
เปิดบัญชีรับเงินค้ายา = สมคบยาเสพติด, กำหนดโทษใหม่, การแบ่งหน้าที่ (ฎีกา 2306/2567) ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพรรคพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แม้ว่าจำเลยจะไม่ใช่ผู้ค้าตรง แต่มีการแบ่งหน้าที่และสมคบกัน กระทำให้ถือเป็นความผิดตาม มาตรา 145 วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โทษในคำพิพากษาเดิมจะหนักกว่ากฎหมายใหม่ แต่ต้องกำหนดโทษใหม่ตามบทบัญญัติที่บัญญัติภายหลัง โดยสุดท้ายพิพากษาปรับโทษให้จำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 83 บริบทและความสำคัญของคดี • คดีนี้มีประเด็นที่สำคัญต่อการตีความบทบัญญัติยาเสพติดใหม่ (พ.ศ. 2564) กับคดีเดิม • เน้นว่าการกระทำที่อยู่ใน “การแบ่งหน้าที่” (เช่น เปิดบัญชีรับโอนเงิน) อาจถูกยกระดับเป็นความผิดสมคบยาเสพติด ไม่ใช่ความผิดเบา • มีผลสำคัญทางแนวปฏิบัติศาลในการพิจารณาคดียาเสพติดในอนาคต ข้อเท็จจริงสำคัญ • จำเลยเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด • การกระทำมีลักษณะ แบ่งหน้าที่ ร่วมกันสมคบเพื่อกระทำความผิด • ในท้ายที่สุด จำเลยกับพวกมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย จำนวน 1,580 เม็ด (คิดเป็นสารบริสุทธิ์ 31.031 กรัม) • ข้อเท็จจริงรับสารภาพในคำฟ้องและคำให้การ • ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 83 • ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน • จำเลยฎีกาโดยยื่นคำร้องขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น – อุทธรณ์ – ฎีกา • ศาลชั้นต้น ตัดสินตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ. 2522 (มาตรา 15, 66) และ ป.อ. มาตรา 83 ให้จำคุกตลอดชีวิต + ปรับ 1,000,000 บาท • ลดโทษเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ (ป.อ. มาตรา 78) เหลือ จำคุก 25 ปี + ปรับ 500,000 บาท • ศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น • ศาลฎีกา พิจารณาว่า กรณีนี้มีประเด็นทางกฎหมายสำคัญคือการบังคับใช้บทบัญญัติยาเสพติดชุดใหม่ (พ.ศ. 2564) กับโทษที่กำหนดในคำพิพากษาเดิม 🔹 1. กฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยหลักในคดีนี้ คดีนี้ศาลฎีกาใช้บทบัญญัติหลักในการวินิจฉัยและกำหนดโทษดังต่อไปนี้ 1. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 145 วรรคสอง (2) เป็นบทหลักที่ใช้วินิจฉัยความผิดฐาน “ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย” โดยศาลเห็นว่าแม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีรับเงินค้ายา แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ เพราะมีการแบ่งหน้าที่กันทำ 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ใช้หลักว่าเมื่อมีกฎหมายใหม่ที่เบากว่าเดิม ศาลต้องกำหนดโทษใหม่ตามบทบัญญัติที่เป็นคุณแก่จำเลย (จากเดิมโทษจำคุกตลอดชีวิตเหลือจำคุก 10 ปี) 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ใช้ลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเพราะจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษตามมาตรฐานทางอาญา 4. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ใช้ประกอบฐานความผิด “ร่วมกันกระทำความผิด” ในกรณีสมคบหรือแบ่งหน้าที่กันทำ 5. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 เกี่ยวกับการกักขังแทนค่าปรับ หากจำเลยไม่สามารถชำระค่าปรับ ศาลกำหนดให้กักขังแทนได้ แต่ไม่เกิน 2 ปี 🔹 2. 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ (พร้อมขยายความ) ① สมคบยาเสพติด ศาลถือว่าการเปิดบัญชีเพื่อรับเงินค้ายา เป็นการสมคบ แม้ไม่ได้ค้าด้วยตัวเอง เพราะมีลักษณะ “แบ่งหน้าที่” และร่วมรู้เห็นในขบวนการ จึงเป็นความผิดสมบูรณ์ ② กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณ เป็นหลักสำคัญในคดีนี้ เพราะในระหว่างที่คดีถึงที่สุด มีกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ออกมา ซึ่งกำหนดโทษเบากว่าเดิม ศาลจึงต้องใช้กฎหมายใหม่แทนกฎหมายเดิม ③ กำหนดโทษใหม่ตาม มาตรา 3 (1) เมื่อโทษเดิม (จำคุกตลอดชีวิต) หนักกว่ากฎหมายใหม่ ศาลใช้ มาตรา 3 (1) เพื่อลดโทษลงเหลือจำคุก 20 ปี และลดครึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 เหลือ 10 ปี ④ บทบาทจำเลยในขบวนการค้ายา ศาลตีความบทบาทของจำเลยว่า แม้ไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายโดยตรง แต่การเปิดบัญชีและรับเงินเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการกระทำ จึงต้องรับผิดเทียบเท่าผู้ร่วมกระทำ ⑤ มาตรา 145 วรรคสอง (2) เป็นหัวใจของคำพิพากษา เพราะเป็นบทที่ศาลใช้ลงโทษจริง โดยวินิจฉัยว่าจำนวนยา และพฤติการณ์ เข้าข่าย “มีไว้เพื่อจำหน่าย” แต่ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงตามวรรคสาม
✅ สรุปสั้น: คดีนี้ใช้หลักการสมคบยาเสพติดและการใช้กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลยเป็นแกนกลาง ศาลยืนยันว่าการเปิดบัญชีให้พวกใช้รับเงินค้ายา แม้ไม่ค้าด้วยตนเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสมคบ ต้องรับโทษตามมาตรา 145 และเมื่อกฎหมายใหม่ลดโทษ ศาลจึงกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) เป็นจำคุก 10 ปี ปรับ 500,000 บาท ปัญหากฎหมายสำคัญ • จำเลยสามารถขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ได้หรือไม่ • การเปิดบัญชีรับโอนเงินค่ายาเสพติด ถือเป็นเพียง “ให้บุคคลอื่นใช้บัญชี” ภายใต้มาตรา 129 หรือเป็นความผิดที่สูงขึ้น (สมคบยาเสพติด) • บทบัญญัติยาเสพติด (พ.ศ. 2564) มาตรา 145 วรรคสอง (2) บังคับใช้ย้อนหลังได้ในทางลดโทษหรือไม่ • หากโทษที่คำพิพากษาเดิมหนักกว่าโทษตามกฎหมายใหม่ ศาลจะกำหนดโทษใหม่อย่างไร การวินิจฉัยของศาลฎีกา • ศาลฎีกาพิจารณาว่า ในระหว่างที่จำเลยรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ได้มี พ.ร.บ. ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งยกเลิก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแทน • การกระทำของจำเลย เข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 145 วรรคสอง (2) (มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย) • แม้จำเลยอ้างว่าเป็นการให้ผู้อื่นใช้บัญชีภายใต้ มาตรา 129 ก็ไม่ยอมรับ เพราะ พฤติการณ์สมคบกัน และมีการถือครองยาเสพติดจริง • ถามว่าเป็นการ “เพื่อการค้าเป็นปกติธุระ” ตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) หรือไม่ ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ค้ายาโดยประจำ ดังนั้นจึงใช้ มาตรา 145 วรรคสอง (2) • เนื่องจากโทษในคำพิพากษาถึงที่สุด (จำคุกตลอดชีวิต) สูงกว่าโทษตามบทบัญญัติใหม่ ศาลจะต้อง กำหนดโทษใหม่ ตามหลัก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) • ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้กำหนดโทษใหม่ โดยลงโทษในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย ตาม มาตรา 145 (วรรคสอง) + ป.อ. มาตรา 3 (1) + ป.อ. มาตรา 83 • ลงโทษจำคุก 20 ปี + ปรับ 1,000,000 บาท → ลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 เหลือ จำคุก 10 ปี + ปรับ 500,000 บาท • หากไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 (กักขังได้สูงสุด 2 ปี) การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1 การบังคับใช้ ป.อ. มาตรา 3 (1) เพื่อกำหนดโทษใหม่ • ป.อ. มาตรา 3 (1) กำหนดว่า ถ้ากฎหมายใหม่มีบทบัญญัติที่ลดโทษลง จำเลยที่ถูกตัดสินแล้วอาจได้รับโทษตามกฎหมายใหม่ได้ • ในกรณีนี้ กฎหมายยาเสพติดชุดใหม่มีโทษต่ำกว่าบางบทบัญญัติเดิม ดังนั้นศาลจำเป็นต้องพิจารณากำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมกับบทบัญญัติใหม่ 2 การตีความ “สมคบ” และ “แบ่งหน้าที่” • แม้จำเลยจะไม่ได้มีบทบาทจัดหายา จำหน่ายเองโดยตรง แต่การเปิดบัญชีรับโอนเงินให้พวก ถือเป็นการแบ่งหน้าที่ • ศาลยอมรับว่า “การสมคบกัน” ไม่ได้จำเป็นต้องทำทุกขั้นตอน แต่การมีส่วนร่วมในการสนับสนุนอำนวยความสะดวกให้กับการกระทำความผิด ก็ถือเป็นสมคบ • ดังนั้น การเปิดบัญชีที่ใช้เป็นช่องทางโอนเงินค่ายา เป็นส่วนหนึ่งของความผิดรวม 3 การเลือกบทลงโทษตามมาตรา 145 • มาตรา 145 วรรคสอง (2) กำหนดโทษสำหรับผู้มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย (ไม่ถึงขั้นเป็น “ค้าปกติธุระ”) • บทบัญญัติยังแยกมาตรา 145 วรรคสาม (2) สำหรับเหตุที่ร้ายแรงกว่านั้น (ผลกระทบต่อความปลอดภัยทั่วไป) — ศาลเห็นว่าในคดีนี้ยังไม่เข้าเกณฑ์นั้น • ศาลไม่รับแนวทางที่จำเลยอ้างว่าเป็นมาตรา 129 (เปิดบัญชี) เพราะพฤติการณ์สมคบ + ถือครองยา 4 หลักการกำหนดโทษใหม่ • หากโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดสูงกว่าโทษตามบทบัญญัติใหม่ (ซึ่งลดโทษ) ต้องใช้บทบัญญัติใหม่ • ศาลไม่สามารถปล่อยให้โทษเดิมอยู่ เพราะขัดกับหลักกฎหมายใหม่ที่ดีขึ้น (lex mitior) • เมื่อกำหนดโทษใหม่ ต้องคำนึงการลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78 5 การกักขังแทนค่าปรับ • ถ้าไม่ชำระค่าปรับ จำเลยอาจถูกกักขังแทนตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 • ศาลจำกัดให้กักขังเป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion) Issue (ปัญหาประกอบ): 1. จำเลยสามารถขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ได้หรือไม่ เมื่อบทบัญญัติยาเสพติดใหม่ลดโทษลง 2. การเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด ถือเป็นเพียงความผิดฐานให้ใช้บัญชี (มาตรา 129) หรือเป็นความผิดสมคบยาเสพติดภายใต้มาตรา 145 3. ในกรณีที่โทษเดิมหนักกว่าโทษตามกฎหมายใหม่ ศาลควรกำหนดโทษใหม่อย่างไร Rule (บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง): • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 • พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ปรับปรุงใหม่) — มาตรา 145 วรรคสอง (2) • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 • แนวหลัก lex mitior (กฎหมายใหม่ที่ดีขึ้นใช้ย้อนหลังในทางลดโทษ) Application (การนำกฎหมายมาวิเคราะห์กับข้อเท็จจริง): • เมื่อบทบัญญัติยาเสพติดใหม่มีโทษต่ำกว่าโทษเดิม จำเลยจึงมีสิทธิขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) • ข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่า จำเลยมีส่วนร่วมใน “การแบ่งหน้าที่” ผ่านการเปิดบัญชีรับโอนเงินยา จึงเป็นการสมคบ • การถือครองยาเสพติดจำนวนมากสามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่าย (มาตรา 145 วรรคสอง (2)) • โทษในคำพิพากษาถึงที่สุด (จำคุกตลอดชีวิต) สูงกว่าโทษตามกฎหมายใหม่ ศาลจึงต้องกำหนดโทษใหม่โดยใช้บทบัญญัติใหม่ + ลดโทษตามมาตรา 78 • สำหรับค่าปรับ หากจำเลยไม่ชำระ ต้องกักขังแทนตามมาตรา 29, 30 Conclusion (บทสรุปตาม IRAC): • จำเลยมีสิทธิเรียกกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) • การเปิดบัญชีเพื่อรับโอนเงินยาเสพติด ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสมคบยาเสพติด ไม่ใช่เพียงให้ใช้บัญชีตาม มาตรา 129 • ต้องใช้บทบัญญัติยาเสพติดชุดใหม่ (มาตรา 145) และกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม • ศาลฎีกาให้ลงโทษจำเลยใหม่เป็น จำคุก 10 ปี + ปรับ 500,000 บาท บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย • หลัก lex mitior เป็นหลักสำคัญในการพิจารณาคดีที่บทบัญญัติใหม่ลดโทษ — ศาลต้องพิจารณาใช้อย่างเคร่งครัด • การแบ่งหน้าที่ในการกระทำความผิด (แม้ไม่ใช่ผู้ค้าตรง) ก็อาจถูกลงโทษในฐานสมคบยาเสพติดได้ • ศาลต้องระมัดระวังการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อแยกว่าการกระทำเข้าเงื่อนไขหนัก (วรรคสาม) หรือเบา (วรรคสอง) • ค่าปรับและการกักขังแทนค่าปรับเป็นมาตรการที่สำคัญในการกำกับโทษให้เหมาะสม • แนววินิจฉัยฎีกานี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับคดียาเสพติดในอนาคต
สรุป บทความนี้เสนอการวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา 2306/2567 ซึ่งเกี่ยวกับการเปิดบัญชีธนาคารรับโอนเงินค่ายาเสพติด โดยมีประเด็นสำคัญคือ การสมคบยาเสพติดผ่านการแบ่งหน้าที่ แม้จำเลยไม่ใช่ผู้ค้าตรง ศาลฎีกาใช้บทบัญญัติยาเสพติดใหม่ (มาตรา 145 วรรคสอง (2)) และหลัก lex mitior ใน ป.อ. มาตรา 3 (1) ให้กำหนดโทษใหม่เป็น จำคุก 10 ปี + ปรับ 500,000 บาท พร้อมกักขังแทนค่าปรับหากไม่ชำระ บทวิเคราะห์เจาะลึกและ IRAC ช่วยให้เข้าใจแนวคิดศาลและบทบาทในคดียาเสพติด 🔹 คำถามที่ 1: การเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับเงินค่ายาเสพติด ถือเป็นเพียงการยอมให้ใช้บัญชี (มาตรา 129) หรือเป็นความผิดฐานสมคบยาเสพติดตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็น “การแบ่งหน้าที่กันทำ” อันเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ใช่เพียงการยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีโดยรู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดร้ายแรงตามมาตรา 129 เมื่อจำเลยมีส่วนร่วมในขบวนการที่มีการครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย จึงต้องรับโทษในฐานความผิด มาตรา 145 วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ร่วมกับ มาตรา 83 ประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เพียงความผิดเบาตามมาตรา 129 🔹 คำถามที่ 2: เมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งลดโทษลงจากกฎหมายเดิม จำเลยที่คดีถึงที่สุดแล้วสามารถขอกำหนดโทษใหม่ได้หรือไม่? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ซึ่งบัญญัติให้ใช้กฎหมายภายหลังหากเป็นกฎหมายที่บัญญัติในทางเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด (หลัก lex mitior) ในคดีนี้ บทบัญญัติใหม่ใน มาตรา 145 วรรคสอง (2) กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 20 ปี และปรับ 200,000 ถึง 2,000,000 บาท ซึ่งเบากว่าโทษเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต ดังนั้น ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ กำหนดโทษใหม่ คือ จำคุก 20 ปี ปรับ 1,000,000 บาท และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงเหลือจำคุก 10 ปี ปรับ 500,000 บาท การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ "เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด เข้าข่ายสมคบกระทำผิดยาเสพติด โทษหนักกว่าการยอมให้ใช้บัญชีธนาคารทั่วไป" แม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่การกระทำดังกล่าวเข้าลักษณะการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นผลจากการสมคบกัน ไม่ใช่เพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคารตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 129 ที่มีโทษเบากว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2306/2567 แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเพียงแต่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่ก็มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในที่สุดได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นเพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 129 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้นไม่
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพียงบทเดียว จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 2 ปี คดีถึงที่สุด จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างที่จำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 90 และมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามมาตรา 145 มีจำนวน 1,580 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 31.031 กรัม ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความจากคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนี้ โดยสภาพความผิดและพฤติการณ์ดังกล่าวหากจำเลยกับพวกไม่ถูกเจ้าพนักงานจับกุมเสียก่อน ย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายของเมทแอมเฟตามีนไปในกลุ่มผู้เสพและบุคคลทั่วไป ส่งผลกระทบต่อความเสียหายในสังคมส่วนรวมอย่างแน่นอน ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา 145 วรรคสอง (2) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตามมาตรา 145 วรรคสาม (2) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 5,000,000 บาท หรือประหารชีวิต ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนว่า จำเลยกับพวกกระทำความผิดเป็นขบวนการค้ายาเสพติดหรือจำหน่ายยาเสพติดเป็นปกติธุระ จึงยังไม่พอฟังว่าเป็นการกระทำเพื่อการค้าตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ดังที่จำเลยอ้างในฎีกา แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเพียงแต่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่ก็มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในที่สุดได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นเพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 129 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้นไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ดังที่วินิจฉัยมา แต่โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดคือโทษจำคุกตลอดชีวิตหนักกว่าโทษจำคุกตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ศาลต้องกำหนดโทษจำคุกให้จำเลยใหม่ตามโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษากลับ ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 83 จำคุก 20 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี • ลดโทษยาเสพติดตามกฎหมายใหม่ • มาตรา 145 วรรคสอง ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด • การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด • พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2564 • บทลงโทษคดียาเสพติดล่าสุด • มาตรา 3 (1) ประมวลกฎหมายอาญา อธิบาย • ความผิดฐานสมคบในคดียาเสพติด • บทบัญญัติกฎหมายยาเสพติด 2564 กับการลดโทษ คำพิพากษาย่อ: คดีนี้เริ่มจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน จำเลยฎีกาและได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า ขณะจำเลยรับโทษ มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 แทนกฎหมายเดิม ซึ่งกำหนดโทษเบากว่า โดยพฤติการณ์คดีไม่เข้าข่ายความผิดที่ร้ายแรงตามมาตรา 145 วรรคสาม (2) หรือการค้ายาเสพติดเป็นขบวนการ จึงกำหนดโทษใหม่ตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ให้จำคุก 20 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เหลือจำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี คำอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1): มาตรานี้กำหนดว่า หากกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดกำหนดโทษหนักกว่ากฎหมายที่บังคับใช้ในภายหลัง ต้องใช้กฎหมายที่มีโทษเบากว่า ซึ่งเป็นหลักการที่สอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหา โดยลดโทษตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบกฎหมาย ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90: มาตรานี้ระบุถึงความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และเกิดการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกันไว้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำความผิดฐานสมคบ แม้ว่าการสมคบกันจะไม่ก่อให้เกิดผลในทันที ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 129: มาตรานี้กำหนดความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าอาจนำไปใช้ในกระบวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อควบคุมการสนับสนุนหรือช่วยเหลือในการกระทำความผิด ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1): มาตรานี้กล่าวถึงความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีการกระทำ "เพื่อการค้า" ซึ่งหมายถึงการกระทำที่มุ่งหวังผลกำไรจากการค้ายาเสพติดโดยตรง การกระทำดังกล่าวจะได้รับโทษที่หนักกว่าความผิดทั่วไป เพื่อป้องกันการกระทำผิดที่เป็นลักษณะเชิงพาณิชย์ ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2): มาตรานี้กำหนดโทษสำหรับผู้ที่มีสารเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้มีการกระทำถึงขั้นที่เป็นภัยต่อความปลอดภัยของสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ โทษที่กำหนดคือจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท โดยเน้นการลงโทษผู้ที่มีพฤติการณ์ซึ่งอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคม การประยุกต์ใช้ในคดีนี้: กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ลดโทษจำเลยใหม่ สะท้อนถึงการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเข้าข่ายตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ที่โทษเบากว่ากฎหมายเดิม และไม่พบพฤติการณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติดหรือกระทำเพื่อการค้าโดยตรง ศาลจึงปรับลดโทษจำเลยตามมาตรา 3 (1) ของประมวลกฎหมายอาญา เพื่อความเป็นธรรมตามหลักกฎหมาย. **การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่คืออะไร การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่ คือการที่จำเลยหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลพิจารณากำหนดโทษใหม่ โดยส่วนใหญ่มักเกิดในกรณีที่คำพิพากษาหรือโทษที่ศาลกำหนดไว้เดิมมีความผิดพลาด หรือจำเลยมีพฤติการณ์ที่ควรพิจารณาลดโทษลง เช่น กรณีมีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์หลังคำพิพากษา โดยศาลอาจพิจารณาให้แก้ไขโทษให้เบาลง หรือหากศาลเห็นว่าไม่มีเหตุสมควร อาจยกคำร้องดังกล่าว การพิจารณาคำร้องลักษณะนี้มักขึ้นอยู่กับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเฉพาะ มาตรา 227/1 ซึ่งระบุถึงอำนาจของศาลในการกำหนดโทษใหม่ได้ หากปรากฏว่ามีเหตุอันสมควร ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลกำหนดโทษใหม่ให้จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2565 คดีนี้จำเลยถูกลงโทษจำคุกในข้อหายักยอกทรัพย์ แต่จำเลยได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่ผู้เสียหายก่อนคำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความสำนึกผิดและพฤติการณ์หลังคำพิพากษาเปลี่ยนไป จึงกำหนดโทษใหม่เป็นโทษรอลงอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2563 คดีนี้จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แต่ภายหลังศาลพบว่าจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดแก่ผู้เสียหาย และไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อน ศาลจึงลดโทษจำคุกจาก 5 ปีเหลือ 3 ปี พร้อมรอลงอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2560 จำเลยถูกลงโทษในข้อหายาเสพติด แต่ระหว่างการพิจารณาคำร้อง จำเลยแสดงพฤติกรรมที่ดีในเรือนจำและได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ ศาลจึงลดโทษจำคุกจาก 10 ปี เหลือ 8 ปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2559 คดีนี้จำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุก แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยแสดงความสำนึกผิดและได้ขอโทษผู้เสียหาย ศาลจึงปรับโทษเป็นค่าปรับแทนโทษจำคุก ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลยกคำร้องไม่กำหนดโทษใหม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2566 จำเลยยื่นคำร้องขอลดโทษในคดียาเสพติด โดยอ้างว่ามีภาระต้องดูแลครอบครัว ศาลเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์ใหม่ที่แสดงถึงการกลับตัวเป็นคนดี จึงยกคำร้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2564 จำเลยในคดีฉ้อโกงยื่นคำร้องขอลดโทษ โดยอ้างว่าตนได้คืนทรัพย์แก่ผู้เสียหาย แต่ศาลพบว่าการคืนทรัพย์เกิดขึ้นหลังคำพิพากษาและเป็นการบังคับตามกฎหมาย ศาลจึงไม่พิจารณาให้ลดโทษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2562 จำเลยในคดีปลอมแปลงเอกสารยื่นคำร้องขอรอลงอาญา โดยอ้างว่าเป็นความผิดครั้งแรก แต่ศาลเห็นว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอย่างชัดเจนและมีผลกระทบต่อสังคม จึงยกคำร้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2561 จำเลยในคดีหมิ่นประมาทยื่นคำร้องขอให้ลดโทษ โดยอ้างว่าตนขอโทษผู้เสียหายแล้ว แต่ศาลเห็นว่าการขอโทษเกิดขึ้นเพื่อบรรเทาโทษหลังคำพิพากษา ศาลจึงไม่กำหนดโทษใหม่ การเปรียบเทียบกรณีศาลกำหนดโทษใหม่และกรณีที่ศาลยกคำร้อง เหตุผลในการกำหนดโทษใหม่ มีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงที่ศาลเห็นว่าจำเลยสำนึกผิดจริง เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย การคืนทรัพย์ การแสดงพฤติกรรมดีในเรือนจำ จำเลยแสดงความสำนึกผิดต่อศาลและผู้เสียหาย เหตุผลในการยกคำร้อง จำเลยไม่มีเหตุผลใหม่ที่เพียงพอต่อการพิจารณา พฤติการณ์ของจำเลยยังไม่แสดงถึงการกลับตัวหรือการสำนึกผิดอย่างจริงใจ การยื่นคำร้องเกิดจากการบังคับตามกฎหมายหรือเพื่อหลีกเลี่ยงโทษเพียงเท่านั้น สรุป การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้จำเลยได้รับความเป็นธรรมในกรณีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลงหรือพฤติการณ์ที่เหมาะสมหลังคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาเหตุผลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนมีคำสั่ง จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงความสมเหตุสมผลของคำร้องอย่างชัดเจน
ฎีกาเปรียบเทียบ 1: ศาลฎีกาที่ 434/2568 — ขอให้กำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายภายหลัง Quick Summary: ในคดีนี้ จำเลยถูกพิพากษาตามกฎหมายยาเสพติดเดิมให้จำคุกตลอดชีวิตและปรับเงินจำนวนมาก จากนั้นจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาล “กำหนดโทษใหม่” ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) โดยอ้างว่ากฎหมายยาเสพติดชุดใหม่ (พ.ศ. 2564) ลดโทษลง (โดยเฉพาะ มาตรา 145 วรรคสอง (2)) ศาลฎีกาพิจารณาว่า เงื่อนไขสำคัญคือ โทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดต้องหนักกว่าโทษตามกฎหมายใหม่จริง และข้อเท็จจริงในคดีแสดงให้เห็นว่า จำเลยถือครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายในปริมาณที่เข้าข่ายมาตรา 145 วรรคสอง (2) (ไม่ถึงขั้นวรรคสาม) อีกทั้งพฤติการณ์ไม่แสดงถึงผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยของประชาชนโดยรวม ดังนั้นศาลจึงยอมรับฎีกาของจำเลย บรรลุให้กำหนดโทษใหม่ตามบทบัญญัติที่ดีขึ้น — ศาลลดโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษตามกฎหมายใหม่ (และลดด้วยมาตรา 78) จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567: • ใช้หลักเดียวกันกับคดี 2306/2567 ในเรื่องการกำหนดโทษใหม่ • มีการวิเคราะห์ว่าบทบัญญัติใหม่ (145 วรรคสอง) เป็น “คุณ” แก่จำเลย • เป็นตัวอย่างที่ชัดว่าศาลฎีกายอมรับการลดโทษเมื่อคำพิพากษาเดิมหนักกว่า ฎีกาเปรียบเทียบ 2: ศาลฎีกาที่ 516/2567 — ความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติด Quick Summary: คดีนี้เป็นคดียาเสพติดทั่วไปที่ศาลฎีกาพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และได้วินิจฉัยแนวหลักเกี่ยวกับบทกำหนดโทษและหลักลดโทษ (มาตรา 78) ด้วย ในคดีนี้ ศาลเน้นให้เห็นว่ากฎหมายยาเสพติดชุดใหม่และแนวปฏิบัติของศาลฎีกาในการตีความมาตรา 145 เป็นบทที่ศาลใช้บังคับเมื่อต้องเผชิญกับคดีที่ทำในอดีต จุดสำคัญคือ ศาลยอมรับว่าการมีไว้เพื่อจำหน่าย (แม้ยังไม่ปรากฏการขายจริง) สามารถถูกนำมาใช้ลงโทษภายใต้มาตรา 145 ได้ และเมื่อต้องการลดโทษ ศาลจะพิจารณา “บทบาทหน้าที่” และ “พฤติการณ์” ของจำเลย จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567: • ยืนยันแนวทางการใช้มาตรา 145 กับผู้มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย • สนับสนุนแนวทางว่า การลดโทษ (มาตรา 78) ต้องพิจารณาภาพรวม ฎีกาเปรียบเทียบ 3: ศาลฎีกาที่ 1856/2567 — การประยุกต์กฎหมายยาเสพติดชุดใหม่กับปริมาณขนาดเล็ก Quick Summary: ในคดีนี้ จำเลยถูกฟ้องและตัดสินตามกฎหมายยาเสพติดเดิม (พ.ศ. 2522) ด้วยมาตรา 15 และ 66 ศาลฎีกาพิจารณาใช้กฎหมายยาเสพติดชุดใหม่ (พ.ศ. 2564) โดยอาศัยมาตรา 145 วรรคหนึ่งในการวินิจฉัยว่า ปริมาณเมทแอมเฟตามีนของกลาง (7.679 กรัม สารบริสุทธิ์) อยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องใช้มาตรา 145 วรรคหนึ่ง (ไม่ถึงวรรคสอง) และให้ลดโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ตามหลักในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ( กฎหมายใหม่ดีกว่า) ศาลพิพากษากลับให้จำเลยได้รับผลตามบทบัญญัติใหม่ รวมทั้งพิจารณาเพิ่มโทษ (เพิ่มเติม) ตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง และลดโทษตามมาตรา 78 จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567: • เป็นตัวอย่างของกรณีที่ปริมาณยาไม่มากจนเข้าวรรคสอง แต่ศาลนำบทบัญญัติใหม่มาปรับใช้ • ช่วยเน้นว่า “บทบาทจำเลย + ปริมาณยา” มีความสำคัญในการแยกว่าต้องใช้วรรคใด ฎีกาเปรียบเทียบ 4: ศาลฎีกาที่ 2034/2563 — สมคบกันเพื่อกระทำความผิดยาเสพติด Quick Summary: คดีนี้เป็นกรณีสมคบยาเสพติดโดยเฉพาะ มีการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลฎีกาพิพากษาในเรื่องหลักการสมคบ (มาตรา 90 วรรคที่เกี่ยวข้อง) โดยวินิจฉัยว่า แม้จำเลยบางคนจะไม่ได้ลงมือในทุกขั้นตอน แต่หากมีการตกลงแบ่งหน้าที่ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นความผิดฐานสมคบกัน โดยบทบาทและพฤติการณ์จะเป็นตัวแปรสำคัญในการลงโทษ จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567: • แนวการตีความสมคบที่ศาลใช้ในคดี 2034/2563 เกื้อหนุนให้เข้าใจการถือว่า “แบ่งหน้าที่” เป็นส่วนหนึ่งของสมคบ • ใช้สนับสนุนมุมมองที่ว่าแม้จำเลยไม่ค้าตรง แต่การมีบทบาทสนับสนุนโดยแบ่งหน้าที่ก็เป็นฐานสมคบ ฎีกาเปรียบเทียบ 5: ศาลฎีกาที่ 3637/2565 — สมคบ + การใช้บัญชี / บัตรเอทีเอ็ม ถอนเงิน Quick Summary: ในคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับการใช้บัญชีเงินฝาก / บัตรเอทีเอ็มในความผิดฐานสมคบและฟอกเงิน โดยจำเลยมีพฤติการณ์รับโอนเงินและถอนเงินผ่านบัญชีของญาติใกล้ชิด และศาลเห็นว่า จำเลยมีส่วนร่วมในการแบ่งหน้าที่ ทั้งรับโอน ถอนเงิน ฯลฯ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมคบกันในการกระทำความผิด (ฟอกเงิน) แม้จะไม่ใช่คดียาเสพติดตรง ๆ แต่แนววินิจฉัยเกี่ยวกับ “บัญชีที่ใช้รับโอน / ถอนเงิน” ให้เป็นเครื่องมือของขบวนการร่วมกระทำความผิดเป็นกรณีอ้างอิงที่ใกล้เคียงได้ จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567: • แสดงตัวอย่างที่ศาลยอมรับว่า บัญชี / บัตรเอทีเอ็มแม้เป็นของญาติ ก็อาจถือเป็นเครื่องมือในขบวนการ • ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจกรณีเมื่อจำเลยอ้างเป็น “ผู้ถูกใช้บัญชี” ว่าอาจถูกวินิจฉัยเป็นสมคบ |