

ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน • คำพิพากษาศาลฎีกา 642/2567 • หลักการรับฟังพยานหลักฐาน ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ • คดีครอบครองยาเสพติดเพื่อจำหน่าย • การพิจารณาคดีอาญา พยานบอกเล่า • หลักการยกประโยชน์แห่งความสงสัย ป.วิ.อ. มาตรา 227 • พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 • การรับฟังคำรับสารภาพในชั้นจับกุม สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2567 โดยสรุปดังนี้ แม้จำเลยและ ก. จะรับสารภาพขณะถูกจับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนเป็นของตน แต่คำรับสารภาพดังกล่าวเป็นคำที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุม จึงห้ามรับฟังเป็นหลักฐานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ และ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 อย่างไรก็ตาม โจทก์มีหลักฐานอื่น เช่น ภาพถ่ายที่จำเลยและ ก. ชี้ของกลางในที่เกิดเหตุ ซึ่งถูกจัดทำตามกฎหมาย จึงรับฟังได้ แต่คำรับสารภาพชั้นจับกุมที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพไม่สามารถนำมาเป็นหลักฐานได้ ขณะที่คำให้การของ ก. แม้รับฟังได้ แต่ถือเป็นพยานบอกเล่าและมีน้ำหนักน้อย ศาลชั้นต้นตัดสินโทษจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เหลือจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นให้ยก ศาลฎีกาเห็นว่าพยานหลักฐานโจทก์มีข้อสงสัยว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยแก่จำเลย พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องข้อหาดังกล่าว หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2567 มีดังนี้: 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่: มาตรานี้ระบุว่าคำให้การของผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมในขณะที่ถูกจับนั้น ไม่สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในชั้นศาลได้ เว้นแต่จะเป็นไปตามข้อยกเว้นตามกฎหมาย คำให้การที่เป็นการรับสารภาพในขณะถูกจับจึงถูกจำกัดไม่ให้นำมาใช้ในกระบวนการพิจารณาเพื่อป้องกันการบีบบังคับหรือการใช้ถ้อยคำที่ไม่ถูกต้องในการพิจารณาคดี 2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3: มาตรานี้กล่าวถึงหลักการรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นพยานบอกเล่าหรือพยานที่ซัดทอด ซึ่งหมายถึงการที่พยานหนึ่งกล่าวถึงการกระทำของบุคคลอื่นที่ไม่อยู่ในที่เกิดเหตุ มาตรานี้กำหนดว่าการรับฟังพยานประเภทนี้ต้องระมัดระวัง และน้ำหนักที่ให้กับพยานดังกล่าวจะน้อยลงเมื่อเทียบกับพยานหลักฐานที่ได้จากผู้รู้เห็นโดยตรง 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227/1: มาตรานี้ระบุว่าการรับฟังพยานหลักฐานที่เป็นคำรับสารภาพของจำเลยนั้น หากคำรับสารภาพนั้นไม่ครบถ้วนหรือมีความน่าสงสัย ควรพิจารณาด้วยความระมัดระวัง และหากมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยกระทำความผิดจริงหรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้จำเลย ซึ่งเป็นหลักการเพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่ผู้ถูกกล่าวหา 4.พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2550 มาตรา 3: มาตรานี้เป็นบทบัญญัติที่ระบุถึงการดำเนินคดีเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมุ่งเน้นถึงวิธีการที่ถูกต้องในการรวบรวมและใช้พยานหลักฐานในคดีนี้ กฎหมายดังกล่าวกำหนดให้การสอบสวนและพยานหลักฐานต้องเป็นไปตามขั้นตอนที่ชอบด้วยกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาและป้องกันการละเมิดสิทธิพื้นฐานในกระบวนการยุติธรรม การอธิบายหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจบริบทและเหตุผลของศาลในการพิจารณาคดีว่าเหตุใดคำรับสารภาพและหลักฐานบางอย่างจึงไม่สามารถใช้รับฟังได้ หรือมีน้ำหนักน้อยในการพิจารณา ข้อความตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลยโดยมีรายละเอียดว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อจึงเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยจึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของ ก. แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย แต่ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอด ซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 642/2567 แม้ในชั้นจับกุมจำเลยและ ก. จะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนเป็นของทั้งสองคน แต่คำให้การดังกล่าวเป็นถ้อยคำรับสารภาพของจำเลยผู้ถูกจับที่ให้ไว้ต่อเจ้าพนักงานผู้จับ จึงต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำต่อผู้จับกุมยอมรับว่ายาเสพติดเป็นของตัวเองจริง โดยซื้อมาจาก ค. เพื่อนำมาจำหน่ายให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงถ้อยคำรับสารภาพว่าได้กระทำความผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและ ก. ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว ทั้งโจทก์มีภาพถ่ายประกอบสำนวนที่ได้ให้จำเลยและ ก. ชี้ของกลางที่ยึดได้ในที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของจำเลยและ ก. จึงเป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมาย สามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 นั้น ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าวจะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลย เมื่อพิจารณาข้อความตามบันทึกจับกุมที่ระบุว่าเมทแอมเฟตามีนของกลางเป็นของจำเลย โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยนั่นเอง จึงต้องห้ามไม่ให้รับฟังเป็นพยาน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 84 วรรคสี่ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของ ก. แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย แต่ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอด ซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 226/3 และ 227/1 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91 บวกโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษของจำเลยในคดีนี้ จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้บวกโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 57, 66 วรรคสอง, 91 พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 5 ปี และปรับ 450,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 6 เดือน ฐานร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต จำคุก 1 ปี รวมจำคุก 6 ปี 6 เดือน และปรับ 450,000 บาท บวกโทษจำคุก 4 เดือน ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกในคดีนี้ เป็นจำคุก 6 ปี 10 เดือน และปรับ 450,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน บวกโทษจำคุกในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 855/2563 ของศาลชั้นต้น เข้ากับโทษจำคุกคดีนี้แล้ว เป็นจำคุก 5 เดือน ข้อหาอื่นนอกจากนี้ให้ยก โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกาในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุในฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยและนายกิตติศักดิ์ พร้อมยึดเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของเจ้าพนักงานประทับไว้และเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด เป็นของกลาง ในชั้นสอบสวนพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาแก่จำเลยและนายกิตติศักดิ์ว่า เสพเมทแอมเฟตามีน ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาต นายกิตติศักดิ์ให้การรับสารภาพและศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 135/2564 ของศาลชั้นต้น จำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการเดียวว่า จำเลยร่วมกับนายกิตติศักดิ์กระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับใบอนุญาตตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุม แต่ก็ต้องห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐานตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่โจทก์ฎีกาว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำต่อร้อยตำรวจโทผ่องและดาบตำรวจประจวบ ผู้จับกุมว่า ยอมรับว่ายาเสพติดดังกล่าว (36 เม็ด) เป็นของตัวเองจริง โดยซื้อยาเสพติดจากนายคำ ในราคาเม็ดละ 50 บาท โดยนายกิตติศักดิ์และจำเลยนำมาจำหน่ายต่อให้แก่กลุ่มวัยรุ่นและผู้ใช้แรงงานในพื้นที่ ในราคาเม็ดละ 100 บาท โดยถ้อยคำดังกล่าวมิได้เป็นเพียงเฉพาะถ้อยคำคำรับสารภาพว่าได้กระทำผิด หากแต่เป็นถ้อยคำอื่นซึ่งจำเลยและนายกิตติศักดิ์ได้ให้ถ้อยคำอื่นนั้นต่อเจ้าพนักงานผู้จับกุมภายหลังที่เจ้าพนักงานผู้นั้นได้แจ้งสิทธิแก่จำเลยและผู้ถูกจับตามกฎหมายแล้ว และลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุม ไว้เป็นหลักฐานด้วยความสมัครใจ อีกทั้งโจทก์ยังมีภาพถ่ายประกอบสำนวน ที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระ พนักงานสอบสวน ได้ให้จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้เมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางที่ยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุที่อยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์จริง เป็นพยานหลักฐานของโจทก์ที่เกิดขึ้นโดยชอบด้วยกฎหมายสามารถนำมารับฟังเป็นพยานหลักฐานในการพิสูจน์ความผิดของจำเลยได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 84 วรรคสี่ ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ได้เช่นกัน เห็นว่า ถ้อยคำอื่นตามบทบัญญัติดังกล่าว จะต้องไม่ใช่ถ้อยคำที่เป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพของจำเลยด้วย เมื่อถ้อยคำในบันทึกการจับกุมตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่า จำเลยรับว่าเป็นเจ้าของเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนของกลางร่วมกับนายกิตติศักดิ์โดยมีรายละเอียดด้วยว่าซื้อมาจากบุคคลอื่นเพื่อนำมาจำหน่ายต่อซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของคำรับสารภาพ จึงไม่สามารถรับฟังคำรับสารภาพของจำเลยดังกล่าวเป็นพยานหลักฐานได้ ส่วนคำรับสารภาพชั้นจับกุมของนายกิตติศักดิ์แม้จะไม่ห้ามรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีของจำเลย ก็ถือเป็นพยานบอกเล่าและซัดทอดซึ่งมีเงื่อนไขให้รับฟังและมีน้ำหนักน้อยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 226/3 และ 227/1 ส่วนภาพถ่ายระบุเพียงว่า เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมถ่ายรูปไว้ขณะทำการตรวจค้นและตรวจยึดของกลางได้จากสถานที่เกิดเหตุเท่านั้น ไม่ได้มีข้อความว่าจำเลยให้การรับว่าเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืนของกลางเป็นของตน และภาพถ่ายประกอบสำนวนการสอบสวน ทำขึ้นเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2563 เป็นเอกสารที่ร้อยตำรวจเอกพัชชระพนักงานสอบสวนเป็นผู้ทำขึ้นซึ่งระบุว่า จำเลยและนายกิตติศักดิ์ชี้ยืนยันเมทแอมเฟตามีนและอาวุธปืนพร้อมเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ของกลาง ที่เจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุและอยู่ในความครอบครองของจำเลยและนายกิตติศักดิ์ ซึ่งจำเลยก็ให้การปฏิเสธในวันเดียวกันนั้นว่าไม่ได้กระทำผิดทั้งสองข้อหาดังกล่าวร่วมกับนายกิตติศักดิ์ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหา โดยนำสืบว่าเหตุที่ไปกระท่อมนาที่เกิดเหตุเพราะนายกิตติศักดิ์ว่าจ้างจำเลยให้เข้าไปติดตั้งไฟฟ้าที่กระท่อมที่เกิดเหตุของนายกิตติศักดิ์ ประกอบกับเมทแอมเฟตามีนของกลางบรรจุอยู่ในขวดพลาสติกพันด้วยเทปกาวสีดำซุกซ่อนอยู่ในกระเป๋าสะพายของนายกิตติศักดิ์ ในลักษณะมิดชิด ไม่ได้เปิดเผยชัดแจ้งถึงขนาดที่จำเลยจะรู้เห็นหรือร่วมครอบครองได้ ส่วนอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนของกลางวางอยู่บนพื้นกระท่อม ซึ่งกระท่อมดังกล่าวเป็นกระท่อมของนายกิตติศักดิ์ ย่อมเป็นไปได้ที่จำเลยจะไม่ได้รู้เห็นหรือร่วมครอบครองกับนายกิตติศักดิ์ดังนี้แล้ว พยานหลักฐานโจทก์จึงมีข้อสงสัยตามสมควรว่าจำเลยร่วมกระทำความผิดกับนายกิตติศักดิ์หรือไม่ ให้ยกประโยชน์แห่งความสงสัยนั้นให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 227 วรรคสอง ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลยทั้งสองข้อหาดังกล่าวมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
ร่างคำฟ้องคดีอาญา คดียาเสพติด คำฟ้อง ด้วยพนักงานอัยการ โจทก์ ขอยื่นฟ้องจำเลย นายสมชาย แซ่ลี้ (นามสมมติ) ต่อศาลในคดีอาญา โดยกล่าวหาจำเลยว่ากระทำความผิดฐานครอบครองยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีน) เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 รวมทั้งประมวลกฎหมายอาญา ข้อเท็จจริง: เมื่อวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2563 เจ้าพนักงานตำรวจได้จับกุมจำเลยและผู้ต้องหาร่วม (นายกิตติศักดิ์ แซ่ลี้) พร้อมยึดของกลางเป็นเมทแอมเฟตามีน 36 เม็ด และอาวุธปืนประจุปากที่ไม่มีหมายเลขทะเบียนและเครื่องกระสุนปืน 1 ชุด ซึ่งยึดได้จากกระท่อมที่เกิดเหตุ จำเลยได้ให้ถ้อยคำต่อเจ้าพนักงานว่าเสพเมทแอมเฟตามีนจริง แต่ปฏิเสธว่าไม่ได้ครอบครองยาเสพติดและอาวุธปืน โจทก์ขอเรียนต่อศาลว่า จำเลยมีพฤติการณ์ร่วมกระทำความผิดกับผู้ต้องหาร่วมโดยครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย และครอบครองอาวุธปืนโดยไม่ได้รับอนุญาต ทั้งนี้ โจทก์มีหลักฐานประกอบเป็นภาพถ่ายและถ้อยคำจากการสอบสวน ความผิด: 1.พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66 2.พระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 3.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 58, 83, 91
คำขอท้ายฟ้อง 1.ขอให้ศาลลงโทษจำเลยตามความผิดดังกล่าว 2.ขอให้ศาลบวกโทษจำคุกในคดีนี้กับโทษจำคุกที่รอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย. 855/2563 ของศาลชั้นต้น 3.ขอให้ศาลมีคำสั่งให้กักขังจำเลยแทนค่าปรับตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากจำเลยไม่ชำระค่าปรับ ลงชื่อ พนักงานอัยการ โจทก์
|