

โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา, จำเลยถูกศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ใช้อาวุธทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ชีวิต โดยศาลอนุญาตให้มารดาผู้ตายเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิมที่ถึงแก่ความตาย ตามสิทธิผู้เสียหายที่บัญญัติในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) นางจีรรัตน์เป็นบุพการีของนางสาวนวพร ผู้ตาย จึงมีสิทธิในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายรัตน์ (โจทก์ร่วม)ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายนางจีรรัตน์ ยื่นคำร้องขอเข้าแทนเพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายรัตน์ ซึ่งได้ยื่นคำร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางจีรรัตน์ เข้าร่วมเป็นโจทก์และรับอุทธรณ์ไว้พิจารณา ถือว่าชอบด้วยกฎหมายนางจีรรัตน์ จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2567 จ. เป็นบุพการีของ น. ผู้ตาย จ. จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับ ร. โจทก์ร่วม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่ จ. ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่า จ. ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมเพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่า จ. เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทน ร. โจทก์ร่วม เมื่อ ร. ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ จ. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไป จึงชอบด้วยกฎหมาย จ. จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 ริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ บิดาของนางสาวนวพร ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบสากครกหิน สากไม้ และอาวุธมีดของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ อดีตภริยาของนายรัตน์และเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนวพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่นายรัตน์ โจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต โจทก์ร่วมอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและนางสาวนวพร ผู้ตาย จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2558 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงกอปรรัก ทั้งหมดอาศัยอยู่ที่บ้านโจทก์ร่วม ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีเจตนาฆ่าใช้มีดทำครัวปลายแหลม ขนาดความยาวรวมด้าม 35 เซนติเมตร 1 เล่ม สากครกหิน น้ำหนักรวมประมาณ 0.77 กิโลกรัม และสากไม้ น้ำหนัก 0.31 กิโลกรัม ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ผู้ตายมีบาดแผลถูกฟันบริเวณหนังศีรษะ 4 บาดแผลยาว 1.5 ถึง 5.5 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณใต้ตาขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณแก้มขวายาว 1 เซนติเมตร เบ้าตาทั้งสองข้างฟกช้ำร่วมกับเลือดออกในเยื่อบุตาขาว ริมฝีปากฟกช้ำฉีกขาดทั้งบนและล่าง บาดแผลถูกแทงบริเวณขากรรไกรล่างด้านขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านขวายาว 2.5 เซนติเมตร ลึกถึงหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ บาดแผลถูกฟันบริเวณไหล่ขวายาว 1 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณหลังต้นแขนขวายาว 2 เซนติเมตร พบรอยประทับด้ามมีดรอบปากแผล บาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าอกขวากว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณไหล่ซ้าย เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำหลายบาดแผลบริเวณแขนซ้ายท่อนล่าง เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ถึง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังศอกขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังมือขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณนิ้วโป้งมือขวา นิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้าย แผลเป็นลักษณะขนานกันหลายบาดแผลบริเวณต้นแขนขวา 5 บาดแผล หน้าอกขวา 8 บาดแผล ไหล่ซ้าย 4 บาดแผล หน้าท้องซ้ายบน 5 บาดแผล เนื้อสมองคั่งเลือด กล้ามเนื้อคอฟกช้ำ หลอดเลือดแดงใหญ่คาโรติดข้างขวาฉีกขาด สาเหตุการตายโดยตรงเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า ผู้ตายเป็นบุตรของนายรัตน์ และนางจีรารัตน์ ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายรัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามคำร้องลงวันที่ 19 กันยายน 2565 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายรัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คู่ความฟัง แต่ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาดังกล่าว ทนายโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2565 นายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิมตามคำร้องลงวันที่ 19 มกราคม 2566 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายประสงค์ใช้สิทธิของตนในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามขอ มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า นางจีรารัตน์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า นางจีรารัตน์เป็นบุพการีของนางสาวนวพร ผู้ตาย นางจีรารัตน์จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายรัตน์ โจทก์ร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่านางจีรารัตน์ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วม เพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่านางจีรารัตน์เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายรัตน์ โจทก์ร่วม เมื่อนายรัตน์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางจีรารัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไปจึงชอบด้วยกฎหมาย นางจีรารัตน์จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้มีดทำครัวปลายแหลม สากครกหิน และสากไม้ ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ทั้งตามรายงานตรวจศพระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่ง สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำต่อผู้ตายซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าอย่างรุนแรง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหลังลดโทษกึ่งหนึ่ง 10 ปี นั้น นับว่าเหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน • โทษฐานฆ่าผู้อื่น มาตรา 288 • การสืบสิทธิในคดีอาญา • โจทก์ร่วมในคดีอาญา • ลดโทษกึ่งหนึ่ง มาตรา 78 • สิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา • บทบาทของพนักงานอัยการในคดีอาญา • หลักการพิจารณาโทษในศาลฎีกา • อุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญา คำพิพากษาศาลฎีกา (สรุปย่อ) ข้อเท็จจริงและการดำเนินคดี: โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และขอริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธแต่เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพในภายหลัง ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ บิดาของผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องขอร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่ภายหลังนายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่และศาลอนุญาต คำพิพากษาศาลชั้นต้น: ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 15 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 7 ปี 6 เดือน และริบของกลาง คำพิพากษาศาลอุทธรณ์: ศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุกจำเลยเป็น 20 ปี ลดกึ่งหนึ่งเหลือ 10 ปี เห็นว่าการกระทำของจำเลยรุนแรงและไม่ยำเกรงกฎหมาย ข้อวินิจฉัยในศาลฎีกา: 1.สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ของนางจีรารัตน์: ศาลเห็นว่านางจีรารัตน์เป็นมารดาผู้ตายและมีสิทธิในฐานะผู้จัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) การที่ศาลอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย 2.ความเหมาะสมของโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนด: การกระทำของจำเลยถือว่ารุนแรงต่อเพศที่อ่อนแอกว่าและเป็นการกระทำผิดร้ายแรง โทษจำคุก 10 ปีหลังลดโทษกึ่งหนึ่งถือว่าเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุแก้ไข คำพิพากษาศาลฎีกา: พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทความ 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) มาตรานี้กำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิเป็นผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิด สามารถดำเนินคดีอาญาได้ด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นดำเนินคดีแทน โดยในกรณีนี้ นางจีรารัตน์เป็นมารดาของผู้ตาย ถือเป็นผู้มีสิทธิในฐานะผู้เสียหายโดยตรง และสามารถยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่นายรัตน์ (บิดาผู้ตาย) ซึ่งเคยร่วมเป็นโจทก์ได้ การที่ศาลอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย 2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29 มาตรานี้บัญญัติถึงสิทธิของผู้เสียหายที่จะร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญา โดยผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีเอง หรือร่วมดำเนินคดีร่วมกับพนักงานอัยการได้ การที่นายรัตน์ และต่อมาคือนางจีรารัตน์ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงเป็นการใช้สิทธิที่กฎหมายรับรองไว้ 3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 มาตรานี้กำหนดสิทธิของผู้เสียหายในการสืบสิทธิแทนบุคคลเดิมที่เป็นโจทก์ร่วม หากบุคคลดังกล่าวถึงแก่ความตายหรือไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้ โดยต้องเป็นบุคคลที่มีสิทธิหรือความสัมพันธ์ตามกฎหมาย เช่น บุพการี สามี ภริยา หรือผู้สืบสันดาน ในกรณีนี้ เมื่อนายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์สามารถยื่นคำร้องขอแทนที่ได้ เพราะเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย การเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับคดีนี้: การที่ศาลอนุญาตให้นางจีรารัตน์เข้าแทนที่นายรัตน์ในฐานะโจทก์ร่วม และให้สิทธิยื่นอุทธรณ์ ถือเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา 5 (2) และสอดคล้องกับมาตรา 30 ที่รองรับการสืบสิทธิในคดีอาญา นอกจากนี้ การที่ศาลพิจารณารับอุทธรณ์ไว้แสดงถึงความเป็นไปตามมาตรา 29 ที่ให้สิทธิผู้เสียหายในการดำเนินคดีร่วมกับพนักงานอัยการ ประโยชน์สำหรับผู้อ่าน: ความเข้าใจในหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นบทบาทของผู้เสียหายในคดีอาญา การใช้สิทธิในการดำเนินคดี หรือการสืบสิทธิต่อในกรณีที่ผู้เสียหายเดิมไม่สามารถดำเนินคดีได้ รวมถึงการพิจารณาความชอบธรรมของคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้อง *****ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาคืออะไร การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญา หมายถึง การที่บุคคลภายนอกหรือผู้เสียหายซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นผู้ดำเนินคดี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอมีส่วนร่วมในการดำเนินคดีอาญาในฐานะโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ การกระทำดังกล่าวมักเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เสียหายมีความประสงค์จะมีบทบาทหรืออำนาจในการฟ้องร้อง หรือมีเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ต้องการติดตามผลของคดีอย่างใกล้ชิด หลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 กำหนดให้ผู้เสียหายซึ่งมีสิทธิร้องขอให้ศาลอนุญาตเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ หากศาลพิจารณาเห็นว่า การอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นไม่ขัดกับประโยชน์สาธารณะ และมีเหตุผลที่เหมาะสม เช่น ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง หรือมีความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของจำเลยในคดีนั้น ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ 1.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้เสียหายเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยในคดีทำร้ายร่างกาย และพนักงานอัยการได้ฟ้องคดีในข้อหาทำร้ายร่างกาย ศาลพิจารณาเห็นว่าผู้เสียหายมีสิทธิในการขอรับค่าชดเชยโดยตรงจากคดีดังกล่าว จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ 2.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: คดีความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ ผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกฉ้อโกง ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าร่วมเป็นโจทก์ เนื่องจากเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง 3.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ศาลพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องทุกข์ และการเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ขัดต่อประโยชน์สาธารณะ 4.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมีหลักฐานว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของจำเลย ศาลพิจารณาแล้วเห็นควรอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ 1.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้ร้องเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของจำเลย แต่มีความเกี่ยวข้องในฐานะผู้ใกล้ชิดกับผู้เสียหาย ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ 2.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยโดยตรง ศาลจึงไม่อนุญาต 3.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีทำร้ายร่างกาย แต่ศาลพิจารณาว่าการเข้าร่วมดังกล่าวอาจขัดต่อประโยชน์สาธารณะและเป็นการเพิ่มภาระให้แก่กระบวนการพิจารณา 4.คำพิพากษาศาลฎีกา oกรณี: ผู้ร้องอ้างว่าตนเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยในคดีฉ้อโกง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลเสียหายโดยตรงต่อผู้ร้อง ศาลจึงปฏิเสธคำร้อง การศึกษาเปรียบเทียบ จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ศาลพิจารณาอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ในกรณีที่มีความเสียหายโดยตรงและเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม หากผู้ร้องไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง หรือหากการเข้าร่วมดังกล่าวขัดต่อประโยชน์สาธารณะ ศาลจะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนั้น สรุป การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามข้อเท็จจริงและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ
|