ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568


🔍 คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการวินิจฉัยว่าโจทก์มีอำนาจฟ้องหรือไม่ ในคดีที่จำเลยทั้งหกถูกกล่าวหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เยาว์ โดยประเด็นสำคัญอยู่ที่การสอบสวนโดยพนักงานสอบสวนที่ไม่มีอำนาจในท้องที่ซึ่งเหตุเกิด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การสอบสวนดังกล่าวไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง แม้จะมีการกล่าวหาว่ากระทำผิดในหลายท้องที่ก็ตาม


สรุปย่อฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โจทก์ร่วมอายุ 15 ปีเศษ ได้โทรให้นาย ท. มารับจากมูลนิธิที่ตนทำงานอยู่ ไปยังกระท่อมนาในตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งภายหลังจำเลยทั้งหกและพวกได้เดินทางมาร่วมดื่มสุรากัน และเกิดเหตุข่มขืนกระทำชำเราขึ้น

พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้รับแจ้งความและดำเนินคดีต่อนาย ท. ในข้อหาพรากผู้เยาว์ และดำเนินคดีจำเลยทั้งหกในข้อหาข่มขืนโดยใช้กำลังประทุษร้าย ซึ่งเป็นลักษณะโทรมหญิง

อย่างไรก็ตาม ศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การกระทำของนาย ท. และจำเลยทั้งหกเป็นคนละเหตุการณ์ คนละเจตนา ไม่ใช่การกระทำที่เกี่ยวเนื่องหรือต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) และ (4) การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อสอบสวนแทนหนองสังข์ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ส่งผลให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหมด


📝 สรุปข้อเท็จจริงของคดี

•โจทก์ร่วมอายุ 15 ปีเศษทำงานเป็นอาสาสมัครในมูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถาน

•ได้โทรให้นาย ท. มารับเพื่อไปนั่งเล่นที่กระท่อมนาในพื้นที่อื่น ซึ่งต่อมาจำเลยทั้งหกปรากฏตัวและดื่มสุราร่วมกัน

•โจทก์ร่วมอ้างว่า ถูกจำเลยทั้งหกร่วมกันข่มขืนกระทำชำเรา โดยเหตุเกิดในตำบลหนองสังข์

•พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้ดำเนินการสอบสวน

•จำเลยให้การปฏิเสธ และมีการโต้แย้งว่าเจ้าหน้าที่สอบสวนไม่มีอำนาจตามกฎหมาย

•ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยทั้งหกตาม ป.อ. มาตรา 276 และให้ชดใช้ค่าสินไหม

•ศาลอุทธรณ์กลับคำพิพากษา ยกฟ้องทั้งหมด

•โจทก์ฎีกา และศาลฎีกาพิพากษายืนตามอุทธรณ์


⚖️ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า:

•แม้เหตุจะเกี่ยวข้องกันในภาพรวม แต่โจทก์ไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดในสองตำบลมีความเกี่ยวเนื่องกัน

•นาย ท. และจำเลยทั้งหกกระทำความผิดต่างคราว ต่างเจตนา ไม่ใช่ร่วมกันกระทำ

•คดีจึงไม่มีลักษณะเป็นความผิดต่อเนื่องกันตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) หรือ (4)

•พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อไม่มีอำนาจสอบสวนในพื้นที่ที่จำเลยกระทำผิด

•การสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง

•พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 3 ให้ยกฟ้องทั้งหมด


📚 ขยายความประเด็นทางกฎหมาย

🔹 ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19

•มาตรา 19 (3) และ (4) ให้อำนาจพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งสอบสวนคดีที่เกิดหลายพื้นที่ได้ หากมีความต่อเนื่องหรือหลายกรรมในเหตุเดียวกัน

•ในกรณีนี้ ศาลวินิจฉัยว่า เหตุการณ์แบ่งเป็นสองส่วนชัดเจน คือ

*นาย ท. พรากผู้เยาว์

*จำเลยทั้งหกข่มขืนโจทก์ร่วม

•จึงถือเป็นการกระทำผิดต่างกรรมต่างวาระ ไม่ใช่คดีที่มี “ความต่อเนื่อง”

🔹 หลักความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการสอบสวน

•หากการสอบสวนเกิดขึ้นโดยพนักงานสอบสวนที่ไม่มีเขตอำนาจตามท้องที่ ถือว่ากระบวนการสอบสวนไม่ชอบ

•เมื่อสอบสวนไม่ชอบ การฟ้องคดีต่อศาลก็ไม่ชอบไปด้วย

•ส่งผลให้คดีทั้งหมดต้องถูกยกฟ้อง แม้มีพยานหลักฐานว่ามีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริงก็ตาม


💡 ข้อคิดทางกฎหมาย

•การสอบสวนคดีอาญาต้องเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายตั้งแต่ขั้นตอนแรก หากผิดตั้งแต่การสอบสวน ย่อมกระทบสิทธิในการฟ้องของโจทก์ทั้งหมด

•ทนายความและผู้เสียหายควรตรวจสอบอำนาจของพนักงานสอบสวนแต่แรก เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาทางรูปคดีภายหลัง

•เจ้าหน้าที่ตำรวจควรเคร่งครัดเรื่องเขตอำนาจตามสถานที่เกิดเหตุอย่างยิ่ง เพราะผลของการขาดเขตอำนาจมีผลร้ายแรงต่อสิทธิของผู้เสียหาย


📌 วิเคราะห์ฎีกา 

ประเด็นปัญหา

พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อมีอำนาจสอบสวนจำเลยทั้งหกในคดีข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่

กฎหมายที่ใช้บังคับ

•ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3), (4) ว่าด้วยอำนาจสอบสวนเมื่อมีเหตุเกิดในหลายท้องที่

•หลักการพิจารณา “ความต่อเนื่อง” ของการกระทำความผิด

•ความชอบด้วยกฎหมายของกระบวนการสอบสวน


การปรับใช้กับคดีนี้

•การกระทำผิดของนาย ท. และจำเลยทั้งหกแยกกัน ไม่ได้มีลักษณะต่อเนื่อง

•โจทก์ไม่ได้บรรยายความเกี่ยวเนื่องของเหตุในสองท้องที่

•การสอบสวนโดยเจ้าหน้าที่ผิดเขตจึงไม่ชอบตามกฎหมาย

สรุปผล

เมื่อการสอบสวนไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ให้ยกฟ้องจำเลยทั้งหก


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568

ปรากฏตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทหญิง ก. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อ ว่า หลังจากโจทก์ร่วมเข้าแจ้งความต่อพยานให้ดำเนินคดีแก่ ท. และจำเลยทั้งหกกับพวก พยานสอบปากคำโจทก์ร่วมและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า ท. กระทำความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ส่วนจำเลยทั้งหกกับพวกกระทำความผิดข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ท. และจำเลยทั้งหกเข้ามอบตัวต่อพยาน พยานจึงแจ้งข้อหา ท. ว่า พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งหกว่า ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง จากการสอบสวนพยานเชื่อว่าการที่ ท. ไปรับตัวโจทก์ร่วมมาจากมูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถานไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งหก คำเบิกความพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบการแจ้งข้อกล่าวหาและดำเนินคดีแก่ ท. และจำเลยทั้งหก เห็นได้ว่า ท. และจำเลยทั้งหกไม่ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกัน แต่กระทำความผิดต่างคราวและต่างเจตนาแยกต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่า เหตุเกิดที่ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เกี่ยวพันกันด้วยแต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งหกจึงไม่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ ทั้งกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวไม่ใช่หลายกรรม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 19 (3) และ (4) เมื่อคดีนี้จำเลยทั้งหกถูกฟ้องว่าร่วมกันกระทำความผิดในกระท่อมนาที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแต้ ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์จึงเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 92, 276 เพิ่มโทษจำเลยที่ 4 ตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยที่ 4 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1011/2564 ของศาลชั้นต้น

จำเลยทั้งหกให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 4 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ


ระหว่างพิจารณา นางสาว อ. โดยนางสาว ศ. ผู้แทนโดยชอบธรรม ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต และโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 300,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันเกิดเหตุจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม

จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 6 มิได้กระทำความผิดตามฟ้อง จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้อง

จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 ให้การในคดีส่วนแพ่งว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 5 กระทำชำเราโจทก์ร่วมด้วยความยินยอมของโจทก์ร่วม จึงไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วม ขอให้ยกคำร้อง


ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสาม ประกอบมาตรา 83 จำคุกจำเลยที่ 2 ถึงที่ 4 คนละ 15 ปี ขณะกระทำความผิดจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 อายุ 18 ปีเศษ 19 ปีเศษ และ 18 ปีเศษ ตามลำดับ ลดมาตราส่วนโทษให้จำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 คนละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 76 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 คนละ 7 ปี 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 4 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 20 ปี ทางนำสืบของจำเลยทั้งหกเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้จำเลยทั้งหกหนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 คนละ 11 ปี 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 4 มีกำหนด 15 ปี จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 5 และที่ 6 คนละ 5 ปี 7 เดือน 15 วัน นับโทษจำเลยที่ 4 คดีนี้ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1011/2564 ของศาลชั้นต้น กับให้จำเลยทั้งหกชดใช้ค่าสินไหมทดแทน 60,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี นับแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ร่วม หากกระทรวงการคลังปรับเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยโดยตราเป็นพระราชกฤษฎีกาเมื่อใด ก็ให้ปรับเปลี่ยนไปตามนั้น แต่ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 5 ต่อปี ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งให้เป็นพับ

จำเลยทั้งหกอุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับว่า ยกฟ้อง ยกคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ และยกคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งหกร่วมกันชดใช้ค่าสินไหมทดแทน ค่าฤชาธรรมเนียมในคดีส่วนแพ่งทั้งสองศาลให้เป็นพับ

โจทก์ฎีกา


ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังยุติว่า นางสาว อ. โจทก์ร่วม เป็นบุตรของนาย น. กับนางสาว ศ. เกิดเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2549 ขณะเกิดเหตุอายุ 15 ปีเศษ วันที่ 1 กรกฎาคม 2564 เวลาประมาณ 22 นาฬิกา ขณะโจทก์ร่วมทำงานเป็นอาสาสมัครช่วยเหลือผู้ประสบอุบัติเหตุที่มูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถาน ตั้งอยู่ที่ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อ โจทก์ร่วมได้รับโทรศัพท์จากนางสาว จ. ซึ่งเป็นเพื่อนโจทก์ร่วมชวนโจทก์ร่วมไปนั่งเล่นกันที่กระท่อมนาที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแต้ ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์ โจทก์ร่วมจึงโทรศัพท์ให้นาย ท. มารับ หลังจากนั้นประมาณ 1 ชั่วโมง นาย ท. ขับรถจักรยานยนต์มารับโจทก์ร่วมไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุ เมื่อไปถึงพบว่ากระท่อมนาที่เกิดเหตุเป็นกระท่อมโล่ง ๆ ไม่มีฝาผนัง ไม่มีประตูและหน้าต่าง มีการกั้นลักษณะเป็นคอกวัว มีเปลญวนผูกไว้ระหว่างต้นไม้กับคอกวัว ไม่พบบุคคลใดในบริเวณดังกล่าว โจทก์ร่วมและนาย ท. จึงนอนเล่นที่เปลญวน สักพักหนึ่งจำเลยทั้งหกกับพวกรวมประมาณ 10 คน ทยอยเดินทางกันมาที่กระท่อมนาที่เกิดเหตุด้วยรถจักรยานยนต์และรถเก๋ง แล้วนั่งดื่มสุรากันบริเวณใกล้ ๆ กระท่อม โดยโจทก์ร่วมได้ร่วมดื่มด้วย จนกระทั่งเวลาประมาณ 2 นาฬิกา ของวันรุ่งขึ้น โจทก์ร่วมขึ้นไปนอนบนกระท่อม ต่อมาเวลาประมาณ 4 นาฬิกา นาย ท. ขับรถจักรยานยนต์พาโจทก์ร่วมกลับไปที่มูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถาน ในวันเดียวกันโจทก์ร่วมแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อให้ดำเนินคดีแก่นาย ท. และจำเลยทั้งหกกับพวก พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อสอบปากคำโจทก์ร่วมและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วจึงดำเนินคดีแก่นาย ท. ข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และดำเนินคดีแก่จำเลยทั้งหกข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง แต่เนื่องจากนาย ท. มีอายุ 17 ปีเศษ จึงแยกฟ้องที่ศาลเยาวชนและครอบครัวจังหวัดชัยภูมิ ส่วนจำเลยทั้งหกถูกฟ้องเป็นคดีนี้


คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คดีนี้เป็นความผิดต่อเนื่องกันในท้องที่ต่าง ๆ เกินกว่าท้องที่หนึ่งขึ้นไปและเป็นความผิดซึ่งมีหลายกรรมกระทำลงในท้องที่ต่าง ๆ กัน พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งที่เกี่ยวข้องกับเหตุคดีนี้จึงมีอำนาจสอบสวน การสอบสวนชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง เห็นว่า ปรากฏตามคำเบิกความของร้อยตำรวจโทหญิง ก. พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อ พยานโจทก์และโจทก์ร่วมว่า หลังจากโจทก์ร่วมเข้าแจ้งความต่อพยานให้ดำเนินคดีแก่นาย ท. และจำเลยทั้งหกกับพวก พยานสอบปากคำโจทก์ร่วมและรวบรวมพยานหลักฐานแล้วเห็นว่านาย ท. กระทำความผิดข้อหาพรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย ส่วนจำเลยทั้งหกกับพวกกระทำความผิดข้อหาร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง นาย ท. และจำเลยทั้งหกเข้ามอบตัวต่อพยาน พยานจึงแจ้งข้อหานาย ท. ว่า พรากผู้เยาว์อายุกว่าสิบห้าปี แต่ยังไม่เกินสิบแปดปีไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครอง หรือผู้ดูแล เพื่อการอนาจาร โดยผู้เยาว์นั้นเต็มใจไปด้วย และแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งหกว่า ร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยผู้อื่นนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ อันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง สอบปากคำนาย ท. และจำเลยทั้งหกไว้ นอกจากนี้ยังปรากฏตามคำเบิกความที่พยานตอบคำถามค้านทนายจำเลยทั้งหกว่า จากการสอบสวนพยานเชื่อว่าการที่นาย ท. ไปรับตัวโจทก์ร่วมมาจากมูลนิธิสว่างพุทธธรรมสถานไม่เกี่ยวข้องกับจำเลยทั้งหก ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวประกอบการแจ้งข้อหาและดำเนินคดีแก่นาย ท. และจำเลยทั้งหก เห็นได้ว่านาย ท. และจำเลยทั้งหกไม่ได้ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดร่วมกัน แต่กระทำความผิดต่างคราวและต่างเจตนาแยกต่างหากจากกัน ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องคดีนี้ว่าเหตุเกิดที่ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ โดยไม่ได้บรรยายว่าเหตุเกิดที่ตำบลช่องสามหมอ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ เกี่ยวพันกันด้วยแต่อย่างใด การกระทำความผิดของจำเลยทั้งหกจึงไม่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องและกระทำต่อเนื่องกันในหลายท้องที่ ทั้งกระทำความผิดเพียงกรรมเดียวไม่ใช่หลายกรรม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (3) และ (4) เมื่อคดีนี้จำเลยทั้งหกถูกฟ้องว่าร่วมกันกระทำความผิดในกระท่อมนาที่เกิดเหตุ ตั้งอยู่ที่บ้านหนองแต้ ตำบลหนองสังข์ อำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิ ซึ่งอยู่ในเขตอำนาจการสอบสวนของสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์ พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรหนองสังข์จึงเป็นผู้มีอำนาจสอบสวน การที่พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรแก้งคร้อเป็นผู้สอบสวนคดีนี้ จึงเป็นการสอบสวนที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ย่อมไม่มีอำนาจฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้นพิพากษายืน


🔎 หลักกฎหมาย: ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 19 (3) และ (4)

มาตรา 19 บัญญัติเรื่อง "เจ้าพนักงานสอบสวนในเขตอำนาจของศาลใดมีอำนาจสอบสวนในคดีอาญาได้ในกรณีใดบ้าง" โดยเฉพาะในกรณีที่มีเหตุการณ์เกิดขึ้นในหลายท้องที่ หรือมีความเกี่ยวเนื่องกัน

▪️ มาตรา 19 (3)

“เมื่อความผิดได้เริ่มกระทำลงในเขตหนึ่ง และได้สำเร็จหรือผลได้เกิดขึ้นในอีกเขตหนึ่ง”

▪️ มาตรา 19 (4)

“เมื่อความผิดได้กระทำลงต่อเนื่องกันในหลายเขต หรือเป็นความผิดหลายกรรมอันเกี่ยวเนื่องกันและกระทำลงในเขตต่าง ๆ”


📚 คำอธิบายประกอบ

✅ มาตรา 19 (3):

ให้ความสำคัญกับ เหตุการณ์ที่เริ่มในที่หนึ่ง แล้วผลสำเร็จเกิดอีกที่หนึ่ง

เช่น

•ผู้ร้ายยิงเหยื่อที่จังหวัด ก. แต่เหยื่อไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลในจังหวัด ข.

•หรือมีการส่งข้อความขู่ฆ่าจากจังหวัดหนึ่ง แล้วเหยื่อได้รับผลกระทบที่อีกจังหวัดหนึ่ง

ทั้งสองพื้นที่ถือว่ามี “เขตอำนาจสอบสวน” ร่วมกัน


✅ มาตรา 19 (4):

ใช้ในกรณีที่การกระทำผิด เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในหลายพื้นที่ หรือเป็นความผิดหลายกรรมที่เกี่ยวข้องกัน เช่น

•คดีค้ายาเสพติดที่มีการขนส่งผ่านหลายจังหวัด

•คดีขโมยของต่อเนื่องหลายพื้นที่

•คดีหลอกลวงหลายคนในหลายจังหวัด โดยใช้รูปแบบเดียวกัน

ผู้กระทำผิดเดียวกันในลักษณะต่อเนื่องหรือเป็นขบวนการ จะเข้าข่ายให้เจ้าพนักงานสอบสวนใน "พื้นที่หนึ่งใด" ที่เกี่ยวข้อง สามารถสอบสวนคดีได้


🧩 ตัวอย่างประกอบ

❌ กรณี ไม่เข้าข่าย มาตรา 19 (3) หรือ (4):

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568

•นาย ท. กระทำความผิดฐานพรากผู้เยาว์ ที่ตำบลช่องสามหมอ

•จำเลยทั้งหก กระทำผิดฐานร่วมกันข่มขืน ที่ตำบลหนองสังข์

•ศาลวินิจฉัยว่า เป็น การกระทำคนละคราว คนละเจตนา ไม่มีความเกี่ยวเนื่อง

•ไม่ใช่เหตุการณ์ต่อเนื่องหรือหลายกรรมที่เชื่อมโยงกัน

➡️ พนักงานสอบสวนที่ช่องสามหมอไม่มีอำนาจสอบสวนจำเลยทั้งหกที่ก่อเหตุอีกตำบลหนึ่ง


✅ ตัวอย่างที่ เข้าข่าย มาตรา 19 (4):

•นาย ก. ร่วมกับพวก ลักทรัพย์ร้านทองในจังหวัด ก. แล้วหลบหนีไปขายในจังหวัด ข.

•ขณะเดินทางมีการปลอมแปลงเอกสารครอบครอง และใช้เอกสารปลอมในจังหวัด ค.

➡️ แม้เหตุเกิดในหลายจังหวัด แต่การกระทำเป็นชุดเดียวกัน มี “ความเกี่ยวเนื่องกันและต่อเนื่องกัน”

➡️ พนักงานสอบสวนจังหวัดใดจังหวัดหนึ่งในเหตุการณ์นี้ย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ตามมาตรา 19 (4)


🧭 สรุปสาระสำคัญ

•มาตรา 19 (3) ใช้เมื่อความผิดเริ่มในที่หนึ่ง แต่ผลเกิดในอีกที่หนึ่ง

•มาตรา 19 (4) ใช้เมื่อความผิดเกิดต่อเนื่องในหลายพื้นที่ หรือหลายกรรมที่เกี่ยวพัน

•ทั้งสองกรณีเปิดโอกาสให้ “พนักงานสอบสวนในเขตหนึ่งที่เกี่ยวข้อง” ดำเนินการสอบสวนได้โดยชอบ

•ในคดีที่พฤติการณ์ไม่เกี่ยวข้องกันเลย เช่น คนละเวลา คนละวัตถุประสงค์ คนละสถานที่ จะ ไม่เข้าข่าย ทำให้ต้องแยกคดีสอบสวนตามท้องที่จริงเท่านั้น




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8082/2567: ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ข้อห้ามฎีกาคดีอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง, การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง, คดีอาวุธปืนและอาวุธเถื่อน,
การกระทำโดยบันดาลโทสะ, โทษสถานเบาและการรอการลงโทษ, สิทธิยกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน