิกความเป็นข้อสำคัญในคดี แต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องว่าคดีอาญานั้นมีข้อหาความผิดตามบทกฎหมายใด ประเด็นอันเป็นข้อสำคัญในคดีมีว่าอย่างใด และคำเบิกความของจำเลยเป็นข้อสำคัญอย่างไร จึงถือว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิดมาโดยครบถ้วนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และยังเป็นฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิดตามบทมาตราในกฎหมายที่ขอให้ลงโทษจำเลยด้วย ศาลจึงพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ กรณีมิใช่เรื่องฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องตามมาตรา 161 ได้
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2541 เวลากลางวันจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลแขวงพระนครเหนือในคดีหมายเลขดำที่ 461/2540 (คดีแดงที่ 442/2542) ระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด กองคดีแขวงพระนครเหนือโจทก์ นายสมบูรณ์ กับทนายความ 2 คน จำเลยว่า "เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม2540 เวลาประมาณ 18 นาฬิกา โจทก์ได้พูดใส่ความจำเลยที่ 1 ต่อหน้าจำเลยที่ 2 ว่าจำเลยที่ 1 โกงเงินโจทก์ไป..." ซึ่งเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี โดยความจริงแล้ววันเวลาดังกล่าวโจทก์ไปพบจำเลยที่ 1 ก็เพื่อทวงเงินค่าจ้างที่จำเลยที่ 1 ค้างชำระโจทก์เป็นเงินจำนวน 170,000 บาท เมื่อไม่พบจำเลยที่ 1 ก็ได้พูดกับจำเลยที่ 2 ให้ช่วยบอกจำเลยที่ 1 ว่าให้จำเลยที่ 1 เตรียมเงินจำนวนดังกล่าวไว้ด้วยเดี๋ยวจะมาเอา การกระทำของจำเลยทั้งสองดังกล่าวทำให้โจทก์เสียหาย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 83, 178 วรรคสอง (ที่ถูกมาตรา 177 วรรคสอง)
ศาลชั้นต้นพิจารณาคำฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้แล้ว จึงให้งดไต่สวนมูลฟ้อง แล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งลงชื่อในคำพิพากษาศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า "ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า ฟ้องโจทก์ในข้อหาเบิกความเท็จเป็นฟ้องที่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5)และศาลชั้นต้นชอบที่จะมีคำสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องให้ถูกต้องได้หรือไม่ เห็นว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความอันเป็นเท็จต่อศาลแขวงพระนครเหนือ ในคดีหมายเลขดำที่ 461/2540 (คดีแดงที่ 442/2542) ระหว่าง พนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด กองคดีแขวงพระนครเหนือ โจทก์ นายสมบูรณ์ กับทนายความ 2 คน จำเลย ว่า "เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2540 เวลาประมาณ 18 นาฬิกาโจทก์ได้พูดใส่ความจำเลยที่ 1 ต่อหน้าจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 1 โกงเงินโจทก์ไป..."ซึ่งเป็นการเบิกความเท็จในข้อสำคัญแห่งคดี ตามคำบรรยายฟ้องโจทก์ดังกล่าว เพียงแต่กล่าวว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความในคดีหมายเลขใด ระหว่างผู้ใดโจทก์ผู้ใดจำเลยและข้อความที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความกับว่าความจริงเป็นอย่างไร ซึ่งแม้จะเข้าใจได้ว่าคดีที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความได้กระทำในการพิจารณาคดีอาญา และโจทก์ได้กล่าวมาในฟ้องว่าข้อความที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความเป็นข้อสำคัญในคดีก็ตามแต่เมื่อโจทก์มิได้กล่าวมาในฟ้องว่า คดีอาญาที่จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันเบิกความนั้นมีข้อหาความผิดตามบทกฎหมายใด ประเด็นอันเป็นข้อสำคัญในคดีมีว่าอย่างใด และคำเบิกความของจำเลยทั้งสองเป็นข้อสำคัญอย่างไร จึงถือว่าฟ้องโจทก์มิได้บรรยายถึงการกระทำที่อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้กระทำผิดมาโดยครบถ้วนไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158(5) และยังเป็นฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิดตามบทมาตราในกฎหมายที่ขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองด้วย จึงชอบที่ศาลจะพิพากษายกฟ้องโจทก์เสียได้ กรณีมิใช่เรื่องฟ้องไม่ถูกต้องตามกฎหมายซึ่งอยู่ในอำนาจของศาลที่จะสั่งให้โจทก์แก้ฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 161 ได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษายกฟ้องโจทก์มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น"
พิพากษายืน
มาตรา 158 ฟ้องต้องทำเป็นหนังสือ และมี
(1) ชื่อศาลและวันเดือนปี
(2) คดีระหว่างผู้ใดโจทก์ ผู้ใดจำเลย และฐานความผิด
(3) ตำแหน่งพนักงานอัยการผู้เป็นโจทก์ ถ้าราษฎรเป็นโจทก์ ให้ใส่ชื่อตัว นามสกุล อายุ ที่อยู่ ชาติและบังคับ
(4) ชื่อตัว นามสกุล ที่อยู่ ชาติและบังคับของจำเลย
(5) การกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำผิด ข้อเท็จจริง และรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้น ๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลย เข้าใจข้อหาได้ดี
ในคดีหมิ่นประมาท ถ้อยคำพูด หนังสือ ภาพขีดเขียนหรือสิ่งอื่น อันเกี่ยวกับข้อหมิ่นประมาท ให้กล่าวไว้โดยบริบูรณ์หรือติดมาท้ายฟ้อง
(6) อ้าง มาตรา กฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็น ความผิด
(7) ลายมือชื่อโจทก์ ผู้เรียง ผู้เขียนหรือพิมพ์ฟ้อง
ปรึกษากฎหมาย ปรึกษาทนายความลีนนท์ 085 9604258