

โทษประหารชีวิตยาเสพติด - การลงโทษที่ศาลพิจารณาให้ประหารชีวิตในคดียาเสพติด
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ประหารชีวิต (ลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต) และลงโทษจำเลยที่ 2 และ 3 จำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ปรับ ซึ่งสอดคล้องกับกฎหมาย ป.ยาเสพติด มาตรา 152 และ ป.อ. มาตรา 52 (1) 1.ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติด - เกี่ยวกับการพิจารณาคดีความเกี่ยวกับยาเสพติดในศาลฎีกา 2.โทษประหารชีวิตยาเสพติด - การลงโทษที่ศาลพิจารณาให้ประหารชีวิตในคดียาเสพติด 3.ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 86 - กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุนการกระทำความผิดในคดีอาญา 4.นโยบายบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดในไทย - ข้อมูลเกี่ยวกับการบังคับใช้กฎหมายและนโยบายยาเสพติด 5.ศาลอุทธรณ์คดีสนับสนุนการกระทำความผิด - การพิจารณาของศาลอุทธรณ์เกี่ยวกับคดีสนับสนุนการกระทำความผิด คดีนี้เกี่ยวข้องกับจำเลยสามรายในข้อหาความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา โจทก์ฟ้องให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 อย่างรุนแรงและให้นับโทษต่อเนื่องจากคดีอื่น รวมถึงขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อกับจำเลยที่ 2 ด้วย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพต่อการกระทำผิด ส่วนจำเลยที่ 2 และที่ 3 ยอมรับผิดเฉพาะข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนและปฏิเสธข้อหาอื่น การพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลได้ตัดสินว่าจำเลยทั้งสามมีความผิดตามกฎหมายยาเสพติดและบทบัญญัติต่าง ๆ ของประมวลกฎหมายอาญา โดยพิจารณาให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ด้วยโทษประหารชีวิตจากการครอบครองเมทแอมเฟตามีนเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตและถูกปรับคนละ 2,000,000 บาท ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิดและเสพเมทแอมเฟตามีน โทษของจำเลยที่ 2 ยังถูกเพิ่มขึ้นเนื่องจากประวัติการกระทำผิด ทั้งนี้ ศาลได้พิจารณาให้จำเลยที่ 1 ได้รับการลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 เนื่องจากการรับสารภาพและการให้การที่เป็นประโยชน์ โดยมีการระบุให้โทษของจำเลยที่ 1 และที่ 2 นับต่อจากโทษจำคุกในคดีอื่นตามคำร้องของโจทก์ ศาลชั้นต้นจึงสั่งให้ริบของกลางและกำหนดให้จำเลยที่ 1 ต้องรับโทษต่อจากโทษเดิมในคดีอื่น คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 ได้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิจารณาว่าจำเลยที่ 1 มีความผิดตามบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องและตัดสินประหารชีวิตตามเดิม ขณะที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิตเช่นกัน แต่ศาลพิจารณาว่าโทษของจำเลยทั้งสองมีความสมควรโดยไม่ต้องเพิ่มโทษปรับ จึงไม่ลงโทษปรับเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม สำหรับข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีนศาลให้ลงโทษจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 เดือน และเพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามกฎหมาย การพิจารณาของศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ในประเด็นเรื่องการสนับสนุนผู้อื่นกระทำผิด ซึ่งโจทก์เห็นว่าจำเลยที่ 2 และที่ 3 ควรต้องรับโทษปรับเพิ่มเติม ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการลงโทษจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ลงโทษปรับนั้นชอบแล้ว เพราะผู้สนับสนุนตามมาตรา 86 ต้องรับโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดสำหรับความผิดนั้น การลงโทษจำคุกตลอดชีวิตจึงเพียงพอแล้ว คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2682/2567 จำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่กระทำความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ประกอบ ป.อ. มาตรา 83 ซึ่งศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ก่อนลดโทษให้ประหารชีวิต ดังนั้น โทษสองในสามส่วนของโทษประหารชีวิตจึงเท่ากับจำคุกตลอดชีวิต เทียบ ป.อ. มาตรา 52 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานนี้ก่อนลดโทษ ให้จำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ลงโทษปรับ และมิได้เพิ่มโทษปรับจำเลยที่ 2 ด้วย จึงชอบแล้ว เพราะศาลอุทธรณ์ไม่ได้ลงโทษสองในสามส่วนของโทษจำคุกที่ต้องลงโทษปรับด้วยเสมอตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 152 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 97, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91 ริบของกลาง เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 ตามกฎหมาย และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1081/2563 ของศาลชั้นต้น กับนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1462/2560 ของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ และรับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การรับสารภาพข้อหาเสพเมทแอมเฟตามีน ส่วนข้อหาอื่นให้การปฏิเสธ และจำเลยที่ 2 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษและนับโทษต่อ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 และมาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 57, 91 และมาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดชีวิต และปรับคนละ 2,000,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 6 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 กระทงละกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 97 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เมื่อลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษจำคุกจำเลยที่ 2 ในความผิดฐานนี้ได้อีก คงเพิ่มโทษได้เฉพาะโทษปรับ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 51 เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 ตลอดชีวิต และปรับ 3,000,000 บาท ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 9 เดือน ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ และฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 52 (2) ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 3 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 4 เดือน 15 วัน เมื่อรวมโทษทุกกระทงแล้ว คงให้จำคุกจำเลยทั้งสามตลอดชีวิตสถานเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) และปรับจำเลยที่ 2 เป็นเงิน 3,000,000 บาท ปรับจำเลยที่ 3 เป็นเงิน 2,000,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังได้เกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี นับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ ย 1081/2563 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 2 ต่อจากโทษจำคุกของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1462/2560 ของศาลจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ริบของกลาง จำเลยที่ 1 ไม่อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์ตามพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 16 จำเลยที่ 2 และที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสาม (2), 162 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำเลยที่ 2 และที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคสาม (2), 162 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 การกระทำของจำเลยทั้งสามเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ให้ประหารชีวิตจำเลยที่ 1 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐให้จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 ตลอดชีวิต ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 2 เดือน เพิ่มโทษจำเลยที่ 2 หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ เมื่อลงโทษจำเลยที่ 2 จำคุกตลอดชีวิตแล้ว จึงไม่อาจเพิ่มโทษในความผิดฐานนี้ได้อีก ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน ฐานเสพเมทแอมเฟตามีนจำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพ และฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 3 คนละ 1 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 1 เดือน 10 วัน ฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ จำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ คำให้การของจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ลดโทษให้คนละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 จำคุกจำเลยที่ 2 และที่ 3 มีกำหนดคนละ 33 ปี 4 เดือน รวมจำคุกจำเลยที่ 1 ตลอดชีวิต ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 (3) จำคุกจำเลยที่ 2 มีกำหนด 33 ปี 5 เดือน 10 วัน จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 33 ปี 5 เดือน การนับโทษต่อและนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา จำเลยที่ 1 และที่ 3 ยื่นคำร้องขออนุญาตฎีกา เมื่อพ้นกำหนดระยะเวลาฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อนุญาต ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ในความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความมั่นคงของรัฐ ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ลงโทษปรับและมิได้เพิ่มโทษปรับจำเลยที่ 2 ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ผู้สนับสนุนการกระทำความผิดต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น เมื่อจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่กระทำความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสาม (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ซึ่งศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 1 ก่อนลดโทษให้ประหารชีวิต ดังนั้น โทษสองในสามส่วนของโทษประหารชีวิตจึงเท่ากับจำคุกตลอดชีวิต เทียบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 52 (1) ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 และที่ 3 ในความผิดฐานนี้ก่อนลดโทษให้จำคุกตลอดชีวิต โดยไม่ลงโทษปรับและมิได้เพิ่มโทษปรับจำเลยที่ 2 ด้วย นั้น จึงชอบแล้ว เพราะศาลอุทธรณ์ไม่ได้ลงโทษสองในสามส่วนของโทษจำคุกที่ต้องลงโทษปรับด้วยเสมอตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 152 ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
บทความ: โทษประหารชีวิตและการพิจารณาในคดียาเสพติด 1. โทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด โทษประหารชีวิตถือเป็นโทษสูงสุดตามกฎหมายในประเทศไทย โดยมีการกำหนดให้ใช้ในคดีที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดร้ายแรง เช่น การผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติดในปริมาณมาก โดยกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ยังคงบัญญัติให้โทษประหารชีวิตเป็นมาตรการที่สามารถนำมาใช้ได้หากจำเลยกระทำผิดในลักษณะร้ายแรงที่กระทบต่อสังคมและความสงบเรียบร้อยของประเทศ เช่น การกระทำผิดในลักษณะเป็นองค์กรอาชญากรรม 2. การยกเลิกโทษประหารชีวิต ปัจจุบันมีการถกเถียงถึงการยกเลิกโทษประหารชีวิตในประเทศไทย เนื่องจากข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน หลายฝ่ายเห็นว่าโทษดังกล่าวอาจไม่เหมาะสมหรือไม่มีประสิทธิภาพในการลดปัญหาอาชญากรรม โดยเฉพาะในคดียาเสพติด ขณะเดียวกันยังมีการโต้แย้งว่าโทษประหารชีวิตยังจำเป็นสำหรับกรณีที่ผู้กระทำผิดมีพฤติการณ์ร้ายแรงอย่างยิ่ง 3. บทกำหนดโทษคดียาเสพติดให้โทษ กฎหมายยาเสพติดให้โทษกำหนดบทลงโทษหลากหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับประเภทของยาเสพติดและปริมาณที่เกี่ยวข้อง เช่น • โทษประหารชีวิต: สำหรับการผลิต นำเข้า ส่งออก หรือจำหน่ายยาเสพติดในปริมาณมาก • จำคุกตลอดชีวิต: สำหรับความผิดที่ร้ายแรงรองลงมา • จำคุก 10-20 ปี: สำหรับการครอบครองในปริมาณมาก • ปรับเงิน: ในกรณีความผิดที่มีลักษณะไม่ร้ายแรง 4. โทษสูงสุดในคดียาเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด (แก้ไขใหม่) ประมวลกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ในปี 2564 ยังคงกำหนดโทษประหารชีวิตเป็นโทษสูงสุดในคดียาเสพติด โดยเฉพาะสำหรับการกระทำที่เกี่ยวข้องกับองค์กรอาชญากรรม อย่างไรก็ตาม ได้มีการพิจารณาเพิ่มทางเลือกในการบังคับใช้กฎหมาย เช่น การลดโทษสำหรับผู้กระทำผิดที่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูล 5. โทษประหารชีวิตในประเทศไทยยังมีอยู่จริงมากน้อยเพียงใด ประเทศไทยยังคงมีโทษประหารชีวิตในทางกฎหมาย แต่การบังคับใช้จริงเกิดขึ้นน้อยครั้ง โดยคดีที่มีการลงโทษประหารชีวิตในระยะหลังมักเกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดร้ายแรงหรือคดีฆาตกรรม โดยในหลายกรณีศาลมีแนวโน้มที่จะลดโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต หากจำเลยแสดงความสำนึกผิดหรือให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 874/2561 จำเลยถูกกล่าวหาว่าผลิตและจำหน่ายยาไอซ์ปริมาณมาก ศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต เนื่องจากเป็นการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อสังคมอย่างรุนแรง 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 789/2560 คดีเกี่ยวกับการลักลอบนำเข้ายาเสพติดประเภทเฮโรอีน ศาลชั้นต้นลงโทษประหารชีวิต แต่ศาลฎีกาเปลี่ยนโทษเป็นจำคุกตลอดชีวิต เนื่องจากจำเลยให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1024/2559 จำเลยถูกจับกุมพร้อมยาเสพติดประเภทแอมเฟตามีนจำนวนมาก ศาลลงโทษประหารชีวิต เนื่องจากจำเลยไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงความสำนึกผิด 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2558 คดีที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติดในระดับองค์กร ศาลตัดสินลงโทษประหารชีวิต เนื่องจากเป็นการกระทำที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2045/2557 ศาลพิพากษาประหารชีวิตจำเลยที่ลักลอบขนส่งยาเสพติดจำนวนมากเข้าประเทศ โดยเห็นว่าเป็นความผิดที่มีผลกระทบร้ายแรงต่อสังคม 6. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 569/2556 จำเลยถูกลงโทษประหารชีวิตในคดีค้ายาเสพติดประเภทเมทแอมเฟตามีน เนื่องจากมีหลักฐานชัดเจนและจำเลยมีพฤติการณ์ที่ไม่แสดงความสำนึกผิด สรุป บทความนี้นำเสนอภาพรวมของโทษประหารชีวิตในคดียาเสพติด รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในบทบัญญัติกฎหมายและแนวทางของศาลในการตัดสินคดี เพื่อให้เห็นความสำคัญของกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดในประเทศไทย
|