

การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน, ความผิดฐานฟ้องเท็จ, มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย *ศาลฎีกายืนคำพิพากษาลงโทษจำเลยคดีเช็คเด้ง 1.2 ล้านบาท แม้เช็คพิพาทใช้ถอนฟ้องคดีอาญา แต่ถือเป็นสิทธิตามกฎหมาย มูลหนี้ไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย จำเลยไม่ได้ชำระหนี้หรือบรรเทาผลเสียหาย ศาลล่างลงโทษไม่รอการลงโทษจำคุก เหมาะสมแล้ว* *แม้จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเพื่อให้ถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดิน แต่การถอนฟ้องเป็นสิทธิของโจทก์ร่วมที่สามารถกระทำได้ก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 35 วรรคหนึ่ง โดยกฎหมายไม่ห้ามการถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดิน การที่โจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทแล้วถอนฟ้องคดีฐานฟ้องเท็จจึงเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มูลหนี้ดังกล่าวไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยและไม่ตกเป็นโมฆะ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า: 1.ประเด็นความผิดตามคำพิพากษาศาลล่าง: แม้จำเลยออกเช็คเพื่อให้โจทก์ร่วมถอนฟ้องในคดีอาญา แต่การถอนฟ้องเป็นสิทธิตามกฎหมายที่โจทก์ร่วมสามารถกระทำได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง มูลหนี้จากเช็คจึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อย และไม่ตกเป็นโมฆะ ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น 2.ประเด็นการลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษ: จำเลยออกเช็คมูลค่า 1,200,000 บาท แต่ไม่เคยชำระหนี้หรือบรรเทาผลร้ายต่อโจทก์ร่วม ทำให้โจทก์ร่วมได้รับความเสียหายร้ายแรง ข้ออ้างเรื่องอายุ โรคประจำตัว และพฤติกรรมที่ดี ไม่เพียงพอต่อการรอการลงโทษ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษโดยไม่รอการลงโทษเป็นการเหมาะสมแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2620/2567 แม้จำเลยจะออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมถอนฟ้องจำเลยในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดอาญาแผ่นดินก็ตาม แต่การที่โจทก์ร่วมจะถอนฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่ ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ร่วมอันพึงกระทำได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตาม ป.วิ.อ. มาตรา 35 วรรคหนึ่ง โดยกฎหมายมิได้ห้ามโจทก์ซึ่งฟ้องคดีความผิดอาญาแผ่นดินไว้แล้วจะถอนฟ้องไม่ได้ การที่โจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทจากจำเลยแล้วถอนฟ้องในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จ ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ย่อมเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อย จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ***โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ระหว่างพิจารณา นายอุดม ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยาน จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 (1) (2) จำคุก 1 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 6 เดือน จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน *จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้น อนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง *ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า จำเลยออกเช็คธนาคาร ธ. เลขที่ 1028xxxx ลงวันที่ 1 เมษายน 2563 สั่งจ่ายเงิน 1,200,000 บาท มอบให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อเช็คถึงกำหนด โจทก์ร่วมนำเช็คไปเรียกเก็บเงินตามวิธีการของธนาคาร แต่ธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2563 โดยให้เหตุผลว่า "เงินในบัญชีไม่พอจ่าย" *มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดตามคำพิพากษาศาลล่างทั้งสองหรือไม่ เห็นว่า แม้จำเลยจะออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเพื่อให้โจทก์ร่วมถอนฟ้องจำเลยในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดอาญาแผ่นดินก็ตาม แต่การที่โจทก์ร่วมจะถอนฟ้องคดีดังกล่าวหรือไม่นั้น ย่อมเป็นสิทธิของโจทก์ร่วมอันพึงกระทำได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง โดยกฎหมายมิได้ห้ามโจทก์ซึ่งฟ้องคดีความผิดอาญาแผ่นดินไว้แล้วจะถอนฟ้องไม่ได้เสียเลย การที่โจทก์ร่วมรับเช็คพิพาทจากจำเลยแล้วถอนฟ้องในคดีที่โจทก์ร่วมเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฟ้องเท็จ ซึ่งเป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ย่อมเป็นการใช้สิทธิตามกฎหมาย มูลหนี้ตามเช็คพิพาทมิได้มีวัตถุประสงค์ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงไม่ตกเป็นโมฆะ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น *มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า มีเหตุสมควรลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกจำเลยหรือไม่ เห็นว่า จำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเป็นเงินสูงถึง 1,200,000 บาท โดยจำเลยไม่เคยพยายามบรรเทาผลร้ายด้วยการชำระหนี้ให้แก่โจทก์ร่วมเลย ย่อมก่อให้เกิดความเสียหายร้ายแรงแก่โจทก์ร่วม ที่จำเลยฎีกาอ้างว่า จำเลยอายุมากแล้ว มีโรคประจำตัวหลายโรค ไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ไม่เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ชอบช่วยเหลืองานสังคมและสาธารณะมาโดยตลอด ก็ไม่เป็นเหตุผลเพียงพอที่จะรับฟังเพื่อรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลย ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษจำเลยโดยไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดีแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน • คำพิพากษาศาลฎีกา 2620/2567 • กฎหมายการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 • การถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน • เช็คไม่มีเงินในบัญชี • มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย • สิทธิของโจทก์ในการถอนฟ้อง • ความผิดฐานฟ้องเท็จ • รอการลงโทษจำคุก • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 • ความผิดเกี่ยวกับการใช้เช็ค **สรุปคำพิพากษา โจทก์ฟ้องจำเลยตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ระหว่างพิจารณา นายอุดม ผู้เสียหาย ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต จำเลยให้การปฏิเสธ แต่เปลี่ยนคำให้การเป็นรับสารภาพก่อนสืบพยาน คำพิพากษาศาลชั้นต้น: จำเลยมีความผิดตาม พ.ร.บ. เช็คฯ มาตรา 4 (1) (2) จำคุก 1 ปี ลดโทษเหลือ 6 เดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เนื่องจากจำเลยรับสารภาพ ศาลอุทธรณ์: พิพากษายืน ศาลฎีกา: วินิจฉัยดังนี้: กรณีมูลหนี้ตามเช็ค: เช็คพิพาทมีมูลหนี้ถูกต้องตามกฎหมาย แม้จำเลยออกเช็คเพื่อให้โจทก์ร่วมถอนฟ้องในคดีอาญา แต่การถอนฟ้องเป็นสิทธิตามกฎหมาย ไม่ทำให้มูลหนี้ขัดต่อความสงบเรียบร้อย จึงไม่เป็นโมฆะ การรอการลงโทษ: จำเลยออกเช็คมูลค่า 1,200,000 บาท โดยไม่ชำระหนี้หรือบรรเทาผลร้ายต่อโจทก์ร่วม การอ้างเหตุผลเรื่องอายุ โรคประจำตัว และประวัติส่วนตัว ไม่เพียงพอที่จะรอการลงโทษ ศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษโดยไม่รอการลงโทษเป็นการเหมาะสมแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกา: พิพากษายืน *อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง กฎหมายนี้กำหนดให้ โจทก์ในคดีอาญาแผ่นดิน สามารถถอนฟ้องได้ในระหว่างที่คดียังไม่ได้มีคำพิพากษาจากศาลชั้นต้น โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากจำเลย การถอนฟ้องดังกล่าวถือเป็นสิทธิของโจทก์ที่ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย กรณีที่บทความกล่าวถึงนั้น โจทก์ร่วมถอนฟ้องคดีฐานฟ้องเท็จ ซึ่งเป็นคดีอาญาแผ่นดิน จึงถือว่าเป็นการใช้สิทธิตามที่กฎหมายอนุญาต และไม่ขัดต่อระเบียบแห่งความสงบเรียบร้อยของประชาชน *พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 มาตรานี้บัญญัติถึงกรณีที่บุคคลออกเช็คโดยรู้ว่าไม่มีเงินในบัญชีหรือเงินในบัญชีไม่เพียงพอ และธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน กฎหมายถือว่าผู้ออกเช็คมีความผิด โดยมีเจตนาในการใช้เช็คเพื่อชำระหนี้หรือหลอกลวงบุคคลอื่น กรณีในบทความ จำเลยออกเช็คมูลค่า 1,200,000 บาทให้แก่โจทก์ร่วม แต่เช็คถูกธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเนื่องจากเงินในบัญชีไม่พอ การกระทำนี้จึงเข้าข่ายความผิดตามมาตรา 4 (1) และ (2) ของ พ.ร.บ.ฉบับนี้ สรุปความเชื่อมโยง มาตรา 35 วรรคหนึ่ง: ยืนยันสิทธิของโจทก์ร่วมในการถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน โดยไม่ขัดต่อกฎหมาย พ.ร.บ.เช็คฯ มาตรา 4: กำหนดความผิดของการออกเช็คโดยไม่มีเงินเพียงพอในบัญชี ซึ่งเป็นฐานความผิดที่นำไปสู่การฟ้องร้องในคดีนี้ การทำความเข้าใจกฎหมายทั้งสองช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพชัดเจนว่ากฎหมายอนุญาตให้ฝ่ายโจทก์ร่วมถอนฟ้องได้โดยชอบธรรม และจำเลยยังคงมีความผิดฐานออกเช็คโดยไม่มีเงินในบัญชีตามที่ศาลชั้นต้นและศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้ว ***กฎหมายไม่ห้ามการถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดิน บทนำ การฟ้องร้องคดีอาญาแผ่นดินเป็นกระบวนการที่สำคัญในระบบยุติธรรมเพื่อคุ้มครองสังคมและผู้เสียหายจากการกระทำผิดอาญา อย่างไรก็ตาม การถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดินเป็นสิ่งที่กฎหมายไม่ได้ห้าม และยังเปิดโอกาสให้ผู้ฟ้องสามารถกระทำได้ภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด ในบทความนี้ เราจะอธิบายถึงสิทธิในการถอนฟ้องคดีอาญาแผ่นดิน หลักเกณฑ์ตามกฎหมาย และกรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดความเข้าใจมากยิ่งขึ้น หลักกฎหมายเกี่ยวกับการถอนฟ้อง 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 วรรคหนึ่ง กฎหมายกำหนดให้ผู้เสียหายที่เป็นโจทก์ในคดีอาญาแผ่นดินสามารถถอนฟ้องได้ ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา โดยไม่จำเป็นต้องได้รับความยินยอมจากจำเลย การถอนฟ้องนี้สะท้อนหลักการที่ว่าโจทก์ผู้เสียหายมีสิทธิในการตัดสินใจเกี่ยวกับคดีที่ตนเองยื่นฟ้อง ตัวอย่างเช่น หากโจทก์พิจารณาแล้วว่ามีเหตุผลที่สมควร เช่น การยอมความหรือการบรรลุข้อตกลงกับจำเลย กฎหมายก็ไม่ได้ปิดกั้นสิทธิในการถอนฟ้องนี้ 2.ข้อยกเว้นเกี่ยวกับการถอนฟ้องในคดีความผิดอาญาแผ่นดิน แม้การถอนฟ้องจะเป็นสิทธิ แต่กฎหมายยังมีข้อกำหนดบางประการที่ต้องคำนึงถึง เช่น การถอนฟ้องต้องกระทำโดยสุจริตและไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน กรณีศึกษา หนึ่งในตัวอย่างที่สะท้อนการใช้สิทธิถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดิน คือคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2620/2567 ซึ่งโจทก์ร่วมถอนฟ้องจำเลยในคดีฐานฟ้องเท็จ โดยจำเลยออกเช็คพิพาทให้โจทก์ร่วมเพื่อเป็นเงื่อนไขในการถอนฟ้อง กรณีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การถอนฟ้องดังกล่าวเป็นสิทธิตามกฎหมายที่โจทก์ร่วมสามารถกระทำได้ และไม่ถือว่าขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี มูลหนี้ที่เกี่ยวข้องจึงไม่ตกเป็นโมฆะ ประเด็นที่น่าสนใจ •สิทธิของโจทก์ในคดีอาญาแผ่นดิน สิทธินี้มีความสำคัญเพราะช่วยลดภาระของระบบศาล และเปิดโอกาสให้คู่ความหาข้อยุติด้วยวิธีการอื่น เช่น การเจรจาประนีประนอม •การใช้สิทธิโดยสุจริต การถอนฟ้องต้องไม่กระทำโดยมุ่งหมายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเพื่อก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น เช่น การถอนฟ้องโดยแลกเปลี่ยนกับผลประโยชน์ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย สรุป การถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดินเป็นสิทธิที่กฎหมายรับรองภายใต้เงื่อนไขที่กำหนด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้โจทก์สามารถตัดสินใจเกี่ยวกับคดีของตนเองได้อย่างอิสระ ตราบเท่าที่ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรม การทำความเข้าใจหลักกฎหมายนี้จะช่วยให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถใช้สิทธิดังกล่าวได้อย่างเหมาะสมและเป็นธรรมในกระบวนการยุติธรรม ***ในกรณีที่ พนักงานอัยการเป็นโจทก์ ในคดีอาญาแผ่นดิน การถอนฟ้องย่อมต้องปฏิบัติตามหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยมีเงื่อนไขและข้อกำหนดที่แตกต่างจากกรณีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์โดยตรง หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1.ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 35 oมาตรานี้กำหนดว่าในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์ คดีอาญาแผ่นดินสามารถถอนฟ้องได้ก่อนที่ศาลชั้นต้นจะมีคำพิพากษา โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากจำเลย oแต่สำหรับพนักงานอัยการ ซึ่งเป็นผู้มีหน้าที่ดำเนินคดีในนามของรัฐ ไม่มีอำนาจถอนฟ้องโดยลำพัง จำเป็นต้องได้รับ คำสั่งจากผู้มีอำนาจตามกฎหมาย เพื่อดำเนินการถอนฟ้อง 2.พระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 21 oมาตรานี้กำหนดให้ อัยการสูงสุด หรือผู้ที่ได้รับมอบหมาย มีอำนาจสูงสุดในการกำกับดูแลการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ รวมถึงการอนุญาตให้ถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดิน oดังนั้น การถอนฟ้องของพนักงานอัยการต้องได้รับ ความเห็นชอบจากอัยการสูงสุด ก่อนเสมอ 3.หลักความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี oแม้พนักงานอัยการจะได้รับอนุมัติให้ถอนฟ้องจากผู้มีอำนาจ การพิจารณาถอนฟ้องต้องไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อย หรือ ศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น การถอนฟ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตัวหรือเพราะถูกกดดันจากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง 4.พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 (กรณีคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง) oในกรณีคดีที่เกี่ยวข้องกับผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง การถอนฟ้องต้องได้รับอนุญาตจากองค์กรอิสระหรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ป.ป.ช. หรือ ศาลรัฐธรรมนูญ ข้อสรุป •พนักงานอัยการสามารถถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดินได้ แต่ต้องได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจ เช่น อัยการสูงสุด หรือผู้ได้รับมอบหมาย และต้องพิจารณาว่าการถอนฟ้องนั้นไม่ขัดต่อ ความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน. •การถอนฟ้องในกรณีนี้มีความซับซ้อนกว่าในกรณีที่ผู้เสียหายเป็นโจทก์โดยตรง เนื่องจากพนักงานอัยการทำหน้าที่แทนรัฐเพื่อคุ้มครองประโยชน์ของสาธารณชน. **พนักงานอัยการมีอำนาจถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดินได้ โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด อย่างไรก็ตาม การถอนฟ้องของพนักงานอัยการในคดีอาญาแผ่นดินอาจมีผลต่อสิทธิของผู้เสียหายในการดำเนินคดีต่อไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 36 (1) การถอนฟ้องของพนักงานอัยการในคดีที่ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัว ไม่ตัดสิทธิของผู้เสียหายที่จะยื่นฟ้องคดีนั้นใหม่ได้ นอกจากนี้ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1765/2539 ยังระบุว่า เมื่อผู้เสียหายฟ้องและถอนฟ้องจำเลยไปโดยไม่ระบุว่าจะขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการ ต่อมาผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์กับพนักงานอัยการอีก แม้จะยื่นคำร้องขอเข้าร่วมได้ แต่หากมีระยะเวลานานกว่า 10 เดือนหลังจากถอนฟ้อง แสดงว่าผู้เสียหายมีเจตนาถอนฟ้องจำเลยเด็ดขาดแล้ว ดังนั้น การถอนฟ้องในคดีอาญาแผ่นดินโดยพนักงานอัยการมีผลต่อสิทธิของผู้เสียหายในการดำเนินคดีต่อไป ซึ่งต้องพิจารณาตามกฎหมายและคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง
|