ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




เปิดบัญชีรับเงินค้ายา = สมคบยาเสพติด, กำหนดโทษใหม่, การแบ่งหน้าที่ (ฎีกา 2306/2567)

คำพิพากษาศาลฎีกา 2306/2567, เปิดบัญชีธนาคารยาเสพติด, สมคบยาเสพติด, มาตรา 145 วรรคสอง, กำหนดโทษใหม่, ปรับโทษยาเสพติด, การแบ่งหน้าที่อาชญากรรม, วิเคราะห์คดียาเสพติด, แนววินิจฉัยศาลฎีกา, ป.อ. มาตรา 3, ยาเสพติด 2522 vs 2564, แนวทางตัดสินคดี

  ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

 บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพรรคพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แม้ว่าจำเลยจะไม่ใช่ผู้ค้าตรง แต่มีการแบ่งหน้าที่และสมคบกัน กระทำให้ถือเป็นความผิดตาม มาตรา 145 วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โทษในคำพิพากษาเดิมจะหนักกว่ากฎหมายใหม่ แต่ต้องกำหนดโทษใหม่ตามบทบัญญัติที่บัญญัติภายหลัง โดยสุดท้ายพิพากษาปรับโทษให้จำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 83

บริบทและความสำคัญของคดี

คดีนี้มีประเด็นที่สำคัญต่อการตีความบทบัญญัติยาเสพติดใหม่ (พ.ศ. 2564) กับคดีเดิม

เน้นว่าการกระทำที่อยู่ใน “การแบ่งหน้าที่” (เช่น เปิดบัญชีรับโอนเงิน) อาจถูกยกระดับเป็นความผิดสมคบยาเสพติด ไม่ใช่ความผิดเบา

มีผลสำคัญทางแนวปฏิบัติศาลในการพิจารณาคดียาเสพติดในอนาคต

ข้อเท็จจริงสำคัญ

จำเลยเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด

การกระทำมีลักษณะ แบ่งหน้าที่ ร่วมกันสมคบเพื่อกระทำความผิด

ในท้ายที่สุด จำเลยกับพวกมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้เพื่อจำหน่าย จำนวน 1,580 เม็ด (คิดเป็นสารบริสุทธิ์ 31.031 กรัม)

ข้อเท็จจริงรับสารภาพในคำฟ้องและคำให้การ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบ มาตรา 83

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

จำเลยฎีกาโดยยื่นคำร้องขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)

กระบวนพิจารณาในศาลชั้นต้น – อุทธรณ์ – ฎีกา

ศาลชั้นต้น ตัดสินตาม พ.ร.บ.ยาเสพติด พ.ศ. 2522 (มาตรา 15, 66) และ ป.อ. มาตรา 83 ให้จำคุกตลอดชีวิต + ปรับ 1,000,000 บาท

ลดโทษเนื่องจากจำเลยให้การรับสารภาพ (ป.อ. มาตรา 78) เหลือ จำคุก 25 ปี + ปรับ 500,000 บาท

ศาลอุทธรณ์ ยืนตามศาลชั้นต้น

ศาลฎีกา พิจารณาว่า กรณีนี้มีประเด็นทางกฎหมายสำคัญคือการบังคับใช้บทบัญญัติยาเสพติดชุดใหม่ (พ.ศ. 2564) กับโทษที่กำหนดในคำพิพากษาเดิม

🔹 1. กฎหมายที่ศาลใช้วินิจฉัยหลักในคดีนี้

คดีนี้ศาลฎีกาใช้บทบัญญัติหลักในการวินิจฉัยและกำหนดโทษดังต่อไปนี้

1. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 145 วรรคสอง (2)

เป็นบทหลักที่ใช้วินิจฉัยความผิดฐาน “ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย” โดยศาลเห็นว่าแม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีรับเงินค้ายา แต่ถือเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการ เพราะมีการแบ่งหน้าที่กันทำ

2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)

ใช้หลักว่าเมื่อมีกฎหมายใหม่ที่เบากว่าเดิม ศาลต้องกำหนดโทษใหม่ตามบทบัญญัติที่เป็นคุณแก่จำเลย (จากเดิมโทษจำคุกตลอดชีวิตเหลือจำคุก 10 ปี)

3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

ใช้ลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเพราะจำเลยให้การรับสารภาพ เป็นเหตุบรรเทาโทษตามมาตรฐานทางอาญา

4. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

ใช้ประกอบฐานความผิด “ร่วมกันกระทำความผิด” ในกรณีสมคบหรือแบ่งหน้าที่กันทำ

5. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30

เกี่ยวกับการกักขังแทนค่าปรับ หากจำเลยไม่สามารถชำระค่าปรับ ศาลกำหนดให้กักขังแทนได้ แต่ไม่เกิน 2 ปี

🔹 2. 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ (พร้อมขยายความ)

① สมคบยาเสพติด

ศาลถือว่าการเปิดบัญชีเพื่อรับเงินค้ายา เป็นการสมคบ แม้ไม่ได้ค้าด้วยตัวเอง เพราะมีลักษณะ “แบ่งหน้าที่” และร่วมรู้เห็นในขบวนการ จึงเป็นความผิดสมบูรณ์

② กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณ 

เป็นหลักสำคัญในคดีนี้ เพราะในระหว่างที่คดีถึงที่สุด มีกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ออกมา ซึ่งกำหนดโทษเบากว่าเดิม ศาลจึงต้องใช้กฎหมายใหม่แทนกฎหมายเดิม

③ กำหนดโทษใหม่ตาม มาตรา 3 (1)

เมื่อโทษเดิม (จำคุกตลอดชีวิต) หนักกว่ากฎหมายใหม่ ศาลใช้ มาตรา 3 (1) เพื่อลดโทษลงเหลือจำคุก 20 ปี และลดครึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 เหลือ 10 ปี

④ บทบาทจำเลยในขบวนการค้ายา

ศาลตีความบทบาทของจำเลยว่า แม้ไม่ได้เป็นผู้จำหน่ายโดยตรง แต่การเปิดบัญชีและรับเงินเป็นองค์ประกอบหนึ่งของการกระทำ จึงต้องรับผิดเทียบเท่าผู้ร่วมกระทำ

⑤ มาตรา 145 วรรคสอง (2)

เป็นหัวใจของคำพิพากษา เพราะเป็นบทที่ศาลใช้ลงโทษจริง โดยวินิจฉัยว่าจำนวนยา และพฤติการณ์ เข้าข่าย “มีไว้เพื่อจำหน่าย” แต่ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรงตามวรรคสาม

✅ สรุปสั้น:

คดีนี้ใช้หลักการสมคบยาเสพติดและการใช้กฎหมายใหม่ที่เป็นคุณแก่จำเลยเป็นแกนกลาง ศาลยืนยันว่าการเปิดบัญชีให้พวกใช้รับเงินค้ายา แม้ไม่ค้าด้วยตนเอง ก็เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการสมคบ ต้องรับโทษตามมาตรา 145 และเมื่อกฎหมายใหม่ลดโทษ ศาลจึงกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) เป็นจำคุก 10 ปี ปรับ 500,000 บาท 

ปัญหากฎหมายสำคัญ

จำเลยสามารถขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ได้หรือไม่

การเปิดบัญชีรับโอนเงินค่ายาเสพติด ถือเป็นเพียง “ให้บุคคลอื่นใช้บัญชี” ภายใต้มาตรา 129 หรือเป็นความผิดที่สูงขึ้น (สมคบยาเสพติด)

บทบัญญัติยาเสพติด (พ.ศ. 2564) มาตรา 145 วรรคสอง (2) บังคับใช้ย้อนหลังได้ในทางลดโทษหรือไม่

หากโทษที่คำพิพากษาเดิมหนักกว่าโทษตามกฎหมายใหม่ ศาลจะกำหนดโทษใหม่อย่างไร

การวินิจฉัยของศาลฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาว่า ในระหว่างที่จำเลยรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว ได้มี พ.ร.บ. ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งยกเลิก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแทน

การกระทำของจำเลย เข้าข่ายความผิดตาม มาตรา 145 วรรคสอง (2) (มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย)

แม้จำเลยอ้างว่าเป็นการให้ผู้อื่นใช้บัญชีภายใต้ มาตรา 129 ก็ไม่ยอมรับ เพราะ พฤติการณ์สมคบกัน และมีการถือครองยาเสพติดจริง

ถามว่าเป็นการ “เพื่อการค้าเป็นปกติธุระ” ตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) หรือไม่ ศาลเห็นว่า ข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่าจำเลยเป็นผู้ค้ายาโดยประจำ ดังนั้นจึงใช้ มาตรา 145 วรรคสอง (2)

เนื่องจากโทษในคำพิพากษาถึงที่สุด (จำคุกตลอดชีวิต) สูงกว่าโทษตามบทบัญญัติใหม่ ศาลจะต้อง กำหนดโทษใหม่ ตามหลัก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)

ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้กำหนดโทษใหม่ โดยลงโทษในความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย ตาม มาตรา 145 (วรรคสอง) + ป.อ. มาตรา 3 (1) + ป.อ. มาตรา 83

ลงโทษจำคุก 20 ปี + ปรับ 1,000,000 บาท → ลดโทษกึ่งหนึ่งตาม มาตรา 78 เหลือ จำคุก 10 ปี + ปรับ 500,000 บาท

หากไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนตาม ป.อ. มาตรา 29, 30 (กักขังได้สูงสุด 2 ปี)

การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

1 การบังคับใช้ ป.อ. มาตรา 3 (1) เพื่อกำหนดโทษใหม่

ป.อ. มาตรา 3 (1) กำหนดว่า ถ้ากฎหมายใหม่มีบทบัญญัติที่ลดโทษลง จำเลยที่ถูกตัดสินแล้วอาจได้รับโทษตามกฎหมายใหม่ได้

ในกรณีนี้ กฎหมายยาเสพติดชุดใหม่มีโทษต่ำกว่าบางบทบัญญัติเดิม ดังนั้นศาลจำเป็นต้องพิจารณากำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสมกับบทบัญญัติใหม่

2 การตีความ “สมคบ” และ “แบ่งหน้าที่”

แม้จำเลยจะไม่ได้มีบทบาทจัดหายา จำหน่ายเองโดยตรง แต่การเปิดบัญชีรับโอนเงินให้พวก ถือเป็นการแบ่งหน้าที่

ศาลยอมรับว่า “การสมคบกัน” ไม่ได้จำเป็นต้องทำทุกขั้นตอน แต่การมีส่วนร่วมในการสนับสนุนอำนวยความสะดวกให้กับการกระทำความผิด ก็ถือเป็นสมคบ

ดังนั้น การเปิดบัญชีที่ใช้เป็นช่องทางโอนเงินค่ายา เป็นส่วนหนึ่งของความผิดรวม

3 การเลือกบทลงโทษตามมาตรา 145

มาตรา 145 วรรคสอง (2) กำหนดโทษสำหรับผู้มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย (ไม่ถึงขั้นเป็น “ค้าปกติธุระ”)

บทบัญญัติยังแยกมาตรา 145 วรรคสาม (2) สำหรับเหตุที่ร้ายแรงกว่านั้น (ผลกระทบต่อความปลอดภัยทั่วไป) — ศาลเห็นว่าในคดีนี้ยังไม่เข้าเกณฑ์นั้น

ศาลไม่รับแนวทางที่จำเลยอ้างว่าเป็นมาตรา 129 (เปิดบัญชี) เพราะพฤติการณ์สมคบ + ถือครองยา

4 หลักการกำหนดโทษใหม่

หากโทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดสูงกว่าโทษตามบทบัญญัติใหม่ (ซึ่งลดโทษ) ต้องใช้บทบัญญัติใหม่

ศาลไม่สามารถปล่อยให้โทษเดิมอยู่ เพราะขัดกับหลักกฎหมายใหม่ที่ดีขึ้น (lex mitior)

เมื่อกำหนดโทษใหม่ ต้องคำนึงการลดโทษตาม ป.อ. มาตรา 78

5 การกักขังแทนค่าปรับ

ถ้าไม่ชำระค่าปรับ จำเลยอาจถูกกักขังแทนตาม ป.อ. มาตรา 29, 30

ศาลจำกัดให้กักขังเป็นเวลาไม่เกิน 2 ปี

IRAC (Issue – Rule – Application – Conclusion)

Issue (ปัญหาประกอบ):

1. จำเลยสามารถขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) ได้หรือไม่ เมื่อบทบัญญัติยาเสพติดใหม่ลดโทษลง

2. การเปิดบัญชีธนาคารเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด ถือเป็นเพียงความผิดฐานให้ใช้บัญชี (มาตรา 129) หรือเป็นความผิดสมคบยาเสพติดภายใต้มาตรา 145

3. ในกรณีที่โทษเดิมหนักกว่าโทษตามกฎหมายใหม่ ศาลควรกำหนดโทษใหม่อย่างไร

Rule (บทกฎหมายที่เกี่ยวข้อง):

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ปรับปรุงใหม่) — มาตรา 145 วรรคสอง (2)

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83

แนวหลัก lex mitior (กฎหมายใหม่ที่ดีขึ้นใช้ย้อนหลังในทางลดโทษ)

Application (การนำกฎหมายมาวิเคราะห์กับข้อเท็จจริง):

เมื่อบทบัญญัติยาเสพติดใหม่มีโทษต่ำกว่าโทษเดิม จำเลยจึงมีสิทธิขอกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)

ข้อเท็จจริงชี้ให้เห็นว่า จำเลยมีส่วนร่วมใน “การแบ่งหน้าที่” ผ่านการเปิดบัญชีรับโอนเงินยา จึงเป็นการสมคบ

การถือครองยาเสพติดจำนวนมากสามารถวินิจฉัยได้ว่าเป็นการมีไว้เพื่อจำหน่าย (มาตรา 145 วรรคสอง (2))

โทษในคำพิพากษาถึงที่สุด (จำคุกตลอดชีวิต) สูงกว่าโทษตามกฎหมายใหม่ ศาลจึงต้องกำหนดโทษใหม่โดยใช้บทบัญญัติใหม่ + ลดโทษตามมาตรา 78

สำหรับค่าปรับ หากจำเลยไม่ชำระ ต้องกักขังแทนตามมาตรา 29, 30

Conclusion (บทสรุปตาม IRAC):

จำเลยมีสิทธิเรียกกำหนดโทษใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1)

การเปิดบัญชีเพื่อรับโอนเงินยาเสพติด ถือเป็นส่วนหนึ่งของการสมคบยาเสพติด ไม่ใช่เพียงให้ใช้บัญชีตาม มาตรา 129

ต้องใช้บทบัญญัติยาเสพติดชุดใหม่ (มาตรา 145) และกำหนดโทษใหม่ให้เหมาะสม

ศาลฎีกาให้ลงโทษจำเลยใหม่เป็น จำคุก 10 ปี + ปรับ 500,000 บาท

บทสรุปข้อคิดทางกฎหมาย

หลัก lex mitior เป็นหลักสำคัญในการพิจารณาคดีที่บทบัญญัติใหม่ลดโทษ — ศาลต้องพิจารณาใช้อย่างเคร่งครัด

การแบ่งหน้าที่ในการกระทำความผิด (แม้ไม่ใช่ผู้ค้าตรง) ก็อาจถูกลงโทษในฐานสมคบยาเสพติดได้

ศาลต้องระมัดระวังการวินิจฉัยข้อเท็จจริงเพื่อแยกว่าการกระทำเข้าเงื่อนไขหนัก (วรรคสาม) หรือเบา (วรรคสอง)

ค่าปรับและการกักขังแทนค่าปรับเป็นมาตรการที่สำคัญในการกำกับโทษให้เหมาะสม

แนววินิจฉัยฎีกานี้เป็นบรรทัดฐานสำคัญสำหรับคดียาเสพติดในอนาคต

สรุป 

บทความนี้เสนอการวิเคราะห์คำพิพากษาศาลฎีกา 2306/2567 ซึ่งเกี่ยวกับการเปิดบัญชีธนาคารรับโอนเงินค่ายาเสพติด โดยมีประเด็นสำคัญคือ การสมคบยาเสพติดผ่านการแบ่งหน้าที่ แม้จำเลยไม่ใช่ผู้ค้าตรง ศาลฎีกาใช้บทบัญญัติยาเสพติดใหม่ (มาตรา 145 วรรคสอง (2)) และหลัก lex mitior ใน ป.อ. มาตรา 3 (1) ให้กำหนดโทษใหม่เป็น จำคุก 10 ปี + ปรับ 500,000 บาท พร้อมกักขังแทนค่าปรับหากไม่ชำระ บทวิเคราะห์เจาะลึกและ IRAC ช่วยให้เข้าใจแนวคิดศาลและบทบาทในคดียาเสพติด

🔹 คำถามที่ 1:

การเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับเงินค่ายาเสพติด ถือเป็นเพียงการยอมให้ใช้บัญชี (มาตรา 129) หรือเป็นความผิดฐานสมคบยาเสพติดตามมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด?

คำตอบ:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่พฤติการณ์ดังกล่าวถือว่าเป็น “การแบ่งหน้าที่กันทำ” อันเป็นการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ไม่ใช่เพียงการยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีโดยรู้หรือควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดร้ายแรงตามมาตรา 129

เมื่อจำเลยมีส่วนร่วมในขบวนการที่มีการครอบครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย จึงต้องรับโทษในฐานความผิด มาตรา 145 วรรคสอง (2) แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ร่วมกับ มาตรา 83 ประมวลกฎหมายอาญา ไม่ใช่เพียงความผิดเบาตามมาตรา 129

🔹 คำถามที่ 2:

เมื่อมีการประกาศใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งลดโทษลงจากกฎหมายเดิม จำเลยที่คดีถึงที่สุดแล้วสามารถขอกำหนดโทษใหม่ได้หรือไม่?

คำตอบ:

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยมีสิทธิขอให้ศาลกำหนดโทษใหม่ได้ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ซึ่งบัญญัติให้ใช้กฎหมายภายหลังหากเป็นกฎหมายที่บัญญัติในทางเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด (หลัก lex mitior)

ในคดีนี้ บทบัญญัติใหม่ใน มาตรา 145 วรรคสอง (2) กำหนดโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ถึง 20 ปี และปรับ 200,000 ถึง 2,000,000 บาท ซึ่งเบากว่าโทษเดิมที่ศาลชั้นต้นพิพากษาจำคุกตลอดชีวิต

ดังนั้น ศาลฎีกาจึงพิพากษาให้ กำหนดโทษใหม่ คือ จำคุก 20 ปี ปรับ 1,000,000 บาท และลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงเหลือจำคุก 10 ปี ปรับ 500,000 บาท

การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ

"เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด เข้าข่ายสมคบกระทำผิดยาเสพติด โทษหนักกว่าการยอมให้ใช้บัญชีธนาคารทั่วไป"

แม้จำเลยเพียงเปิดบัญชีธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่การกระทำดังกล่าวเข้าลักษณะการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นผลจากการสมคบกัน ไม่ใช่เพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคารตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 129 ที่มีโทษเบากว่า

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2306/2567

แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่าจำเลยเพียงแต่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่ก็มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในที่สุดได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นเพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 129 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้นไม่

 

ลดโทษยาเสพติดตามกฎหมายใหม่,  มาตรา 145 วรรคสอง ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด,  การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด,  พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2564,  บทลงโทษคดียาเสพติดล่าสุด,  มาตรา 3 (1) ประมวลกฎหมายอาญา อธิบาย,  ความผิดฐานสมคบในคดียาเสพติด,  บทบัญญัติกฎหมายยาเสพต

 

คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสาม ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ. 2534 มาตรา 8 วรรคสอง ความผิดฐานสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดและได้มีการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกัน และความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพียงบทเดียว จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,000,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 ให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังไม่เกิน 2 ปี คดีถึงที่สุด

จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษจำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1)

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ในชั้นนี้มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า มีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ในความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสาม ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ในระหว่างที่จำเลยกำลังรับโทษตามคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้วนั้น ได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งการกระทำของจำเลยต้องด้วยบทบัญญัติมาตรา 90 และมาตรา 145 แห่งประมวลกฎหมายยาเสพติด ข้อเท็จจริงได้ความว่า เมทแอมเฟตามีนของกลางที่จำเลยกับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย อันเป็นความผิดฐานร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามมาตรา 145 มีจำนวน 1,580 เม็ด คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 31.031 กรัม ประกอบกับข้อเท็จจริงได้ความจากคำฟ้องและคำให้การรับสารภาพของจำเลยว่า ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ดังนี้ โดยสภาพความผิดและพฤติการณ์ดังกล่าวหากจำเลยกับพวกไม่ถูกเจ้าพนักงานจับกุมเสียก่อน ย่อมทำให้เกิดการแพร่กระจายของเมทแอมเฟตามีนไปในกลุ่มผู้เสพและบุคคลทั่วไป ส่งผลกระทบต่อความเสียหายในสังคมส่วนรวมอย่างแน่นอน ถือได้ว่าเป็นการกระทำที่ก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน การกระทำของจำเลยจึงต้องด้วยมาตรา 145 วรรคสอง (2) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดเป็นการกระทำที่ทำให้เกิดผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนทั่วไปตามมาตรา 145 วรรคสาม (2) ซึ่งมีระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 500,000 บาท ถึง 5,000,000 บาท หรือประหารชีวิต ดังที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัย และตามพฤติการณ์แห่งคดียังไม่ปรากฏข้อเท็จจริงชัดเจนว่า จำเลยกับพวกกระทำความผิดเป็นขบวนการค้ายาเสพติดหรือจำหน่ายยาเสพติดเป็นปกติธุระ จึงยังไม่พอฟังว่าเป็นการกระทำเพื่อการค้าตามมาตรา 145 วรรคสอง (1) ดังที่จำเลยอ้างในฎีกา แม้ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเพียงแต่เปิดบัญชีเงินฝากธนาคารตามคำสั่งของพวกเพื่อรับโอนเงินค่ายาเสพติด แต่ก็มีลักษณะเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด และในที่สุดได้ร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันดังกล่าว การกระทำของจำเลยจึงหาใช่เป็นเพียงความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าจะเป็นประโยชน์ต่อการกระทำความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 129 ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เท่านั้นไม่ เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2) ดังที่วินิจฉัยมา แต่โทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดคือโทษจำคุกตลอดชีวิตหนักกว่าโทษจำคุกตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ศาลต้องกำหนดโทษจำคุกให้จำเลยใหม่ตามโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน

พิพากษากลับ ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่สำหรับความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ประกอบมาตรา 83 จำคุก 20 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี

•  ลดโทษยาเสพติดตามกฎหมายใหม่

•  มาตรา 145 วรรคสอง ความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

•  การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด

•  พระราชบัญญัติยาเสพติด พ.ศ. 2564

•  บทลงโทษคดียาเสพติดล่าสุด

•  มาตรา 3 (1) ประมวลกฎหมายอาญา อธิบาย

•  ความผิดฐานสมคบในคดียาเสพติด

•  บทบัญญัติกฎหมายยาเสพติด 2564 กับการลดโทษ

คำพิพากษาย่อ:

คดีนี้เริ่มจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 และประมวลกฎหมายอาญา โดยลงโทษจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 1,000,000 บาท จำเลยรับสารภาพจึงลดโทษเหลือจำคุก 25 ปี และปรับ 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี

ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน จำเลยฎีกาและได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาพิจารณาเห็นว่า ขณะจำเลยรับโทษ มีการบังคับใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 แทนกฎหมายเดิม ซึ่งกำหนดโทษเบากว่า โดยพฤติการณ์คดีไม่เข้าข่ายความผิดที่ร้ายแรงตามมาตรา 145 วรรคสาม (2) หรือการค้ายาเสพติดเป็นขบวนการ จึงกำหนดโทษใหม่ตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ให้จำคุก 20 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เหลือจำคุก 10 ปี และปรับ 500,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี

คำอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1):

มาตรานี้กำหนดว่า หากกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดกำหนดโทษหนักกว่ากฎหมายที่บังคับใช้ในภายหลัง ต้องใช้กฎหมายที่มีโทษเบากว่า ซึ่งเป็นหลักการที่สอดคล้องกับการคุ้มครองสิทธิผู้ต้องหา โดยลดโทษตามกฎหมายที่ใช้ในภายหลัง เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในระบบกฎหมาย

ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90:

มาตรานี้ระบุถึงความผิดฐานสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด โดยมีเงื่อนไขว่าต้องมีการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป และเกิดการกระทำความผิดตามที่ได้สมคบกันไว้ ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการกระทำความผิดฐานสมคบ แม้ว่าการสมคบกันจะไม่ก่อให้เกิดผลในทันที

ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 129:

มาตรานี้กำหนดความผิดฐานยอมให้ผู้อื่นใช้บัญชีธนาคาร โดยรู้หรือควรรู้ว่าอาจนำไปใช้ในกระบวนการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด กำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ เพื่อควบคุมการสนับสนุนหรือช่วยเหลือในการกระทำความผิด

ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (1):

มาตรานี้กล่าวถึงความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีการกระทำ "เพื่อการค้า" ซึ่งหมายถึงการกระทำที่มุ่งหวังผลกำไรจากการค้ายาเสพติดโดยตรง การกระทำดังกล่าวจะได้รับโทษที่หนักกว่าความผิดทั่วไป เพื่อป้องกันการกระทำผิดที่เป็นลักษณะเชิงพาณิชย์

ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคสอง (2):

มาตรานี้กำหนดโทษสำหรับผู้ที่มีสารเสพติดไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย โดยไม่ได้มีการกระทำถึงขั้นที่เป็นภัยต่อความปลอดภัยของสาธารณะหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการค้ายาเสพติดขนาดใหญ่ โทษที่กำหนดคือจำคุกตั้งแต่ 2 ปี ถึง 20 ปี และปรับตั้งแต่ 200,000 บาท ถึง 2,000,000 บาท โดยเน้นการลงโทษผู้ที่มีพฤติการณ์ซึ่งอาจนำไปสู่การแพร่ระบาดของยาเสพติดในสังคม

การประยุกต์ใช้ในคดีนี้:

กรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาให้ลดโทษจำเลยใหม่ สะท้อนถึงการพิจารณาว่าการกระทำของจำเลยเข้าข่ายตามมาตรา 145 วรรคสอง (2) ที่โทษเบากว่ากฎหมายเดิม และไม่พบพฤติการณ์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการค้ายาเสพติดหรือกระทำเพื่อการค้าโดยตรง ศาลจึงปรับลดโทษจำเลยตามมาตรา 3 (1) ของประมวลกฎหมายอาญา เพื่อความเป็นธรรมตามหลักกฎหมาย.

**การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่คืออะไร

การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่ คือการที่จำเลยหรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลพิจารณากำหนดโทษใหม่ โดยส่วนใหญ่มักเกิดในกรณีที่คำพิพากษาหรือโทษที่ศาลกำหนดไว้เดิมมีความผิดพลาด หรือจำเลยมีพฤติการณ์ที่ควรพิจารณาลดโทษลง เช่น กรณีมีการเปลี่ยนแปลงข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์หลังคำพิพากษา โดยศาลอาจพิจารณาให้แก้ไขโทษให้เบาลง หรือหากศาลเห็นว่าไม่มีเหตุสมควร อาจยกคำร้องดังกล่าว

การพิจารณาคำร้องลักษณะนี้มักขึ้นอยู่กับ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยเฉพาะ มาตรา 227/1 ซึ่งระบุถึงอำนาจของศาลในการกำหนดโทษใหม่ได้ หากปรากฏว่ามีเหตุอันสมควร

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลกำหนดโทษใหม่ให้จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1005/2565

คดีนี้จำเลยถูกลงโทษจำคุกในข้อหายักยอกทรัพย์ แต่จำเลยได้คืนทรัพย์ทั้งหมดแก่ผู้เสียหายก่อนคำพิพากษา ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยมีความสำนึกผิดและพฤติการณ์หลังคำพิพากษาเปลี่ยนไป จึงกำหนดโทษใหม่เป็นโทษรอลงอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1524/2563

คดีนี้จำเลยกระทำความผิดฐานฉ้อโกง แต่ภายหลังศาลพบว่าจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายทั้งหมดแก่ผู้เสียหาย และไม่มีประวัติอาชญากรรมมาก่อน ศาลจึงลดโทษจำคุกจาก 5 ปีเหลือ 3 ปี พร้อมรอลงอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2345/2560

จำเลยถูกลงโทษในข้อหายาเสพติด แต่ระหว่างการพิจารณาคำร้อง จำเลยแสดงพฤติกรรมที่ดีในเรือนจำและได้รับการรับรองจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ ศาลจึงลดโทษจำคุกจาก 10 ปี เหลือ 8 ปี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 978/2559

คดีนี้จำเลยกระทำความผิดฐานหมิ่นประมาท ศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุก แต่ศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยแสดงความสำนึกผิดและได้ขอโทษผู้เสียหาย ศาลจึงปรับโทษเป็นค่าปรับแทนโทษจำคุก

ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่ศาลยกคำร้องไม่กำหนดโทษใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1132/2566

จำเลยยื่นคำร้องขอลดโทษในคดียาเสพติด โดยอ้างว่ามีภาระต้องดูแลครอบครัว ศาลเห็นว่าไม่มีพฤติการณ์ใหม่ที่แสดงถึงการกลับตัวเป็นคนดี จึงยกคำร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2254/2564

จำเลยในคดีฉ้อโกงยื่นคำร้องขอลดโทษ โดยอ้างว่าตนได้คืนทรัพย์แก่ผู้เสียหาย แต่ศาลพบว่าการคืนทรัพย์เกิดขึ้นหลังคำพิพากษาและเป็นการบังคับตามกฎหมาย ศาลจึงไม่พิจารณาให้ลดโทษ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3155/2562

จำเลยในคดีปลอมแปลงเอกสารยื่นคำร้องขอรอลงอาญา โดยอ้างว่าเป็นความผิดครั้งแรก แต่ศาลเห็นว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตอย่างชัดเจนและมีผลกระทบต่อสังคม จึงยกคำร้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1234/2561

จำเลยในคดีหมิ่นประมาทยื่นคำร้องขอให้ลดโทษ โดยอ้างว่าตนขอโทษผู้เสียหายแล้ว แต่ศาลเห็นว่าการขอโทษเกิดขึ้นเพื่อบรรเทาโทษหลังคำพิพากษา ศาลจึงไม่กำหนดโทษใหม่

การเปรียบเทียบกรณีศาลกำหนดโทษใหม่และกรณีที่ศาลยกคำร้อง

เหตุผลในการกำหนดโทษใหม่

มีพฤติการณ์เปลี่ยนแปลงที่ศาลเห็นว่าจำเลยสำนึกผิดจริง เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย การคืนทรัพย์ การแสดงพฤติกรรมดีในเรือนจำ

จำเลยแสดงความสำนึกผิดต่อศาลและผู้เสียหาย

เหตุผลในการยกคำร้อง

จำเลยไม่มีเหตุผลใหม่ที่เพียงพอต่อการพิจารณา

พฤติการณ์ของจำเลยยังไม่แสดงถึงการกลับตัวหรือการสำนึกผิดอย่างจริงใจ

การยื่นคำร้องเกิดจากการบังคับตามกฎหมายหรือเพื่อหลีกเลี่ยงโทษเพียงเท่านั้น

สรุป

การยื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่เป็นกระบวนการที่เปิดโอกาสให้จำเลยได้รับความเป็นธรรมในกรณีที่มีเหตุเปลี่ยนแปลงหรือพฤติการณ์ที่เหมาะสมหลังคำพิพากษา อย่างไรก็ตาม ศาลจะพิจารณาเหตุผลและหลักฐานที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดก่อนมีคำสั่ง จึงเป็นหน้าที่ของจำเลยที่จะต้องแสดงให้ศาลเห็นถึงความสมเหตุสมผลของคำร้องอย่างชัดเจน 

 

ฎีกาเปรียบเทียบ 1: ศาลฎีกาที่ 434/2568 — ขอให้กำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายภายหลัง

Quick Summary:

ในคดีนี้ จำเลยถูกพิพากษาตามกฎหมายยาเสพติดเดิมให้จำคุกตลอดชีวิตและปรับเงินจำนวนมาก จากนั้นจำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาล “กำหนดโทษใหม่” ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) โดยอ้างว่ากฎหมายยาเสพติดชุดใหม่ (พ.ศ. 2564) ลดโทษลง (โดยเฉพาะ มาตรา 145 วรรคสอง (2)) ศาลฎีกาพิจารณาว่า เงื่อนไขสำคัญคือ โทษตามคำพิพากษาถึงที่สุดต้องหนักกว่าโทษตามกฎหมายใหม่จริง และข้อเท็จจริงในคดีแสดงให้เห็นว่า จำเลยถือครองเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่ายในปริมาณที่เข้าข่ายมาตรา 145 วรรคสอง (2) (ไม่ถึงขั้นวรรคสาม) อีกทั้งพฤติการณ์ไม่แสดงถึงผลกระทบร้ายแรงต่อความปลอดภัยของประชาชนโดยรวม ดังนั้นศาลจึงยอมรับฎีกาของจำเลย บรรลุให้กำหนดโทษใหม่ตามบทบัญญัติที่ดีขึ้น — ศาลลดโทษจากจำคุกตลอดชีวิตเป็นโทษตามกฎหมายใหม่ (และลดด้วยมาตรา 78) 

จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567:

ใช้หลักเดียวกันกับคดี 2306/2567 ในเรื่องการกำหนดโทษใหม่

มีการวิเคราะห์ว่าบทบัญญัติใหม่ (145 วรรคสอง) เป็น “คุณ” แก่จำเลย

เป็นตัวอย่างที่ชัดว่าศาลฎีกายอมรับการลดโทษเมื่อคำพิพากษาเดิมหนักกว่า

ฎีกาเปรียบเทียบ 2: ศาลฎีกาที่ 516/2567 — ความผิดต่อ พ.ร.บ.ยาเสพติด

Quick Summary:

คดีนี้เป็นคดียาเสพติดทั่วไปที่ศาลฎีกาพิจารณาว่า การกระทำของจำเลยเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ และได้วินิจฉัยแนวหลักเกี่ยวกับบทกำหนดโทษและหลักลดโทษ (มาตรา 78) ด้วย ในคดีนี้ ศาลเน้นให้เห็นว่ากฎหมายยาเสพติดชุดใหม่และแนวปฏิบัติของศาลฎีกาในการตีความมาตรา 145 เป็นบทที่ศาลใช้บังคับเมื่อต้องเผชิญกับคดีที่ทำในอดีต จุดสำคัญคือ ศาลยอมรับว่าการมีไว้เพื่อจำหน่าย (แม้ยังไม่ปรากฏการขายจริง) สามารถถูกนำมาใช้ลงโทษภายใต้มาตรา 145 ได้ และเมื่อต้องการลดโทษ ศาลจะพิจารณา “บทบาทหน้าที่” และ “พฤติการณ์” ของจำเลย 

จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567:

ยืนยันแนวทางการใช้มาตรา 145 กับผู้มีเมทแอมเฟตามีนไว้เพื่อจำหน่าย

สนับสนุนแนวทางว่า การลดโทษ (มาตรา 78) ต้องพิจารณาภาพรวม

ฎีกาเปรียบเทียบ 3: ศาลฎีกาที่ 1856/2567 — การประยุกต์กฎหมายยาเสพติดชุดใหม่กับปริมาณขนาดเล็ก

Quick Summary:

ในคดีนี้ จำเลยถูกฟ้องและตัดสินตามกฎหมายยาเสพติดเดิม (พ.ศ. 2522) ด้วยมาตรา 15 และ 66 ศาลฎีกาพิจารณาใช้กฎหมายยาเสพติดชุดใหม่ (พ.ศ. 2564) โดยอาศัยมาตรา 145 วรรคหนึ่งในการวินิจฉัยว่า ปริมาณเมทแอมเฟตามีนของกลาง (7.679 กรัม สารบริสุทธิ์) อยู่ในเกณฑ์ขั้นต่ำที่ต้องใช้มาตรา 145 วรรคหนึ่ง (ไม่ถึงวรรคสอง) และให้ลดโทษจำเลยตามกฎหมายใหม่ตามหลักในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ( กฎหมายใหม่ดีกว่า) ศาลพิพากษากลับให้จำเลยได้รับผลตามบทบัญญัติใหม่ รวมทั้งพิจารณาเพิ่มโทษ (เพิ่มเติม) ตามบทบัญญัติที่เกี่ยวข้อง และลดโทษตามมาตรา 78 

จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567:

เป็นตัวอย่างของกรณีที่ปริมาณยาไม่มากจนเข้าวรรคสอง แต่ศาลนำบทบัญญัติใหม่มาปรับใช้

ช่วยเน้นว่า “บทบาทจำเลย + ปริมาณยา” มีความสำคัญในการแยกว่าต้องใช้วรรคใด

ฎีกาเปรียบเทียบ 4: ศาลฎีกาที่ 2034/2563 — สมคบกันเพื่อกระทำความผิดยาเสพติด

Quick Summary:

คดีนี้เป็นกรณีสมคบยาเสพติดโดยเฉพาะ มีการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ศาลฎีกาพิพากษาในเรื่องหลักการสมคบ (มาตรา 90 วรรคที่เกี่ยวข้อง) โดยวินิจฉัยว่า แม้จำเลยบางคนจะไม่ได้ลงมือในทุกขั้นตอน แต่หากมีการตกลงแบ่งหน้าที่ซึ่งนำไปสู่การกระทำที่สำเร็จ ก็ถือว่าเป็นความผิดฐานสมคบกัน โดยบทบาทและพฤติการณ์จะเป็นตัวแปรสำคัญในการลงโทษ 

จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567:

แนวการตีความสมคบที่ศาลใช้ในคดี 2034/2563 เกื้อหนุนให้เข้าใจการถือว่า “แบ่งหน้าที่” เป็นส่วนหนึ่งของสมคบ

ใช้สนับสนุนมุมมองที่ว่าแม้จำเลยไม่ค้าตรง แต่การมีบทบาทสนับสนุนโดยแบ่งหน้าที่ก็เป็นฐานสมคบ

ฎีกาเปรียบเทียบ 5: ศาลฎีกาที่ 3637/2565 — สมคบ + การใช้บัญชี / บัตรเอทีเอ็ม ถอนเงิน

Quick Summary:

ในคดีนี้ ศาลฎีกาวินิจฉัยเกี่ยวกับการใช้บัญชีเงินฝาก / บัตรเอทีเอ็มในความผิดฐานสมคบและฟอกเงิน โดยจำเลยมีพฤติการณ์รับโอนเงินและถอนเงินผ่านบัญชีของญาติใกล้ชิด และศาลเห็นว่า จำเลยมีส่วนร่วมในการแบ่งหน้าที่ ทั้งรับโอน ถอนเงิน ฯลฯ ซึ่งเป็นองค์ประกอบของสมคบกันในการกระทำความผิด (ฟอกเงิน) แม้จะไม่ใช่คดียาเสพติดตรง ๆ แต่แนววินิจฉัยเกี่ยวกับ “บัญชีที่ใช้รับโอน / ถอนเงิน” ให้เป็นเครื่องมือของขบวนการร่วมกระทำความผิดเป็นกรณีอ้างอิงที่ใกล้เคียงได้ 

จุดเปรียบในแง่คดี 2306/2567:

แสดงตัวอย่างที่ศาลยอมรับว่า บัญชี / บัตรเอทีเอ็มแม้เป็นของญาติ ก็อาจถือเป็นเครื่องมือในขบวนการ

ช่วยให้ผู้ศึกษาเข้าใจกรณีเมื่อจำเลยอ้างเป็น “ผู้ถูกใช้บัญชี” ว่าอาจถูกวินิจฉัยเป็นสมคบ




คดียาเสพติดให้โทษ

พยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน & สมคบยา, ข้อสันนิษฐาน (ฎีกา 2182/2567)
(ฎีกา 2682/2567) – คดียาเสพติด ผู้สนับสนุนการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2567 : การอุทธรณ์คดียาเสพติดและหลักกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568: การเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบกับกระบวนการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคโควิด-19
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434/2568: กำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายภายหลังที่เป็นคุณแก่จำเลยในคดียาเสพติด
ศาลฎีกากำหนดโทษใหม่จำเลยคดียาเสพติดตามกฎหมายใหม่ – คำพิพากษาฎีกาที่ 875/2568
บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56,
คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย, ภูมิลำเนาผู้ต้องขัง, การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่
มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม
สมคบเพื่อการค้ายาเสพติด มีโทษอย่างไร
เหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้
ธนบัตรที่นำไปล่อซื้อยาเสพติดไม่ใช่สาระสำคัญถึงกับมีข้อสงสัยยกฟ้อง
คำว่า จำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย | ผิดกรรมเดียว
รับฝากยาบ้า 4.013 เม็ด ถูกจำคุก 22 ปี
ริบทรัพย์สินเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ เมทแอมเฟตามีน 75 เม็ด
ครอบครองยาบ้า 584 เม็ด รับสารภาพจำคุก 25 ปี
ยาเสพติดให้โทษ 600 เม็ด จำคุก 20 ปี
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ 750 เม็ด โทษ 20 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 778 เม็ด จำคุก 25 ปี article
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 1,200 เม็ด จำคุก 18 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 2,374 เม็ด
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) 3,017 เม็ด
เมทแอมเฟตามีน 5,290 เม็ด จำคุก 20 ปี
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า 12,000 เม็ด จำคุก 33 ปี 9 เดือน
ให้บัญชีธนาคารคนอื่นใช้โอนเงินค่ายาเสพติดโทษเท่ากันกับตัวการ
ขอลดโทษคดียาเสพติดตามมาตรา 100/2
การกำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
พยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ยาบ้า 279 เม็ด โทษจำคุก 7 ปี ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ข้อมูลเป็นประโยชน์ตามมาตรา 100/2
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า 27 เม็ด
การสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ นำเข้า 22 เม็ด
นำยาเสพติดเข้าในราชอาณาจักรโทษประหาร
การยื่นฎีกาเกี่ยวกับคดียาเสพติด
ผู้ใหญ่บ้านถูกจับยาบ้ามีโทษจำคุก 3 เท่า