
ข้อห้ามฎีกาคดีอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง, การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง, คดีอาวุธปืนและอาวุธเถื่อน, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • คำพิพากษาศาลฎีกา 1016/2567 • การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง • บทบาทพนักงานสอบสวนในคดีอาญา • อำนาจพนักงานอัยการสั่งฟ้อง • ข้อห้ามฎีกาคดีอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง • การพิพากษาคดีอาวุธปืนและอาวุธเถื่อน • หลักการสรุปสำนวนคดีตาม ป.วิ.อ. มาตรา 140 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2567 สรุปว่า จำเลยฎีกาว่าพนักงานสอบสวนที่ทำคดีไม่ใช่ผู้มีอำนาจตามกฎหมาย ซึ่งเป็นการโต้แย้งในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาพิจารณาว่า คดีนี้เป็นคดีที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามมาตรา 218 วรรคหนึ่ง ทำให้ศาลฎีกาไม่รับพิจารณา ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจำคุก 8 เดือน และริบอาวุธปืนของกลาง ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น ศาลฎีกาจึงพิพากษายกฎีกาของจำเลย หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษานี้ ประกอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 และ มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีสาระสำคัญดังนี้: 1.มาตรา 140: กำหนดว่าพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในคดีต้องทำสำนวนสรุปความเห็นพร้อมส่งไปยังพนักงานอัยการ ซึ่งมีอำนาจในการพิจารณาว่าจะสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้อง การเลือกพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบในคดีจะต้องทำตามระเบียบและคำสั่งในท้องที่เกิดเหตุ โดยมาตรานี้เน้นให้การดำเนินคดีเป็นไปอย่างถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย 2.มาตรา 218 วรรคหนึ่ง: กำหนดว่าการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในคดีที่มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี เป็นสิ่งที่ต้องห้ามเว้นแต่จะมีเหตุพิเศษตามที่กฎหมายกำหนด หมายความว่าคดีที่มีบทลงโทษจำคุกไม่สูง ศาลจะไม่รับฎีกาที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริง โดยมุ่งรักษาความสงบเรียบร้อยและความมีประสิทธิภาพในกระบวนการยุติธรรม ในกรณีนี้ จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับพนักงานสอบสวน ศาลฎีกาจึงไม่รับฎีกา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1016/2567 จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุคนใดจะเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้องส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 140 เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามตาม ป.วิ.อ. มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้ จึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ***โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 4, 7, 72 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 92 ริบอาวุธปืนของกลาง และเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย *จำเลยให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่ขอให้เพิ่มโทษ *ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 วรรคหนึ่ง จำคุก 1 ปี เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 8 เดือน ริบของกลาง *จำเลยอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน *จำเลยฎีกา *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นซึ่งลงโทษจำคุกจำเลย 8 เดือน คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาว่า ในเขตท้องที่สถานีตำรวจภูธรระเบาะไผ่ที่เกิดเหตุมีพนักงานสอบสวนหลายคน แต่ตามคำร้องขอฝากขังคดีนี้พนักงานสอบสอบสวนมิใช่พนักงานสอบสวนผู้เป็นหัวหน้าในท้องที่นั้น หรือผู้รักษาราชการแทน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 18 วรรคท้าย การสอบสวนจึงไม่ชอบ ตามมาตรา 140 พนักงานอัยการไม่มีอำนาจฟ้องตามมาตรา 120 นั้น เห็นว่า ปัญหาตามฎีกาของจำเลยดังกล่าวเป็นการโต้เถียงว่าพนักงานสอบสวนในท้องที่เกิดเหตุคนใดจะเป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบมีอำนาจสรุปสำนวนและทำความเห็นควรสั่งฟ้องหรือสั่งไม่ฟ้อง ส่งไปพร้อมกับสำนวนเพื่อให้พนักงานอัยการพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 140 เป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงเพื่อนำไปสู่ปัญหาข้อกฎหมาย อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ฎีกาของจำเลยจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในข้อนี้จึงเป็นการไม่ชอบศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย *พิพากษายกฎีกาของจำเลย |