

คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย, ภูมิลำเนาผู้ต้องขัง, การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจำเลยจึงเป็นผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปยังที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานี หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น เป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ โดยศาลชั้นต้นส่งหมายไปที่อยู่ตามฟ้อง ทั้งที่จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และ 200 กำหนดให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายแก้ภายใน 15 วัน มาตรา 201 กำหนดให้ส่งสำนวนต่อศาลอุทธรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบหรือหลบหนี ในกรณีนี้ เรือนจำกลางอุดรธานีถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ที่บัญญัติว่าภูมิลำเนาของผู้ต้องขังคือเรือนจำที่ถูกคุมขังอยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว การส่งสำเนาอุทธรณ์ไปที่อยู่ตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายผิดที่ การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ที่ดำเนินต่อไปโดยไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ ถือว่าไม่ชอบด้วยมาตรา 201 และขัดกับหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม คำพิพากษา ศาลฎีกายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังเรือนจำกลางอุดรธานี เพื่อให้จำเลยแก้ไขคำอุทธรณ์ก่อนส่งสำนวนกลับศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาใหม่. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2567 โจทก์ฟ้องว่าจำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี 10 เดือน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 ของศาลจังหวัดเลย จำเลยจึงเป็นผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีดังกล่าวอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกในคดีดังกล่าว ไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปยังที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 ที่บัญญัติว่า ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายได้แก่เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานี หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 200 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 4 ปี และปรับ 300,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นลงโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ไม่เคยได้รับสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเจ้าพนักงานส่งหมายไปที่ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ ทำให้จำเลยเสียสิทธิในการทำคำแก้อุทธรณ์ตามกฎหมาย เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 บัญญัติว่า การยื่นอุทธรณ์ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น มาตรา 200 บัญญัติว่า ให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ และ มาตรา 201 บัญญัติว่า เมื่อศาลส่งสำเนาอุทธรณ์แก่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ หรือได้รับแก้อุทธรณ์แล้ว หรือพ้นกำหนดแก้อุทธรณ์แล้ว ให้ศาลรีบส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และในวันเดียวกันศาลชั้นต้นได้ออกหมายปล่อยจำเลยโดยระบุหมายเหตุ ว่า "ปล่อยเฉพาะคดีนี้"โจทก์ได้ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 คดีนี้จึงยังไม่ถึงที่สุด ภูมิลำเนาของจำเลยจึงถือตามฟ้องของโจทก์ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2559 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 6 ปี 10 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 ของศาลจังหวัดเลย จำเลยได้รับอนุมัติพักการลงโทษโดยจะพ้นโทษในคดีดังกล่าววันที่ 24 ตุลาคม 2564 ระหว่างพักการลงโทษจำเลยกลับมากระทำความผิดอีกขอให้เพิ่มโทษ ประกอบกับหนังสือสำคัญการพักโทษ จำเลยได้พักการลงโทษเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 แต่จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 และตามหนังสือเรือนจำกลางอุดรธานี เลขที่ 3016/2564 ออกให้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ว่า จำเลยถูกตัดสินจำคุก 581 วัน เริ่มจำคุกตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 บัดนี้จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกา (ลดโทษ ปล่อยตัว) พ.ศ. 2564 มาตรา 9, 7 ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ดังนั้น จำเลยจึงเป็นผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลในคดีดังกล่าวอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกในคดีดังกล่าว มิใช่ที่อยู่ตามฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปที่บ้านเลขที่ 227 อันเป็นที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ที่บัญญัติว่า "ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว" ดังนั้น จึงมิใช่กรณีส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ ที่ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาได้เลย โดยไม่ต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 เมื่อการส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้นั้นเกิดจากความบกพร่องเนื่องจากการส่งหมายไม่ตรงตามภูมิลำเนาของจำเลยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือจำเลยหลบหนี การส่งสำเนาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 201 ดังกล่าว ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานีอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงเวลานั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ของจำเลยตามคำฟ้อง แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ปิดหมายก็เป็นคำสั่งที่เกินเลยไม่เป็นผลให้การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้เป็นไปโดยชอบ และถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์โดยวิธีปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในเรื่องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี • ภูมิลำเนาผู้ต้องขังตามกฎหมาย • การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่ • ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 • ข้อบกพร่องกระบวนการพิจารณาคดีอุทธรณ์ • คดียาเสพติด พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด 2550 • ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ • สิทธิผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังในเรือนจำ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2567 (ย่อ) โจทก์ฟ้องว่าจำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 6 ปี 10 เดือนตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 และถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ซึ่งถือเป็นภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 แต่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ทำให้จำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ส่งผลให้จำเลยเสียสิทธิในการแก้อุทธรณ์ ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด จำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับ แต่ไม่เกิน 2 ปี จำเลยฎีกา โดยอ้างว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบ เนื่องจากไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ไปยังที่อยู่ตามฟ้อง โดยไม่ส่งไปที่เรือนจำกลางอุดรธานีซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงเวลานั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200, 201 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 คำสั่งปิดหมายที่อยู่ตามฟ้องไม่ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยไม่ได้หนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ที่พิจารณาคดีโดยไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ก่อน จึงดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบ ศาลฎีกาพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ตามกฎหมาย แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่. อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 มาตรา 47 กำหนดว่า ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว •หลักการนี้มีความสำคัญในการระบุที่อยู่หรือภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุก ซึ่งส่งผลต่อการส่งเอกสารหรือการดำเนินคดีทางกฎหมาย เช่น การส่งหมายนัดหรือสำเนาอุทธรณ์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องส่งเอกสารไปยังเรือนจำเพื่อให้ถือว่าได้ส่งถึงผู้ต้องหาโดยชอบด้วยกฎหมาย 2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 มาตรา 200 กำหนดว่า เมื่อมีการยื่นอุทธรณ์ ศาลต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ •วัตถุประสงค์คือเพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความ โดยเปิดโอกาสให้คู่ความได้รับสำเนาอุทธรณ์และมีเวลาเพียงพอในการจัดทำคำแก้ ดังนั้น หากศาลไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนนี้ อาจถือว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบ 3. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 มาตรา 3 ระบุว่า ในคดียาเสพติด ให้ใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น •หมายความว่ากระบวนพิจารณาคดียาเสพติดยังต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น การส่งสำเนาอุทธรณ์และการแก้คำอุทธรณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องหาได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม ความสัมพันธ์กับคดีนี้ 1.ภูมิลำเนาตามมาตรา 47 ในกรณีนี้ จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ซึ่งถือเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมาย ศาลจึงควรส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังเรือนจำ ไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง 2.การส่งสำเนาอุทธรณ์ตามมาตรา 200 ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังที่อยู่ตามฟ้องแทนที่จะส่งไปยังภูมิลำเนาในเรือนจำ ทำให้จำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์และเสียสิทธิในการแก้คำอุทธรณ์ 3.การพิจารณาคดีที่ไม่ชอบตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด เมื่อกระบวนการพิจารณาในศาลอุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 200 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ย่อมขัดต่อหลักการพิจารณาที่เป็นธรรมในคดียาเสพติด ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้แก้ไขกระบวนพิจารณา สรุป หลักกฎหมายทั้งสามนี้ช่วยคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม รวมถึงกำหนดให้ภูมิลำเนาของผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังเป็นเรือนจำ เพื่อป้องกันการเสียสิทธิจากการส่งเอกสารผิดที่ หากศาลละเลยขั้นตอนตามกฎหมาย เช่น การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดภูมิลำเนา กระบวนการพิจารณาจะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอาจต้องแก้ไขกระบวนการพิจารณาใหม่ ****ภูมิลำเนาคืออะไร และภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลคืออะไร 1. ความหมายของภูมิลำเนา ภูมิลำเนาในกฎหมายไทยหมายถึง ที่อยู่ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นที่ติดต่อหรือดำเนินการทางกฎหมาย ของบุคคลหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจไม่ใช่ที่อยู่ที่บุคคลนั้นพำนักอาศัยจริงในปัจจุบัน โดยหลักเกณฑ์ว่าด้วยภูมิลำเนาถูกกำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 ถึงมาตรา 50 ตัวอย่างของภูมิลำเนาตามกฎหมาย ได้แก่: •สถานที่พำนักประจำของบุคคล •สำนักงานใหญ่ของนิติบุคคล •สำหรับบุคคลที่ไม่มีที่อยู่ชัดเจน อาจใช้สถานที่ที่พวกเขามักติดต่อหรือปรากฏตัวเป็นภูมิลำเนา 2. ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล กรณีที่บุคคลถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด ภูมิลำเนาของบุคคลนั้นจะเปลี่ยนไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ซึ่งบัญญัติว่า: “ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว” หลักเกณฑ์นี้มีความสำคัญเพื่อให้การดำเนินคดี การส่งเอกสาร หรือการติดต่อทางกฎหมายกับผู้ต้องขังเป็นไปอย่างถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย 3. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2567 ในกรณีนี้ จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังที่อยู่ตามฟ้องแทนที่เรือนจำ ทำให้กระบวนพิจารณาไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเรือนจำถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามมาตรา 47 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3165/2553 ในกรณีที่จำเลยถูกจำคุก ศาลต้องส่งเอกสารหรือหมายเรียกไปยังเรือนจำเพื่อให้ถือว่าเป็นการส่งเอกสารที่ชอบด้วยกฎหมาย หากส่งไปที่อยู่เดิมของจำเลย จะถือว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบ 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158/2552 โจทก์ส่งหมายไปยังที่อยู่เดิมของจำเลย ทั้งที่จำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ กระบวนการส่งหมายไม่ถูกต้อง ทำให้จำเลยเสียสิทธิในการโต้แย้ง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากระบวนการพิจารณาไม่ชอบ 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7118/2545 กรณีผู้ต้องขังที่ได้รับการพักโทษและอาศัยอยู่นอกเรือนจำ ช่วงที่ได้รับการพักโทษนั้นยังถือว่าภูมิลำเนาของเขาอยู่ในเรือนจำตามมาตรา 47 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2544 ศาลวินิจฉัยว่าผู้ที่ถูกคุมขังต้องถือว่าภูมิลำเนาอยู่ในเรือนจำ ไม่สามารถถือว่าภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหรือที่อยู่ตามบัตรประชาชนได้ 6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2529 ในกรณีที่มีการฟ้องผู้ต้องขังและศาลชั้นต้นส่งหมายไปยังที่อยู่ตามบัตรประชาชนของผู้ต้องขัง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเรือนจำเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมายในช่วงเวลาที่ถูกคุมขัง 4. ข้อสังเกตสำคัญ •ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกจะถูกกำหนดโดยสถานที่คุมขังจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว •หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ส่งเอกสารหรือหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาที่ถูกต้อง (เช่น เรือนจำ) อาจทำให้กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย •กรณีดังกล่าวมีผลต่อสิทธิในการแก้ต่างคดีของจำเลย และอาจทำให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้แก้ไขกระบวนการพิจารณา 5. สรุป หลักเกณฑ์ว่าด้วยภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกมีวัตถุประสงค์เพื่อความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี การไม่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายอาจส่งผลให้กระบวนการพิจารณาถูกยกเลิกและต้องแก้ไขใหม่ การศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เข้าใจหลักกฎหมายและการบังคับใช้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น.
|