ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน

 ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน 

•  คำพิพากษาศาลฎีกา 642/2567

•  หลักการรับฟังพยานหลักฐาน ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่

•  คดีครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย

•  การพิจารณาคดีอาญา พยานบอกเล่า

•  หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัย ป.วิ.อ. มาตรา 227

•  พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3

•  การรับฟังคำรับสารภาพในชั้นจับกุม

สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2567 โดยสรุปดังนี้

แม้จำเลยและ ก. จะรับสารภาพขณะถูกจับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนเป็นของตน แต่คำรับสารภาพดังกล่าวเป็นคำที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุม จึงห้ามรับฟังเป็นหลักฐานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 อย่างไรก็ตาม โจทก์มีหลักฐานอื่น เช่น ภาพถ่ายที่จำเลยและ ก. ชี้ของกลางในที่เกิดเหตุ ซึ่งถูกจัดทำตามกฎหมาย จึงรับฟังได้ แต่คำรับสารภาพชั้นจับกุมที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ ขณะที่คำให้การของ ก. แม้รับฟังได้ แต่ถือเป็นพยานบอกเล่าและมีน้ำหนักน้อย

ศาลชั้นต้นตัดสินโทษจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เหลือจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก

ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องข้อหาดังกล่าว

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2567 มีดังนี้:

1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่: มาตรานี้ระบุว่าคำให้การของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมในขณะที่ถูกจับนั้น ไม่สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ เว้นแต่จะเป็นไปตามข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำให้การที่เป็นการรับสารภาพในขณะถูกจับจึงถูกจำกัดไม่ให้นำมาใช้ในกระบวนการพิจารณาเพื่อป้องกันการบีบบังคับหรือการใช้ถ้อยคำที่ไม่ถูกต้องในการพิจารณาคดี

2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3: มาตรานี้กล่าวถึงหลักการรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นพยานบอกเล่าหรือพยานที่ซัดทอด ซึ่งหมายถึงการที่พยานหนึ่งกล่าวถึงการกระทำของบุคคลอื่นที่ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ มาตรานี้กำหนดว่าการรับฟังพยานประเภทนี้ต้องระมัดระวัง และน้ำหนักที่ให้กับพยานดังกล่าวจะน้อยลงเมื่อเทียบกับพยานหลักฐานที่ได้จากผู้รู้เห็นโดยตรง

3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1: มาตรานี้ระบุว่าการรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นคำรับสารภาพของจำเลยนั้น หากคำรับสารภาพนั้นไม่ครบถ้วนหรือมีความน่าสงสัย ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง และหากมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ซึ่งเป็นหลักการเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา

4.พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2550 มาตรา 3: มาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่ระบุถึงการดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมุ่งเน้นถึงวิธีการที่ถูกต้องในการรวบรวมและใช้พยานหลักฐานในคดีนี้ กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การสอบสวนและพยานหลักฐานต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาและป้องกันการละเมิดสิทธิพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม

การอธิบายหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทและเหตุผลของศาลในการพิจารณาคดีว่าเหตุใดคำรับสารภาพและหลักฐานบางอย่างจึงไม่สามารถใช้รับฟังได้ หรือมีน้ำหนักน้อยในการพิจารณา

ข้อความตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยโดยมีรายละเอียดว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อจึงเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยจึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของ ก. แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย แต่ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอด ซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2567

แม้ในชั้นจับกุมจำเลยและ ก. จะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนเป็นของทั้งสองคน แต่คำให้การดังกล่าวเป็นถ้อยคำรับสารภาพของจำเลยผู้ถูกจับที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำต่อผู้จับกุมยอมรับว่ายาเสพติดเป็นของตัวเองจริง โดยซื้อมาจาก ค. เพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงถ้อยคำรับสารภาพว่าได้กระทำความผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว ทั้งโจทก์มีภาพถ่ายประกอบสำนวนที่ได้ให้จำเลยและ ก. ชี้ของกลางที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยและ ก. จึงเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 นั้น ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลย เมื่อพิจารณาข้อความตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยนั่นเอง จึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของ ก. แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย แต่ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอด ซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 และ 227/1

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้

จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน และปรับ 450,000 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ เป็นจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว เป็นจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและนายกิตติศักดิ์ พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด เป็นของกลาง ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายกิตติศักดิ์ว่า เสพเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นายกิตติศักดิ์ให้การรับสารภาพและศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 135/2564 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ

มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยร่วมกับนายกิตติศักดิ์กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม แต่ก็ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำต่อร้อยตำรวจโทผ่องและดาบตำรวจประจวบ ผู้จับกุมว่า ยอมรับว่ายาเสพติดดังกล่าว (36 เม็ด) เป็นของตัวเองจริง โดยซื้อยาเสพติดจากนายคำ ในราคาเม็ดละ 50 บาท โดยนายกิตติศักดิ์และจำเลยนำมาจำหน่ายต่อให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ในราคาเม็ดละ 100 บาท โดยถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงเฉพาะถ้อยคำคำรับสารภาพว่าได้กระทำผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานผู้นั้นได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว และลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม ไว้เป็นหลักฐานด้วยความสมัครใจ อีกทั้งโจทก์ยังมีภาพถ่ายประกอบสำนวน ที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระ พนักงานสอบสวน ได้ให้จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้เมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์จริง เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ได้เช่นกัน เห็นว่า ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าว จะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยด้วย เมื่อถ้อยคำในบันทึกการจับกุมตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยรับว่าเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางร่วมกับนายกิตติศักดิ์โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ จึงไม่สามารถรับฟังคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของนายกิตติศักดิ์แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอดซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 และ 227/1 ส่วนภาพถ่ายระบุเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมถ่ายรูปไว้ขณะทำการตรวจค้นและตรวจยึดของกลางได้จากสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีข้อความว่าจำเลยให้การรับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของตน และภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เป็นเอกสารที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นซึ่งระบุว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้ยืนยันเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุและอยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์ ซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธในวันเดียวกันนั้นว่าไม่ได้กระทำผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวร่วมกับนายกิตติศักดิ์ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา โดยนำสืบว่าเหตุที่ไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุเพราะนายกิตติศักดิ์ว่าจ้างจำเลยให้เข้าไปติดตั้งไฟฟ้าที่กระท่อมที่เกิดเหตุของนายกิตติศักดิ์ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกพันด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายของนายกิตติศักดิ์ ในลักษณะมิดชิด ไม่ได้เปิดเผยชัดแจ้งถึงขนาดที่จำเลยจะรู้เห็นหรือร่วมครอบครองได้ ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางวางอยู่บนพื้นกระท่อม ซึ่งกระท่อมดังกล่าวเป็นกระท่อมของนายกิตติศักดิ์ ย่อมเป็นไปได้ที่จำเลยจะไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมครอบครองกับนายกิตติศักดิ์ดังนี้แล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

 

 

ร่างคำฟ้องคดีอาญา คดียาเสพติด

 คำฟ้อง

ด้วยพนักงานอัยการ โจทก์ ขอยื่นฟ้องจำเลย นายสมชาย แซ่ลี้ (นามสมมติ) ต่อศาลในคดีอาญา โดยกล่าวหาจำเลยว่ากระทำความผิดฐานครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญา

ข้อเท็จจริง: เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยและผู้ต้องหาร่วม (นายกิตติศักดิ์ แซ่ลี้) พร้อมยึดของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนและเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ซึ่งยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุ จำเลยได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานว่าเสพเมทแอมเฟตามีนจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ครอบครองยาเสพติดและอาวุธปืน

โจทก์ขอเรียนต่อศาลว่า จำเลยมีพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิดกับผู้ต้องหาร่วมโดยครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย และครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ โจทก์มีหลักฐานประกอบเป็นภาพถ่ายและถ้อยคำจากการสอบสวน

ความผิด:

1.พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66

2.พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72

3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91

คำขอท้ายฟ้อง

 1.ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามความผิดดังกล่าว

2.ขอให้ศาลบวกโทษจำคุกในคดีนี้กับโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย. 855/2563 ของศาลชั้นต้น

3.ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ

 ลงชื่อ พนักงานอัยการ โจทก์

 

ถ้อยคำใด ๆ ที่ผู้ถูกจับให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับหรือพนักงานฝ่ายปกครอง หรือตำรวจในชั้นจับกุมหรือรับมอบตัวผู้ถูกจับ ถ้าถ้อยคำนั้นเป็นคำรับสารภาพของผู้ถูกจับว่าตนได้กระทำความผิด ห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน แต่ถ้าเป็นถ้อยคำอื่น จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของผู้ถูกจับได้ต่อเมื่อได้มีการแจ้งสิทธิตามวรรคหนึ่งหรือ ตามมาตรา 83 วรรคสอง แก่ผู้ถูกจับ แล้วแต่กรณี

 

ตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยโดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยนั่นเอง จึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่




เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

คดีองค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ & โรแมนซ์สแกม (ฎีกา 1207/2567) article
สิทธิคดีอาญาระงับ, สิทธิคดีแพ่งหลังจำเลยถึงแก่ความตาย (ฎีกา 2232/2567)
ฟ้องต่างข้อเท็จจริงสาระสำคัญ ยกฟ้องจำเลยฐานยักยอก,ป.วิ.อ. มาตรา 158, (ฎีกา 2427/2567)
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)-ฎีกา 6820/2567
คดีอั้งยี่ & สมคบก่อการร้าย (พยานหลักฐาน)ป.วิ.อ. มาตรา 84 (ฎีกา 6820/2567)
(ฎีกา 324/2568) สิทธิฟ้อง, โจทก์ร่วม, อุบัติเหตุจราจร
(ฎีกาที่ 3462/2567): อำนาจฟ้องของพนักงานอัยการในคดีทุจริตและฟอกเงิน
(ฎีกาที่ 3672/2567): การทำร้ายร่างกายและการตีความการเพิ่มโทษในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4136/2567: คดีฆ่าผู้อื่นโดยใช้อาวุธปืน และประเด็นความชอบด้วยกฎหมายในคดีส่วนแพ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4149/2567 การลักทรัพย์นายจ้างหลายกรรม และการวินิจฉัยความชอบด้วยกฎหมายของฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4317/2567: คดีลักทรัพย์-ขาดเจตนาทุจริต แต่ยังมีหน้าที่คืนทรัพย์หรือใช้ราคาแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 8082/2567: ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา – ความน่าเชื่อถือของประจักษ์พยานกับบทบาทของพนักงานสอบสวน
อำนาจฟ้องในคดีอาญาเมื่อสอบสวนโดยตำรวจผิดพื้นที่: วิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2568
การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
อำนาจพนักงานสอบสวน & ฎีกาต้องห้ามข้อเท็จจริงคดีอาวุธปืน (ฎีกา 1016/2567) article
บันดาลโทสะลดโทษคดีทำร้ายร่างกาย & อำนาจศาลอุทธรณ์ต้องวินิจฉัย (ฎีกา 1109/2567) article
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน