

การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ "เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด เข้าข่ายสมคบกระทำผิดยาเสพติด โทษหนักกว่าการยอมให้ใช้บัญชีธนาคารทั่วไป" แม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่การกระทำดังกล่าวเข้าลักษณะการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นผลจากการสมคบกัน ไม่ใช่เพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคารตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 129 ที่มีโทษเบากว่า คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2306/2567 แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเพียงแต่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่ก็มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในที่สุดได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นเพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 129 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้นไม่
คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพียงบทเดียว จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 2 ปี คดีถึงที่สุด จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างที่จำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 90 และมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามมาตรา 145 มีจำนวน 1,580 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 31.031 กรัม ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความจากคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนี้ โดยสภาพความผิดและพฤติการณ์ดังกล่าวหากจำเลยกับพวกไม่ถูกเจ้าพนักงานจับกุมเสียก่อน ย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายของเมทแอมเฟตามีนไปในกลุ่มผู้เสพและบุคคลทั่วไป ส่งผลกระทบต่อความเสียหายในสังคมส่วนรวมอย่างแน่นอน ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา 145 วรรคสอง (2) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตามมาตรา 145 วรรคสาม (2) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 5,000,000 บาท หรือประหารชีวิต ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนว่า จำเลยกับพวกกระทำความผิดเป็นขบวนการค้ายาเสพติดหรือจำหน่ายยาเสพติดเป็นปกติธุระ จึงยังไม่พอฟังว่าเป็นการกระทำเพื่อการค้าตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ดังที่จำเลยอ้างในฎีกา แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเพียงแต่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่ก็มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในที่สุดได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นเพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 129 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้นไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ดังที่วินิจฉัยมา แต่โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดคือโทษจำคุกตลอดชีวิตหนักกว่าโทษจำคุกตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ศาลต้องกำหนดโทษจำคุกให้จำเลยใหม่ตามโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษากลับ ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 83 จำคุก 20 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี • ลดโทษยาเสพติดตามกฎหมายใหม่ • มาตรา 145 วรรคสอง ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด • การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด • พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2564 • บทลงโทษคดียาเสพติดล่าสุด • มาตรา 3 (1) ประมวลกฎหมายอาญา อธิบาย • ความผิดฐานสมคบในคดียาเสพติด • บทบัญญัติกฎหมายยาเสพติด 2564 กับการลดโทษ คำพิพากษาย่อ: คดีนี้เริ่มจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน จำเลยฎีกาและได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า ขณะจำเลยรับโทษ มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 แทนกฎหมายเดิม ซึ่งกำหนดโทษเบากว่า โดยพฤติการณ์คดีไม่เข้าข่ายความผิดที่ร้ายแรงตามมาตรา 145 วรรคสาม (2) หรือการค้ายาเสพติดเป็นขบวนการ จึงกำหนดโทษใหม่ตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ให้จำคุก 20 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เหลือจำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี คำอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1): มาตรานี้กำหนดว่า หากกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดกำหนดโทษหนักกว่ากฎหมายที่บังคับใช้ในภายหลัง ต้องใช้กฎหมายที่มีโทษเบากว่า ซึ่งเป็นหลักการที่สอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหา โดยลดโทษตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบกฎหมาย ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90: มาตรานี้ระบุถึงความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และเกิดการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกันไว้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำความผิดฐานสมคบ แม้ว่าการสมคบกันจะไม่ก่อให้เกิดผลในทันที ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 129: มาตรานี้กำหนดความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าอาจนำไปใช้ในกระบวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อควบคุมการสนับสนุนหรือช่วยเหลือในการกระทำความผิด ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1): มาตรานี้กล่าวถึงความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีการกระทำ "เพื่อการค้า" ซึ่งหมายถึงการกระทำที่มุ่งหวังผลกำไรจากการค้ายาเสพติดโดยตรง การกระทำดังกล่าวจะได้รับโทษที่หนักกว่าความผิดทั่วไป เพื่อป้องกันการกระทำผิดที่เป็นลักษณะเชิงพาณิชย์ ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2): มาตรานี้กำหนดโทษสำหรับผู้ที่มีสารเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้มีการกระทำถึงขั้นที่เป็นภัยต่อความปลอดภัยของสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ โทษที่กำหนดคือจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท โดยเน้นการลงโทษผู้ที่มีพฤติการณ์ซึ่งอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคม การประยุกต์ใช้ในคดีนี้: กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ลดโทษจำเลยใหม่ สะท้อนถึงการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเข้าข่ายตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ที่โทษเบากว่ากฎหมายเดิม และไม่พบพฤติการณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติดหรือกระทำเพื่อการค้าโดยตรง ศาลจึงปรับลดโทษจำเลยตามมาตรา 3 (1) ของประมวลกฎหมายอาญา เพื่อความเป็นธรรมตามหลักกฎหมาย. **การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่คืออะไร การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่ คือการที่จำเลยหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลพิจารณากำหนดโทษใหม่ โดยส่วนใหญ่มักเกิดในกรณีที่คำพิพากษาหรือโทษที่ศาลกำหนดไว้เดิมมีความผิดพลาด หรือจำเลยมีพฤติการณ์ที่ควรพิจารณาลดโทษลง เช่น กรณีมีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์หลังคำพิพากษา โดยศาลอาจพิจารณาให้แก้ไขโทษให้เบาลง หรือหากศาลเห็นว่าไม่มีเหตุสมควร อาจยกคำร้องดังกล่าว การพิจารณาคำร้องลักษณะนี้มักขึ้นอยู่กับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเฉพาะ มาตรา 227/1 ซึ่งระบุถึงอำนาจของศาลในการกำหนดโทษใหม่ได้ หากปรากฏว่ามีเหตุอันสมควร ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลกำหนดโทษใหม่ให้จำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2565 คดีนี้จำเลยถูกลงโทษจำคุกในข้อหายักยอกทรัพย์ แต่จำเลยได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่ผู้เสียหายก่อนคำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความสำนึกผิดและพฤติการณ์หลังคำพิพากษาเปลี่ยนไป จึงกำหนดโทษใหม่เป็นโทษรอลงอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2563 คดีนี้จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แต่ภายหลังศาลพบว่าจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดแก่ผู้เสียหาย และไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อน ศาลจึงลดโทษจำคุกจาก 5 ปีเหลือ 3 ปี พร้อมรอลงอาญา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2560 จำเลยถูกลงโทษในข้อหายาเสพติด แต่ระหว่างการพิจารณาคำร้อง จำเลยแสดงพฤติกรรมที่ดีในเรือนจำและได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ ศาลจึงลดโทษจำคุกจาก 10 ปี เหลือ 8 ปี คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2559 คดีนี้จำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุก แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยแสดงความสำนึกผิดและได้ขอโทษผู้เสียหาย ศาลจึงปรับโทษเป็นค่าปรับแทนโทษจำคุก ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลยกคำร้องไม่กำหนดโทษใหม่ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2566 จำเลยยื่นคำร้องขอลดโทษในคดียาเสพติด โดยอ้างว่ามีภาระต้องดูแลครอบครัว ศาลเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์ใหม่ที่แสดงถึงการกลับตัวเป็นคนดี จึงยกคำร้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2564 จำเลยในคดีฉ้อโกงยื่นคำร้องขอลดโทษ โดยอ้างว่าตนได้คืนทรัพย์แก่ผู้เสียหาย แต่ศาลพบว่าการคืนทรัพย์เกิดขึ้นหลังคำพิพากษาและเป็นการบังคับตามกฎหมาย ศาลจึงไม่พิจารณาให้ลดโทษ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2562 จำเลยในคดีปลอมแปลงเอกสารยื่นคำร้องขอรอลงอาญา โดยอ้างว่าเป็นความผิดครั้งแรก แต่ศาลเห็นว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอย่างชัดเจนและมีผลกระทบต่อสังคม จึงยกคำร้อง คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2561 จำเลยในคดีหมิ่นประมาทยื่นคำร้องขอให้ลดโทษ โดยอ้างว่าตนขอโทษผู้เสียหายแล้ว แต่ศาลเห็นว่าการขอโทษเกิดขึ้นเพื่อบรรเทาโทษหลังคำพิพากษา ศาลจึงไม่กำหนดโทษใหม่ การเปรียบเทียบกรณีศาลกำหนดโทษใหม่และกรณีที่ศาลยกคำร้อง เหตุผลในการกำหนดโทษใหม่ มีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงที่ศาลเห็นว่าจำเลยสำนึกผิดจริง เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย การคืนทรัพย์ การแสดงพฤติกรรมดีในเรือนจำ จำเลยแสดงความสำนึกผิดต่อศาลและผู้เสียหาย เหตุผลในการยกคำร้อง จำเลยไม่มีเหตุผลใหม่ที่เพียงพอต่อการพิจารณา พฤติการณ์ของจำเลยยังไม่แสดงถึงการกลับตัวหรือการสำนึกผิดอย่างจริงใจ การยื่นคำร้องเกิดจากการบังคับตามกฎหมายหรือเพื่อหลีกเลี่ยงโทษเพียงเท่านั้น สรุป การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้จำเลยได้รับความเป็นธรรมในกรณีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลงหรือพฤติการณ์ที่เหมาะสมหลังคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาเหตุผลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนมีคำสั่ง จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงความสมเหตุสมผลของคำร้องอย่างชัดเจน |