

การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 858/2567 • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 • ศาลอุทธรณ์ยกฟ้องคดีรับของโจร • การวินิจฉัยคดีในศาลอุทธรณ์ • อำนาจศาลตามมาตรา 185 วรรคหนึ่ง • การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง • หลักกฎหมายเกี่ยวกับคำสั่งศาลที่เด็ดขาด สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 858/2567 โดยสรุปได้ดังนี้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 ระบุว่า คำสั่งให้คดีมีมูลถือเป็นเด็ดขาด คู่ความจึงไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาได้ อย่างไรก็ตาม หากคดีเข้าสู่การพิจารณาศาลอุทธรณ์ และศาลเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามไต่สวนมูลฟ้องไม่เป็นความผิด ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกฟ้องตามมาตรา 185 วรรคหนึ่งได้ ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นประทับฟ้องข้อหารับของโจรเพียงข้อหาเดียวและยกฟ้องข้อหาอื่น โจทก์อุทธรณ์เพื่อให้รับฟ้องทุกข้อหา แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องทั้งหมด เพราะข้อเท็จจริงไม่เพียงพอที่จะเชื่อว่าจำเลยและผู้ตายร่วมกันลักโฉนดที่ดินหรือสมุดเช็ค จึงถือว่าการครอบครองทรัพย์ดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร และไม่ขัดกับมาตรา 170 หรือวินิจฉัยนอกประเด็นตามที่โจทก์อุทธรณ์ ศาลฎีกาตรวจสอบแล้วเห็นว่าคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ชอบด้วยกฎหมาย และฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น จึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องจากประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170, 185, และ 195 มีดังนี้: 1.มาตรา 170: ระบุว่าคำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลนั้นถือเป็นเด็ดขาด ซึ่งหมายความว่าคู่ความไม่สามารถอุทธรณ์หรือฎีกาคำสั่งนี้ได้ เพราะถือว่าการพิจารณาของศาลชั้นต้นในเรื่องคดีมีมูลเสร็จสิ้นแล้ว การห้ามอุทธรณ์หรือฎีกานี้มีไว้เพื่อให้การพิจารณาขั้นต้นจบลงอย่างเด็ดขาดเพื่อป้องกันการทำให้กระบวนการยุติธรรมล่าช้า 2.มาตรา 185 วรรคหนึ่ง: ให้ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิจารณาและวินิจฉัยคดีหากเห็นว่าการกระทำของจำเลยตามทางไต่สวนมูลฟ้องไม่เป็นความผิด กล่าวคือ ศาลอุทธรณ์สามารถยกฟ้องได้แม้คดีนั้นจะถูกประทับฟ้องในศาลชั้นต้น ทั้งนี้เพื่อรักษาความเป็นธรรมและป้องกันไม่ให้จำเลยถูกดำเนินคดีโดยไม่มีมูลเพียงพอ 3.มาตรา 195 วรรคสอง: ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นวินิจฉัยเองได้ในเรื่องที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของสาธารณะ แม้โจทก์ไม่ได้อุทธรณ์ประเด็นดังกล่าวก็ตาม ทั้งนี้เพื่อป้องกันการกระทำที่ขัดต่อหลักความยุติธรรมและหลักนิติธรรม การวินิจฉัยของศาลในลักษณะนี้ช่วยรักษาความเรียบร้อยและมั่นคงของระบบกฎหมาย การอธิบายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าศาลอุทธรณ์มีอำนาจและความชอบธรรมในการวินิจฉัยและยกฟ้องในกรณีที่จำเลยไม่ควรต้องรับโทษ รวมถึงการยกปัญหาข้อกฎหมายขึ้นมาเพื่อคุ้มครองความสงบเรียบร้อยของสาธารณะโดยไม่ขัดกับกระบวนการยุติธรรมขั้นพื้นฐาน. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 858/2567 แม้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้มีมูลได้ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ หากศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามทางไต่สวนมูลฟ้องไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษายกฟ้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 วรรคหนึ่ง ได้ *คดีนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วให้ประทับฟ้องเฉพาะข้อหารับของโจร เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์โจทก์ในส่วนความผิดข้อหาลักทรัพย์กับข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ตายและจำเลยร่วมกันลักโฉนดที่ดินทั้งสี่แปลง และรับฟังไมได้ว่ามีการลักสมุดเช็คตามฟ้องเกิดขึ้น ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยร่วมหรือสนับสนุนผู้ตายลักทรัพย์ในวัตถุแห่งการกระทำเดียวกัน ศาลอุทธรณ์จึงมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในส่วนความผิดข้อหารับของโจรว่าที่จำเลยครอบครองโฉนดที่ดินและสมุดเช็คดังกล่าวต่อมาย่อมไม่เป็นความผิด เพราะความผิดฐานข้อหาของโจรตามฟ้องต้องเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์แล้ว ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลอุทธรณ์ชอบที่ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ไม่เป็นการขัดต่อมาตรา 170 และไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่โจทก์อุทธรณ์คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ***โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 86, 264, 265, 266 (4), 334, 335, 357 *ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่า คดีมีมูลเฉพาะข้อหารับของโจร ให้ประทับฟ้องในข้อหาดังกล่าว ส่วนข้อหาอื่นให้ยกฟ้อง *โจทก์อุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้อง *โจทก์ฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นในชั้นนี้รับฟังเป็นยุติว่า โจทก์กับนายอุดรเป็นสามีภริยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย มีบุตรด้วยกันสองคน คือ นายภัทรธวัฒน์ (สามีจำเลย) และนายธนัทพัชร์ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2546 นายอุดรถึงแก่ความตาย โจทก์ยื่นคำร้องร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของนายอุดร วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2547 ศาลจังหวัดกาญจนบุรีมีคำสั่งตั้งโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของนายอุดร นายอุดรมีทรัพย์สินคือ ที่ดินโฉนดที่ดินเลขที่ 105953, 21447, 21448 และ 7352 ตามลำดับ และทรัพย์สินอื่นอีก ส่วนจำเลยเป็นภริยาโดยชอบด้วยกฎหมายของนายภัทรธวัฒน์ผู้ตาย ซึ่งถึงแก่ความตายวันที่ 14 มีนาคม 2564 สำหรับความผิดข้อหาลักทรัพย์ กับข้อหาปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์ประทับฟ้องทุกข้อหา ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดข้อหารับของโจรด้วย โจทก์ยื่นฎีกาฉบับแรกลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา ต่อมาวันที่ 2 มีนาคม 2566 โจทก์ยื่นฎีกาฉบับที่ 2 พร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาหรือลงชื่อในคำพิพากษาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์อนุญาตให้ฎีกา ศาลชั้นต้นมีคำสั่งไม่รับฎีกา โจทก์ยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งไม่รับฎีกา ศาลฎีกามีคำสั่งให้รับฎีกาของโจทก์เฉพาะข้อหารับของโจรตามฎีกาฉบับลงวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2566 *มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงว่า การที่ศาลอุทธรณ์หยิบยกข้อหารับของโจรขึ้นวินิจฉัย แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ในความผิดข้อหานี้ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 170 บัญญัติว่า คำสั่งของศาลที่ให้คดีมีมูลย่อมเด็ดขาด ซึ่งหมายถึงคู่ความไม่อาจอุทธรณ์ฎีกาโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นที่ให้มีมูลได้ แต่เมื่อคดีขึ้นสู่การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์เห็นว่าการกระทำของจำเลยตามทางไต่สวนมูลฟ้องไม่เป็นความผิดแล้ว ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษายกฟ้องได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง คดีนี้ ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่าคดีมีมูลเฉพาะข้อหารับของโจร แต่เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามอุทธรณ์โจทก์ในส่วนความผิดฐานลักทรัพย์กับปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมแล้วเห็นว่า ข้อเท็จจริงรับฟังไม่ได้ว่าผู้ตายและจำเลยร่วมกันลักโฉนดที่ดินทั้งสี่แปลง และรับฟังไม่ได้ว่ามีการลักสมุดเช็คตามฟ้องเกิดขึ้น ซึ่งโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยร่วมกันหรือสนับสนุนผู้ตายลักทรัพย์ในวัตถุแห่งการกระทำเดียวกันเช่นนี้ ศาลอุทธรณ์จึงวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายในส่วนความผิดฐานรับของโจรว่า การที่จำเลยครอบครองโฉนดที่ดินและสมุดเช็คดังกล่าวไม่เป็นความผิดฐานรับของโจร เพราะความผิดฐานรับของโจรตามฟ้องย่อมต้องเกิดขึ้นภายหลังการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ แล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ได้ เนื่องจากปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ไม่เป็นการขัดต่อมาตรา 170 และไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นดังที่โจทก์อุทธรณ์ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น *พิพากษายืน ตัวอย่างคำฟ้องคดีอาญา ศาลที่ยื่นฟ้อง: ศาลจังหวัด... หมายเลขคดี: (หมายเลขคดี) โจทก์: พนักงานอัยการ... จำเลย: (ชื่อ-นามสกุล จำเลย) คำฟ้อง ข้าพเจ้า, พนักงานอัยการ... โจทก์ ฟ้องจำเลยในคดีนี้ด้วยข้อหาตามกฎหมาย โดยระบุว่า 1.เมื่อวันที่ (ระบุวันที่) จำเลยได้กระทำการอันเป็นความผิดฐาน (ระบุข้อหาที่ฟ้อง เช่น รับของโจร) โดยการครอบครอง (รายละเอียดทรัพย์สิน เช่น โฉนดที่ดิน สมุดเช็ค ฯลฯ) ซึ่งเป็นทรัพย์ที่ได้มาจากการกระทำความผิดอาญาฐานลักทรัพย์ โดยมีพฤติการณ์ที่ชัดเจนว่าทรัพย์ดังกล่าวได้มาจากการกระทำความผิดที่เกิดขึ้น ณ (ระบุสถานที่เกิดเหตุ) 2.จำเลยได้รับทรัพย์ที่ได้จากการกระทำผิดฐานลักทรัพย์และมีการครอบครองทรัพย์ดังกล่าวโดยไม่มีสิทธิและไม่มีเหตุอันควร อันเป็นการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 (หรือข้อหาที่เกี่ยวข้อง) ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 357 และข้อกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง คำขอท้ายคำฟ้อง 1.ขอให้ศาลพิจารณาและพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดฐานรับของโจร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 357 2.ขอให้ศาลมีคำสั่งยึดและริบทรัพย์สินที่ได้มาจากการกระทำความผิดหรือเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33 ลงชื่อ (ชื่อ-ตำแหน่ง พนักงานอัยการ) หมายเหตุ: คำฟ้องนี้เป็นตัวอย่างที่ร่างขึ้นเพื่อเป็นแนวทางให้แก่ผู้ศึกษาและทนายความจบใหม่ในการจัดทำเอกสารทางกฎหมาย และควรพิจารณารายละเอียดเพิ่มเติมและปรับปรุงตามแต่ละคดีที่เกิดขึ้นจริง. |