ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา,

ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

 โจทก์ร่วมในคดีอาญา, การใช้สิทธิผู้เสียหายแทนโจทก์ร่วมเดิม, การสืบสิทธิในคดีอาญา, 

จำเลยถูกศาลชั้นต้นตัดสินว่ามีความผิดฐานฆาตกรรมโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ใช้อาวุธทำร้ายผู้ตายจนถึงแก่ชีวิต โดยศาลอนุญาตให้มารดาผู้ตายเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิมที่ถึงแก่ความตาย ตามสิทธิผู้เสียหายที่บัญญัติในกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2)

นางจีรรัตน์เป็นบุพการีของนางสาวนวพร ผู้ตาย จึงมีสิทธิในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายรัตน์  (โจทก์ร่วม)ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตายนางจีรรัตน์ ยื่นคำร้องขอเข้าแทนเพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายรัตน์ ซึ่งได้ยื่นคำร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นพิพากษาแล้ว ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางจีรรัตน์ เข้าร่วมเป็นโจทก์และรับอุทธรณ์ไว้พิจารณา ถือว่าชอบด้วยกฎหมายนางจีรรัตน์ จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2101/2567

จ. เป็นบุพการีของ น. ผู้ตาย จ. จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับ ร. โจทก์ร่วม ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่ จ. ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่า จ. ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วมเพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่า จ. เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทน ร. โจทก์ร่วม เมื่อ ร. ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ จ. เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไป จึงชอบด้วยกฎหมาย จ. จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้

 

โทษฐานฆ่าผู้อื่น มาตรา 288,  การสืบสิทธิในคดีอาญา,  โจทก์ร่วมในคดีอาญา,  ลดโทษกึ่งหนึ่ง มาตรา 78,  สิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา,  บทบาทของพนักงานอัยการในคดีอาญา,  หลักการพิจารณาโทษในศาลฎีกา,  อุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญา,

 

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 288 ริบของกลาง

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง

ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ บิดาของนางสาวนวพร ผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 จำคุก 15 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 7 ปี 6 เดือน ริบสากครกหิน สากไม้ และอาวุธมีดของกลาง คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ อดีตภริยาของนายรัตน์และเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของนางสาวนวพร ผู้ตาย ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่นายรัตน์ โจทก์ร่วม ศาลชั้นต้นอนุญาต

โจทก์ร่วมอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 20 ปี ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยและนางสาวนวพร ผู้ตาย จดทะเบียนสมรสกันเมื่อปี 2558 มีบุตรด้วยกัน 1 คน คือ เด็กหญิงกอปรรัก ทั้งหมดอาศัยอยู่ที่บ้านโจทก์ร่วม ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง จำเลยมีเจตนาฆ่าใช้มีดทำครัวปลายแหลม ขนาดความยาวรวมด้าม 35 เซนติเมตร 1 เล่ม สากครกหิน น้ำหนักรวมประมาณ 0.77 กิโลกรัม และสากไม้ น้ำหนัก 0.31 กิโลกรัม ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ผู้ตายมีบาดแผลถูกฟันบริเวณหนังศีรษะ 4 บาดแผลยาว 1.5 ถึง 5.5 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณใต้ตาขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกฟันตื้นบริเวณแก้มขวายาว 1 เซนติเมตร เบ้าตาทั้งสองข้างฟกช้ำร่วมกับเลือดออกในเยื่อบุตาขาว ริมฝีปากฟกช้ำฉีกขาดทั้งบนและล่าง บาดแผลถูกแทงบริเวณขากรรไกรล่างด้านขวายาว 4 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านขวายาว 2.5 เซนติเมตร ลึกถึงหลอดเลือดแดงใหญ่บริเวณคอ บาดแผลถูกฟันบริเวณไหล่ขวายาว 1 เซนติเมตร บาดแผลถูกแทงบริเวณหลังต้นแขนขวายาว 2 เซนติเมตร พบรอยประทับด้ามมีดรอบปากแผล บาดแผลฟกช้ำบริเวณหน้าอกขวากว้าง 5 เซนติเมตร ยาว 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณไหล่ซ้าย เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำหลายบาดแผลบริเวณแขนซ้ายท่อนล่าง เส้นผ่าศูนย์กลาง 1 ถึง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังศอกขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณหลังมือขวา เส้นผ่าศูนย์กลาง 7 เซนติเมตร บาดแผลฟกช้ำบริเวณนิ้วโป้งมือขวา นิ้วชี้และนิ้วกลางมือซ้าย แผลเป็นลักษณะขนานกันหลายบาดแผลบริเวณต้นแขนขวา 5 บาดแผล หน้าอกขวา 8 บาดแผล ไหล่ซ้าย 4 บาดแผล หน้าท้องซ้ายบน 5 บาดแผล เนื้อสมองคั่งเลือด กล้ามเนื้อคอฟกช้ำ หลอดเลือดแดงใหญ่คาโรติดข้างขวาฉีกขาด สาเหตุการตายโดยตรงเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า ผู้ตายเป็นบุตรของนายรัตน์ และนางจีรารัตน์ ในระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น นายรัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ตามคำร้องลงวันที่ 19 กันยายน 2565 ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นายรัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต่อมาวันที่ 21 ธันวาคม 2565 ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้คู่ความฟัง แต่ภายหลังจากที่ศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาดังกล่าว ทนายโจทก์ร่วมแถลงต่อศาลว่า เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2565 นายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิมตามคำร้องลงวันที่ 19 มกราคม 2566 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า ผู้ร้องซึ่งเป็นมารดาของผู้ตายประสงค์ใช้สิทธิของตนในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการได้ตามขอ

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการแรกว่า นางจีรารัตน์มีสิทธิยื่นอุทธรณ์หรือไม่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า นางจีรารัตน์เป็นบุพการีของนางสาวนวพร ผู้ตาย นางจีรารัตน์จึงอยู่ในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนผู้เสียหายเช่นเดียวกับนายรัตน์ โจทก์ร่วม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) เมื่อโจทก์ร่วมถึงแก่ความตาย การที่นางจีรารัตน์ยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่โจทก์ร่วมเดิม ถือได้ว่านางจีรารัตน์ประสงค์ขอใช้สิทธิของตนที่มีอยู่เดิมตั้งแต่แรกในฐานะผู้มีอำนาจจัดการแทนด้วยอีกคนหนึ่งเช่นเดียวกับโจทก์ร่วม เพื่อสืบสิทธิดำเนินคดีแทนโจทก์ร่วม ย่อมถือว่านางจีรารัตน์เข้าสืบสิทธิดำเนินคดีแทนนายรัตน์ โจทก์ร่วม เมื่อนายรัตน์ได้ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาแล้ว ที่ศาลชั้นต้นอนุญาตให้นางจีรารัตน์เข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการและรับอุทธรณ์ของโจทก์ร่วมไว้พิจารณาต่อไปจึงชอบด้วยกฎหมาย นางจีรารัตน์จึงมีสิทธิยื่นอุทธรณ์ได้ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น

มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยประการต่อไปว่า ศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยใช้มีดทำครัวปลายแหลม สากครกหิน และสากไม้ ฟัน แทง ทุบ และตีประทุษร้ายผู้ตายอย่างแรงหลายครั้ง ทั้งตามรายงานตรวจศพระบุว่าผู้ตายมีบาดแผลหลายแห่ง สาเหตุการตายเนื่องจากบาดแผลถูกแทงบริเวณลำคอด้านหน้า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นการกระทำต่อผู้ตายซึ่งเป็นเพศที่อ่อนแอกว่าอย่างรุนแรง ไม่ยำเกรงต่อกฎหมายบ้านเมือง การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดร้ายแรง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยหลังลดโทษกึ่งหนึ่ง 10 ปี นั้น นับว่าเหมาะสมและเป็นคุณแก่จำเลยมากอยู่แล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน

•  โทษฐานฆ่าผู้อื่น มาตรา 288

•  การสืบสิทธิในคดีอาญา

•  โจทก์ร่วมในคดีอาญา

•  ลดโทษกึ่งหนึ่ง มาตรา 78

•  สิทธิผู้เสียหายในคดีอาญา

•  บทบาทของพนักงานอัยการในคดีอาญา

•  หลักการพิจารณาโทษในศาลฎีกา

•  อุทธรณ์และฎีกาในคดีอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกา (สรุปย่อ)

ข้อเท็จจริงและการดำเนินคดี:

โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาฆ่าผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 และขอริบของกลาง จำเลยให้การปฏิเสธแต่เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพในภายหลัง ระหว่างพิจารณา นายรัตน์ บิดาของผู้ตาย ได้ยื่นคำร้องขอร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต แต่ภายหลังนายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์ มารดาผู้ตายยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่และศาลอนุญาต

คำพิพากษาศาลชั้นต้น:

ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามฟ้อง จำคุก 15 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่งเหลือ 7 ปี 6 เดือน และริบของกลาง

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์:

ศาลอุทธรณ์แก้โทษจำคุกจำเลยเป็น 20 ปี ลดกึ่งหนึ่งเหลือ 10 ปี เห็นว่าการกระทำของจำเลยรุนแรงและไม่ยำเกรงกฎหมาย

ข้อวินิจฉัยในศาลฎีกา:

1.สิทธิในการยื่นอุทธรณ์ของนางจีรารัตน์:

ศาลเห็นว่านางจีรารัตน์เป็นมารดาผู้ตายและมีสิทธิในฐานะผู้จัดการแทนผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2) การที่ศาลอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย

2.ความเหมาะสมของโทษที่ศาลอุทธรณ์กำหนด:

การกระทำของจำเลยถือว่ารุนแรงต่อเพศที่อ่อนแอกว่าและเป็นการกระทำผิดร้ายแรง โทษจำคุก 10 ปีหลังลดโทษกึ่งหนึ่งถือว่าเหมาะสมแล้ว ศาลฎีกาไม่มีเหตุแก้ไข

คำพิพากษาศาลฎีกา:

พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับบทความ

1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5 (2)

มาตรานี้กำหนดให้ผู้ที่มีสิทธิเป็นผู้เสียหาย หมายถึง ผู้ที่ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำความผิด สามารถดำเนินคดีอาญาได้ด้วยตนเอง หรือมอบหมายให้บุคคลอื่นดำเนินคดีแทน โดยในกรณีนี้ นางจีรารัตน์เป็นมารดาของผู้ตาย ถือเป็นผู้มีสิทธิในฐานะผู้เสียหายโดยตรง และสามารถยื่นคำร้องขอเข้าแทนที่นายรัตน์ (บิดาผู้ตาย) ซึ่งเคยร่วมเป็นโจทก์ได้ การที่ศาลอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์จึงชอบด้วยกฎหมาย

2.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 29

มาตรานี้บัญญัติถึงสิทธิของผู้เสียหายที่จะร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญา โดยผู้เสียหายสามารถดำเนินคดีเอง หรือร่วมดำเนินคดีร่วมกับพนักงานอัยการได้ การที่นายรัตน์ และต่อมาคือนางจีรารัตน์ ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการจึงเป็นการใช้สิทธิที่กฎหมายรับรองไว้

3.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30

มาตรานี้กำหนดสิทธิของผู้เสียหายในการสืบสิทธิแทนบุคคลเดิมที่เป็นโจทก์ร่วม หากบุคคลดังกล่าวถึงแก่ความตายหรือไม่สามารถดำเนินคดีต่อไปได้ โดยต้องเป็นบุคคลที่มีสิทธิหรือความสัมพันธ์ตามกฎหมาย เช่น บุพการี สามี ภริยา หรือผู้สืบสันดาน ในกรณีนี้ เมื่อนายรัตน์ถึงแก่ความตาย นางจีรารัตน์สามารถยื่นคำร้องขอแทนที่ได้ เพราะเป็นมารดาโดยชอบด้วยกฎหมายของผู้ตาย

การเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับคดีนี้:

การที่ศาลอนุญาตให้นางจีรารัตน์เข้าแทนที่นายรัตน์ในฐานะโจทก์ร่วม และให้สิทธิยื่นอุทธรณ์ ถือเป็นการใช้สิทธิตามมาตรา 5 (2) และสอดคล้องกับมาตรา 30 ที่รองรับการสืบสิทธิในคดีอาญา นอกจากนี้ การที่ศาลพิจารณารับอุทธรณ์ไว้แสดงถึงความเป็นไปตามมาตรา 29 ที่ให้สิทธิผู้เสียหายในการดำเนินคดีร่วมกับพนักงานอัยการ

ประโยชน์สำหรับผู้อ่าน:

ความเข้าใจในหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านมองเห็นบทบาทของผู้เสียหายในคดีอาญา การใช้สิทธิในการดำเนินคดี หรือการสืบสิทธิต่อในกรณีที่ผู้เสียหายเดิมไม่สามารถดำเนินคดีได้ รวมถึงการพิจารณาความชอบธรรมของคำสั่งศาลที่เกี่ยวข้อง

*****ขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาคืออะไร

การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญา หมายถึง การที่บุคคลภายนอกหรือผู้เสียหายซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีอาญาที่พนักงานอัยการเป็นผู้ดำเนินคดี ได้ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอมีส่วนร่วมในการดำเนินคดีอาญาในฐานะโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ การกระทำดังกล่าวมักเกิดขึ้นในกรณีที่ผู้เสียหายมีความประสงค์จะมีบทบาทหรืออำนาจในการฟ้องร้อง หรือมีเหตุผลเฉพาะเจาะจงที่ต้องการติดตามผลของคดีอย่างใกล้ชิด

หลักเกณฑ์ทางกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 30 กำหนดให้ผู้เสียหายซึ่งมีสิทธิร้องขอให้ศาลอนุญาตเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีอาญาได้ หากศาลพิจารณาเห็นว่า การอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์นั้นไม่ขัดกับประโยชน์สาธารณะ และมีเหตุผลที่เหมาะสม เช่น ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายโดยตรง หรือมีความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของจำเลยในคดีนั้น

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์

1.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้เสียหายเป็นผู้ได้รับบาดเจ็บจากการกระทำของจำเลยในคดีทำร้ายร่างกาย และพนักงานอัยการได้ฟ้องคดีในข้อหาทำร้ายร่างกาย ศาลพิจารณาเห็นว่าผู้เสียหายมีสิทธิในการขอรับค่าชดเชยโดยตรงจากคดีดังกล่าว จึงอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการ

2.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: คดีความผิดฐานฉ้อโกงทรัพย์ ผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกฉ้อโกง ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ผู้ร้องมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเข้าร่วมเป็นโจทก์ เนื่องจากเป็นผู้เสียหายที่ได้รับผลกระทบโดยตรง

3.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้ร้องเป็นผู้เสียหายจากการกระทำผิดฐานหมิ่นประมาท ศาลพิจารณาว่าผู้ร้องมีสิทธิร้องทุกข์ และการเข้าร่วมเป็นโจทก์ไม่ขัดต่อประโยชน์สาธารณะ

4.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีความผิดฐานละเมิดลิขสิทธิ์ โดยมีหลักฐานว่าเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของจำเลย ศาลพิจารณาแล้วเห็นควรอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ไม่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์

1.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้ร้องเป็นบุคคลที่ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการกระทำของจำเลย แต่มีความเกี่ยวข้องในฐานะผู้ใกล้ชิดกับผู้เสียหาย ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์

2.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้ร้องเป็นเจ้าของทรัพย์ในคดีที่เกี่ยวข้องกับความผิดฐานลักทรัพย์ แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์ว่าได้รับความเสียหายจากการกระทำของจำเลยโดยตรง ศาลจึงไม่อนุญาต

3.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้ร้องยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีทำร้ายร่างกาย แต่ศาลพิจารณาว่าการเข้าร่วมดังกล่าวอาจขัดต่อประโยชน์สาธารณะและเป็นการเพิ่มภาระให้แก่กระบวนการพิจารณา

4.คำพิพากษาศาลฎีกา

oกรณี: ผู้ร้องอ้างว่าตนเป็นผู้เสียหายจากการกระทำของจำเลยในคดีฉ้อโกง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนที่แสดงว่าการกระทำดังกล่าวส่งผลเสียหายโดยตรงต่อผู้ร้อง ศาลจึงปฏิเสธคำร้อง

การศึกษาเปรียบเทียบ

จากตัวอย่างข้างต้นจะเห็นได้ว่า ศาลพิจารณาอนุญาตให้ผู้ร้องเข้าร่วมเป็นโจทก์ในกรณีที่มีความเสียหายโดยตรงและเป็นประโยชน์ต่อกระบวนการยุติธรรม อย่างไรก็ตาม หากผู้ร้องไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นโดยตรง หรือหากการเข้าร่วมดังกล่าวขัดต่อประโยชน์สาธารณะ ศาลจะไม่อนุญาตให้เข้าร่วมเป็นโจทก์ในคดีนั้น

สรุป

การขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการในคดีอาญาเป็นสิทธิตามกฎหมายของผู้เสียหาย อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาอนุญาตหรือไม่อนุญาตตามข้อเท็จจริงและหลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างเหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ

 

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 5  บุคคลเหล่านี้จัดการแทนผู้เสียหายได้ (1) ผู้แทนโดยชอบธรรมหรือผู้อนุบาล เฉพาะแต่ในความผิดซึ่งได้กระทำต่อผู้เยาว์หรือผู้ไร้ความสามารถซึ่งอยู่ในความดูแล (2) ผู้บุพการี ผู้สืบสันดาน สามีหรือภริยาเฉพาะแต่ในความผิดอาญา ซึ่งผู้เสียหายถูกทำร้ายถึงตายหรือบาดเจ็บจนไม่สามารถจะจัดการเองได้ (3) ผู้จัดการหรือผู้แทนอื่น ๆ ของนิติบุคคล เฉพาะความผิดซึ่งกระทำลงแก่นิติบุคคลนั้น

 



เกี่ยวกับวิธีพิจารณาความอาญา

การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
แก้ไขฟ้องคดีอาญา ป.วิ.อ. มาตรา 163, อำนาจพนักงานอัยการในคดีทุจริต, บทบาทอัยการสูงสุดตาม พ.ร.บ.องค์กรอัยการ
ศาลลงโทษปรับต่ำกว่าที่กฎหมายกำหนด, อุทธรณ์คำพิพากษา, ขอให้เพิ่มโทษ,
อำนาจฟ้อง, คู่ความในคดี, ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย,
การพิจารณาคดีไต่สวนมูลฟ้อง, คำสั่งศาลที่เด็ดขาด,
ถ้อยคำรับสารภาพว่าตนได้กระทำความผิดห้ามมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
ข้อห้ามฎีกาคดีอาญา มาตรา 218 วรรคหนึ่ง, การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง, คดีอาวุธปืนและอาวุธเถื่อน,
การกระทำโดยบันดาลโทสะ, โทษสถานเบาและการรอการลงโทษ, สิทธิยกประเด็นในชั้นอุทธรณ์
ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอค่าสินไหมทดแทนตาม มาตรา 44/1
ฎีกาขอให้ลดมาตราส่วนโทษเป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้าม
แก้ไขโทษของความผิดถือว่าเป็นการแก้ไขเล็กน้อยห้ามฎีกา
ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
อำนาจสอบสวนของกองปราบปราม
คำให้การชั้นสอบสวนแทนการสืบพยานในชั้นพิจารณา
ลดมาตราส่วนโทษในความผิดต้องห้ามฎีกา
ฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด
คำรับสารภาพมิให้รับฟังเป็นพยานหลักฐาน
อำนาจฟ้องในข้อหาความผิดตามมาตรา 157
พยานหลักฐานชนิดที่เกิดขึ้นโดยไม่ชอบ
การกระทำหลายอย่างแต่ละอย่างเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง
ฟ้องร้องคดีในลักษณะสมยอมสิทธินำคดีอาญามาฟ้องไม่ระงับ
ผู้เสียหายไม่มาเบิกความเป็นพยานในศาล
ผู้แทนโดยชอบธรรมมีผลประโยชน์ขัดกันกับผู้เสียหาย(บุตร)
ความรับผิดในทางแพ่ง-ผู้เสียหายโดยนิตินัย
การบรรยายฟ้องที่ขาดองค์ประกอบความผิด
กรณีไม่ปรากฏลายมือชื่อผู้เรียง-พิมพ์คำฟ้องโจทก์
คดีราษฎรเป็นโจทก์ฟ้องคดีอาญายื่นคำร้องขอให้ศาลออกหมายค้นได้
ศาลชั้นต้นยกอายุความมายกคำร้อง ม.44/1 ไม่ชอบ
ชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีมีมูล ให้ประทับฟ้อง
คดีแพ่งที่เกี่ยวเนื่องกับคดีอาญา | เรียกค่าเสียหาย
นายแพทย์กระทำอนาจารคนไข้อายุกว่า 15 ปี จำคุก 3 ปี ปรับ 20,000 บาท
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่แทนการยื่นอุทธรณ์
ผู้ต้องหายื่นคำร้องขอให้เพิกถอนหมายจับ ยกคำร้อง ผู้ต้องหาอุทธรณ์
โจทก์ขอให้ลงโทษตามกฎหมายเดิมซึ่งถูกยกเลิกไปแล้ว
หลอกลวงผู้เสียหายให้ขายดาวน์รถยนต์
ผู้เช่าซื้อมีอำนาจแจ้งความดำเนินคดีฐานยักยอกได้
ไม่มีเจตนาเล่นการพนันด้วยจึงเป็นผู้เสียหายโดยนิตินัย
บุคคลล้มละลายมีอำนาจฟ้องคดีอาญา
พนักงานสอบสวนมิได้ขอฝากขังต่อศาลภายในกำหนด
ไม่ได้บรรยายฟ้องว่ากระทำโดยพลาด
ฟ้องคดีสมยอมสิทธิฟ้องคดีอาญาไม่ระงับ
ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
แก้ไขคำพิพากษาที่อ่านแล้ว
จำคุกไม่เกิน5ปีห้ามคู่ความฎีกาข้อเท็จจริง
ความผิดตาม พ.ร.บ.ภาพยนตร์และวีดิทัศน์
จำเลยให้การรับสารภาพแต่ศาลอุทธรณ์ศาลฎีกายกฟ้อง
ไม่อนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาห้ามอุทธรณ์
การกระทำอันเป็นความผิดรวมอยู่ในฟ้อง
ฟ้องที่บรรยายไม่ครบองค์ประกอบของความผิด
พิพากษาถึงข้อเท็จจริงที่มิได้กล่าวในฟ้อง
เพื่อการอนาจารเป็นเจตนาพิเศษ | การบรรยายฟ้อง
ของกลางที่พนักงานสอบสวนยึดไว้ | คดีถึงที่สุด
ไม่สามารถนำผู้เสียหายมาเบิกความต่อศาล
ห้ามมิให้ศาลรับฟังพยานบอกเล่า
คำสั่งเกี่ยวกับการปล่อยตัวชั่วคราวห้ามอุทธรณ์
มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามกระบวนพิจารณา
อำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่มิได้อุทธรณ์-ฎีกา
ฎีกาไม่ได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์-ฎีกาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ฟ้องที่ขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบของความผิด
สิทธินำคดีอาญามาฟ้องย่อมระงับไป
คดีขาดอายุความจึงชอบที่ศาลจะยกฟ้อง
คดีถึงที่สุดเมื่อครบกำหนดยื่นฎีกา
การพิจารณาคดีลับหลังจำเลย
ต้องห้ามฎีกาเพราะไม่ได้อุทธรณ์ไว้
ขออนุญาตฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
แก้ไขเล็กน้อย-จำคุกไม่เกินห้าปีห้ามฎีกา
กรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท
เป็นความผิดกรรมเดียวหรือหลายกรรม
โจทก์ฟ้องผิดวันจำเลยหลงต่อสู้
โต้แย้งดุลพิจนิจในการรับฟังพยานหลักฐาน