
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568 อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมอายุ 15 ปีเศษ ได้โทรให้นาย ท. มารับจากมูลนิธิที่ตนทำงานอยู่ ไปยังกระท่อมนาในตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งภายหลังจำเลยทั้งหกและพวกได้เดินทางมาร่วมดื่มสุรากัน และเกิดเหตุข่มขืนกระทำชำเราขึ้น พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้รับแจ้งความและดำเนินคดีต่อนาย ท. ในข้อหาพรากผู้เยาว์ และดำเนินคดีจำเลยทั้งหกในข้อหาข่มขืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นลักษณะโทรมหญิง อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของนาย ท. และจำเลยทั้งหกเป็นคนละเหตุการณ์ คนละเจตนา ไม่ใช่การกระทำที่เกี่ยวเนื่องหรือต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) และ (4) การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อสอบสวนแทนหนองสังข์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด
📝 สรุปข้อเท็จจริงของคดี •โจทก์ร่วมอายุ 15 ปีเศษทำงานเป็นอาสาสมัครในมูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถาน •ได้โทรให้นาย ท. มารับเพื่อไปนั่งเล่นที่กระท่อมนาในพื้นที่อื่น ซึ่งต่อมาจำเลยทั้งหกปรากฏตัวและดื่มสุราร่วมกัน •โจทก์ร่วมอ้างว่า ถูกจำเลยทั้งหกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยเหตุเกิดในตำบลหนองสังข์ •พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้ดำเนินการสอบสวน •จำเลยให้การปฏิเสธ และมีการโต้แย้งว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนไม่มีอำนาจตามกฎหมาย •ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งหกตาม ป.อ. มาตรา 276 และให้ชดใช้ค่าสินไหม •ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ยกฟ้องทั้งหมด •โจทก์ฎีกา และศาลฎีกาพิพากษายืนตามอุทธรณ์
⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า: •แม้เหตุจะเกี่ยวข้องกันในภาพรวม แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดในสองตำบลมีความเกี่ยวเนื่องกัน •นาย ท. และจำเลยทั้งหกกระทำความผิดต่างคราว ต่างเจตนา ไม่ใช่ร่วมกันกระทำ •คดีจึงไม่มีลักษณะเป็นความผิดต่อเนื่องกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) หรือ (4) •พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อไม่มีอำนาจสอบสวนในพื้นที่ที่จำเลยกระทำผิด •การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง •พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ยกฟ้องทั้งหมด
📚 ขยายความประเด็นทางกฎหมาย 🔹 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 •มาตรา 19 (3) และ (4) ให้อำนาจพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งสอบสวนคดีที่เกิดหลายพื้นที่ได้ หากมีความต่อเนื่องหรือหลายกรรมในเหตุเดียวกัน •ในกรณีนี้ ศาลวินิจฉัยว่า เหตุการณ์แบ่งเป็นสองส่วนชัดเจน คือ *นาย ท. พรากผู้เยาว์ *จำเลยทั้งหกข่มขืนโจทก์ร่วม •จึงถือเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ ไม่ใช่คดีที่มี “ความต่อเนื่อง” 🔹 หลักความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการสอบสวน •หากการสอบสวนเกิดขึ้นโดยพนักงานสอบสวนที่ไม่มีเขตอำนาจตามท้องที่ ถือว่ากระบวนการสอบสวนไม่ชอบ •เมื่อสอบสวนไม่ชอบ การฟ้องคดีต่อศาลก็ไม่ชอบไปด้วย •ส่งผลให้คดีทั้งหมดต้องถูกยกฟ้อง แม้มีพยานหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงก็ตาม
💡 ข้อคิดทางกฎหมาย •การสอบสวนคดีอาญาต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ขั้นตอนแรก หากผิดตั้งแต่การสอบสวน ย่อมกระทบสิทธิในการฟ้องของโจทก์ทั้งหมด •ทนายความและผู้เสียหายควรตรวจสอบอำนาจของพนักงานสอบสวนแต่แรก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางรูปคดีภายหลัง •เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเคร่งครัดเรื่องเขตอำนาจตามสถานที่เกิดเหตุอย่างยิ่ง เพราะผลของการขาดเขตอำนาจมีผลร้ายแรงต่อสิทธิของผู้เสียหาย
📌 วิเคราะห์ฎีกา ประเด็นปัญหา พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อมีอำนาจสอบสวนจำเลยทั้งหกในคดีข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่ กฎหมายที่ใช้บังคับ •ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3), (4) ว่าด้วยอำนาจสอบสวนเมื่อมีเหตุเกิดในหลายท้องที่ •หลักการพิจารณา “ความต่อเนื่อง” ของการกระทำความผิด •ความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการสอบสวน
การปรับใช้กับคดีนี้ •การกระทำผิดของนาย ท. และจำเลยทั้งหกแยกกัน ไม่ได้มีลักษณะต่อเนื่อง •โจทก์ไม่ได้บรรยายความเกี่ยวเนื่องของเหตุในสองท้องที่ •การสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ผิดเขตจึงไม่ชอบตามกฎหมาย สรุปผล เมื่อการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568 ปรากฏตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทหญิง ก. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อ ว่า หลังจากโจทก์ร่วมเข้าแจ้งความต่อพยานให้ดำเนินคดีแก่ ท. และจำเลยทั้งหกกับพวก พยานสอบปากคำโจทก์ร่วมและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ท. กระทำความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ส่วนจำเลยทั้งหกกับพวกกระทำความผิดข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ท. และจำเลยทั้งหกเข้ามอบตัวต่อพยาน พยานจึงแจ้งข้อหา ท. ว่า พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งหกว่า ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จากการสอบสวนพยานเชื่อว่าการที่ ท. ไปรับตัวโจทก์ร่วมมาจากมูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถานไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งหก คำเบิกความพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบการแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีแก่ ท. และจำเลยทั้งหก เห็นได้ว่า ท. และจำเลยทั้งหกไม่ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกัน แต่กระทำความผิดต่างคราวและต่างเจตนาแยกต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่า เหตุเกิดที่ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เกี่ยวพันกันด้วยแต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งหกจึงไม่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ ทั้งกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวไม่ใช่หลายกรรม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) และ (4) เมื่อคดีนี้จำเลยทั้งหกถูกฟ้องว่าร่วมกันกระทำความผิดในกระท่อมนาที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแต้ ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์จึงเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 276 เพิ่มโทษจำเลยที่ 4 ตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1011/2564 ของศาลชั้นต้น จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา นางสาว อ. โดยนางสาว ศ. ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเกิดเหตุจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 มิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้อง จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 กระทำชำเราโจทก์ร่วมด้วยความยินยอมของโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 15 ปี ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 อายุ 18 ปีเศษ 19 ปีเศษ และ 18 ปีเศษ ตามลำดับ ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 คนละ 7 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 4 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 20 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งหกเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งหกหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 11 ปี 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 15 ปี จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 คนละ 5 ปี 7 เดือน 15 วัน นับโทษจำเลยที่ 4 คดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1011/2564 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยทั้งหกชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า นางสาว อ. โจทก์ร่วม เป็นบุตรของนาย น. กับนางสาว ศ. เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ขณะเกิดเหตุอายุ 15 ปีเศษ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะโจทก์ร่วมทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุที่มูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถาน ตั้งอยู่ที่ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อ โจทก์ร่วมได้รับโทรศัพท์จากนางสาว จ. ซึ่งเป็นเพื่อนโจทก์ร่วมชวนโจทก์ร่วมไปนั่งเล่นกันที่กระท่อมนาที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแต้ ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์ โจทก์ร่วมจึงโทรศัพท์ให้นาย ท. มารับ หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง นาย ท. ขับรถจักรยานยนต์มารับโจทก์ร่วมไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบว่ากระท่อมนาที่เกิดเหตุเป็นกระท่อมโล่ง ๆ ไม่มีฝาผนัง ไม่มีประตูและหน้าต่าง มีการกั้นลักษณะเป็นคอกวัว มีเปลญวนผูกไว้ระหว่างต้นไม้กับคอกวัว ไม่พบบุคคลใดในบริเวณดังกล่าว โจทก์ร่วมและนาย ท. จึงนอนเล่นที่เปลญวน สักพักหนึ่งจำเลยทั้งหกกับพวกรวมประมาณ 10 คน ทยอยเดินทางกันมาที่กระท่อมนาที่เกิดเหตุด้วยรถจักรยานยนต์และรถเก๋ง แล้วนั่งดื่มสุรากันบริเวณใกล้ ๆ กระท่อม โดยโจทก์ร่วมได้ร่วมดื่มด้วย จนกระทั่งเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น โจทก์ร่วมขึ้นไปนอนบนกระท่อม ต่อมาเวลาประมาณ 4 นาฬิกา นาย ท. ขับรถจักรยานยนต์พาโจทก์ร่วมกลับไปที่มูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถาน ในวันเดียวกันโจทก์ร่วมแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อให้ดำเนินคดีแก่นาย ท. และจำเลยทั้งหกกับพวก พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อสอบปากคำโจทก์ร่วมและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วจึงดำเนินคดีแก่นาย ท. ข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งหกข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่เนื่องจากนาย ท. มีอายุ 17 ปีเศษ จึงแยกฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ ส่วนจำเลยทั้งหกถูกฟ้องเป็นคดีนี้
คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไปและเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้จึงมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ปรากฏตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทหญิง ก. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า หลังจากโจทก์ร่วมเข้าแจ้งความต่อพยานให้ดำเนินคดีแก่นาย ท. และจำเลยทั้งหกกับพวก พยานสอบปากคำโจทก์ร่วมและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วเห็นว่านาย ท. กระทำความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ส่วนจำเลยทั้งหกกับพวกกระทำความผิดข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง นาย ท. และจำเลยทั้งหกเข้ามอบตัวต่อพยาน พยานจึงแจ้งข้อหานาย ท. ว่า พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งหกว่า ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง สอบปากคำนาย ท. และจำเลยทั้งหกไว้ นอกจากนี้ยังปรากฏตามคำเบิกความที่พยานตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งหกว่า จากการสอบสวนพยานเชื่อว่าการที่นาย ท. ไปรับตัวโจทก์ร่วมมาจากมูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถานไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งหก ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบการแจ้งข้อหาและดำเนินคดีแก่นาย ท. และจำเลยทั้งหก เห็นได้ว่านาย ท. และจำเลยทั้งหกไม่ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกัน แต่กระทำความผิดต่างคราวและต่างเจตนาแยกต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่าเหตุเกิดที่ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ โดยไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เกี่ยวพันกันด้วยแต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งหกจึงไม่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ ทั้งกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวไม่ใช่หลายกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (3) และ (4) เมื่อคดีนี้จำเลยทั้งหกถูกฟ้องว่าร่วมกันกระทำความผิดในกระท่อมนาที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแต้ ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์จึงเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน
🔎 หลักกฎหมาย: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (3) และ (4) มาตรา 19 บัญญัติเรื่อง "เจ้าพนักงานสอบสวนในเขตอำนาจของศาลใดมีอำนาจสอบสวนในคดีอาญาได้ในกรณีใดบ้าง" โดยเฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในหลายท้องที่ หรือมีความเกี่ยวเนื่องกัน ▪️ มาตรา 19 (3) “เมื่อความผิดได้เริ่มกระทำลงในเขตหนึ่ง และได้สำเร็จหรือผลได้เกิดขึ้นในอีกเขตหนึ่ง” ▪️ มาตรา 19 (4) “เมื่อความผิดได้กระทำลงต่อเนื่องกันในหลายเขต หรือเป็นความผิดหลายกรรมอันเกี่ยวเนื่องกันและกระทำลงในเขตต่าง ๆ”
📚 คำอธิบายประกอบ ✅ มาตรา 19 (3): ให้ความสำคัญกับ เหตุการณ์ที่เริ่มในที่หนึ่ง แล้วผลสำเร็จเกิดอีกที่หนึ่ง เช่น •ผู้ร้ายยิงเหยื่อที่จังหวัด ก. แต่เหยื่อไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในจังหวัด ข. •หรือมีการส่งข้อความขู่ฆ่าจากจังหวัดหนึ่ง แล้วเหยื่อได้รับผลกระทบที่อีกจังหวัดหนึ่ง ทั้งสองพื้นที่ถือว่ามี “เขตอำนาจสอบสวน” ร่วมกัน
✅ มาตรา 19 (4): ใช้ในกรณีที่การกระทำผิด เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ หรือเป็นความผิดหลายกรรมที่เกี่ยวข้องกัน เช่น •คดีค้ายาเสพติดที่มีการขนส่งผ่านหลายจังหวัด •คดีขโมยของต่อเนื่องหลายพื้นที่ •คดีหลอกลวงหลายคนในหลายจังหวัด โดยใช้รูปแบบเดียวกัน ผู้กระทำผิดเดียวกันในลักษณะต่อเนื่องหรือเป็นขบวนการ จะเข้าข่ายให้เจ้าพนักงานสอบสวนใน "พื้นที่หนึ่งใด" ที่เกี่ยวข้อง สามารถสอบสวนคดีได้
🧩 ตัวอย่างประกอบ ❌ กรณี ไม่เข้าข่าย มาตรา 19 (3) หรือ (4): คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568 •นาย ท. กระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ที่ตำบลช่องสามหมอ •จำเลยทั้งหก กระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืน ที่ตำบลหนองสังข์ •ศาลวินิจฉัยว่า เป็น การกระทำคนละคราว คนละเจตนา ไม่มีความเกี่ยวเนื่อง •ไม่ใช่เหตุการณ์ต่อเนื่องหรือหลายกรรมที่เชื่อมโยงกัน ➡️ พนักงานสอบสวนที่ช่องสามหมอไม่มีอำนาจสอบสวนจำเลยทั้งหกที่ก่อเหตุอีกตำบลหนึ่ง
✅ ตัวอย่างที่ เข้าข่าย มาตรา 19 (4): •นาย ก. ร่วมกับพวก ลักทรัพย์ร้านทองในจังหวัด ก. แล้วหลบหนีไปขายในจังหวัด ข. •ขณะเดินทางมีการปลอมแปลงเอกสารครอบครอง และใช้เอกสารปลอมในจังหวัด ค. ➡️ แม้เหตุเกิดในหลายจังหวัด แต่การกระทำเป็นชุดเดียวกัน มี “ความเกี่ยวเนื่องกันและต่อเนื่องกัน” ➡️ พนักงานสอบสวนจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งในเหตุการณ์นี้ย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ตามมาตรา 19 (4)
🧭 สรุปสาระสำคัญ •มาตรา 19 (3) ใช้เมื่อความผิดเริ่มในที่หนึ่ง แต่ผลเกิดในอีกที่หนึ่ง •มาตรา 19 (4) ใช้เมื่อความผิดเกิดต่อเนื่องในหลายพื้นที่ หรือหลายกรรมที่เกี่ยวพัน •ทั้งสองกรณีเปิดโอกาสให้ “พนักงานสอบสวนในเขตหนึ่งที่เกี่ยวข้อง” ดำเนินการสอบสวนได้โดยชอบ •ในคดีที่พฤติการณ์ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เช่น คนละเวลา คนละวัตถุประสงค์ คนละสถานที่ จะ ไม่เข้าข่าย ทำให้ต้องแยกคดีสอบสวนตามท้องที่จริงเท่านั้น |