ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย, ภูมิลำเนาผู้ต้องขัง, การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่

 ท นาย อาสา ฟรี

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ 

คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย 

จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจำเลยจึงเป็นผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปยังที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานี หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น เป็นการไม่ชอบ

ศาลฎีกาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์ไม่ชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ โดยศาลชั้นต้นส่งหมายไปที่อยู่ตามฟ้อง ทั้งที่จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี

ตามกฎหมาย

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และ 200 กำหนดให้ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายแก้ภายใน 15 วัน

มาตรา 201 กำหนดให้ส่งสำนวนต่อศาลอุทธรณ์ได้ ก็ต่อเมื่อส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบหรือหลบหนี

ในกรณีนี้ เรือนจำกลางอุดรธานีถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลย ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ที่บัญญัติว่าภูมิลำเนาของผู้ต้องขังคือเรือนจำที่ถูกคุมขังอยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว การส่งสำเนาอุทธรณ์ไปที่อยู่ตามฟ้องจึงไม่ถูกต้อง

เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายผิดที่ การพิจารณาของศาลอุทธรณ์ที่ดำเนินต่อไปโดยไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ ถือว่าไม่ชอบด้วยมาตรา 201 และขัดกับหลักการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม

คำพิพากษา

ศาลฎีกายกคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังเรือนจำกลางอุดรธานี เพื่อให้จำเลยแก้ไขคำอุทธรณ์ก่อนส่งสำนวนกลับศาลอุทธรณ์เพื่อพิจารณาใหม่.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2567

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ลงโทษจำคุก 6 ปี 10 เดือน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 ของศาลจังหวัดเลย จำเลยจึงเป็นผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดในคดีดังกล่าวอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกในคดีดังกล่าว ไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปยังที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลยตาม ป.พ.พ. มาตรา 47 ที่บัญญัติว่า ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมายได้แก่เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานี หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น เป็นการไม่ชอบด้วย ป.วิ.อ. มาตรา 200 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 และเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมาย

จำเลยให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคสอง (2) ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 จำคุก 4 ปี และปรับ 300,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นลงโทษจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กระบวนพิจารณาของศาลอุทธรณ์เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาว่า ไม่เคยได้รับสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพราะเจ้าพนักงานส่งหมายไปที่ภูมิลำเนาของจำเลยตามฟ้องทั้ง ๆ ที่จำเลยถูกจำคุกอยู่ในเรือนจำ ทำให้จำเลยเสียสิทธิในการทำคำแก้อุทธรณ์ตามกฎหมาย เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 บัญญัติว่า การยื่นอุทธรณ์ให้ยื่นต่อศาลชั้นต้น มาตรา 200 บัญญัติว่า ให้ศาลส่งสำเนาอุทธรณ์ให้แก่อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายในกำหนดสิบห้าวันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ และ มาตรา 201 บัญญัติว่า เมื่อศาลส่งสำเนาอุทธรณ์แก่อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ หรือได้รับแก้อุทธรณ์แล้ว หรือพ้นกำหนดแก้อุทธรณ์แล้ว ให้ศาลรีบส่งสำนวนไปยังศาลอุทธรณ์เพื่อทำการพิจารณาพิพากษาต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 และในวันเดียวกันศาลชั้นต้นได้ออกหมายปล่อยจำเลยโดยระบุหมายเหตุ ว่า "ปล่อยเฉพาะคดีนี้"โจทก์ได้ขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ ถึงวันที่ 24 พฤษภาคม 2564 คดีนี้จึงยังไม่ถึงที่สุด ภูมิลำเนาของจำเลยจึงถือตามฟ้องของโจทก์ แต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องว่า เมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2559 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 6 ปี 10 เดือน ฐานร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 ของศาลจังหวัดเลย จำเลยได้รับอนุมัติพักการลงโทษโดยจะพ้นโทษในคดีดังกล่าววันที่ 24 ตุลาคม 2564 ระหว่างพักการลงโทษจำเลยกลับมากระทำความผิดอีกขอให้เพิ่มโทษ ประกอบกับหนังสือสำคัญการพักโทษ จำเลยได้พักการลงโทษเมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2562 แต่จำเลยมากระทำความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2563 และตามหนังสือเรือนจำกลางอุดรธานี เลขที่ 3016/2564 ออกให้เมื่อวันที่ 11 มกราคม 2565 ว่า จำเลยถูกตัดสินจำคุก 581 วัน เริ่มจำคุกตั้งแต่วันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ตามหมายจำคุกเมื่อคดีถึงที่สุด คดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 บัดนี้จำเลยได้รับพระราชทานอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกา (ลดโทษ ปล่อยตัว) พ.ศ. 2564 มาตรา 9, 7 ตั้งแต่วันที่ 9 ธันวาคม 2564 ดังนั้น จำเลยจึงเป็นผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลในคดีดังกล่าวอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกในคดีดังกล่าว มิใช่ที่อยู่ตามฟ้อง เมื่อศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปที่บ้านเลขที่ 227 อันเป็นที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงมิใช่ภูมิลำเนาของจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ที่บัญญัติว่า "ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลหรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่ เรือนจำหรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่ จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว" ดังนั้น จึงมิใช่กรณีส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไม่ได้เพราะหาตัวไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ ที่ศาลชั้นต้นจะส่งสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาได้เลย โดยไม่ต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยก่อนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 เมื่อการส่งสำเนาอุทธรณ์ไม่ได้นั้นเกิดจากความบกพร่องเนื่องจากการส่งหมายไม่ตรงตามภูมิลำเนาของจำเลยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ถือไม่ได้ว่าเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือจำเลยหลบหนี การส่งสำเนาอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยมาตรา 201 ดังกล่าว ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานีอันเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงเวลานั้น ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ของจำเลยตามคำฟ้อง แม้ศาลชั้นต้นจะมีคำสั่งให้ปิดหมายก็เป็นคำสั่งที่เกินเลยไม่เป็นผลให้การส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้เป็นไปโดยชอบ และถือไม่ได้ว่าการส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์โดยวิธีปิดหมาย ณ ภูมิลำเนาของจำเลยเป็นเพราะหาตัวจำเลยไม่พบ หรือหลบหนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 201 ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น

พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการในเรื่องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามรูปคดี

•  ภูมิลำเนาผู้ต้องขังตามกฎหมาย

•  การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่

•  ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47

•  ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200

•  ข้อบกพร่องกระบวนการพิจารณาคดีอุทธรณ์

•  คดียาเสพติด พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด 2550

•  ศาลฎีกายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

•  สิทธิผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังในเรือนจำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2567 (ย่อ)

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก 6 ปี 10 เดือนตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 3099/2559 และถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ซึ่งถือเป็นภูมิลำเนาตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 แต่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ทำให้จำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ส่งผลให้จำเลยเสียสิทธิในการแก้อุทธรณ์

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษากลับว่าจำเลยมีความผิดตามกฎหมายยาเสพติด จำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 400,000 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนค่าปรับ แต่ไม่เกิน 2 ปี

จำเลยฎีกา โดยอ้างว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบ เนื่องจากไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์ไปยังที่อยู่ตามฟ้อง โดยไม่ส่งไปที่เรือนจำกลางอุดรธานีซึ่งเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงเวลานั้น ไม่ชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200, 201 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3

คำสั่งปิดหมายที่อยู่ตามฟ้องไม่ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากจำเลยไม่ได้หนี หรือจงใจไม่รับสำเนาอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ที่พิจารณาคดีโดยไม่ส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ก่อน จึงดำเนินกระบวนพิจารณาไม่ชอบ

ศาลฎีกาพิพากษา ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยแก้ตามกฎหมาย แล้วส่งสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาใหม่.

อธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47

มาตรา 47 กำหนดว่า ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว

•หลักการนี้มีความสำคัญในการระบุที่อยู่หรือภูมิลำเนาของผู้ถูกจำคุก ซึ่งส่งผลต่อการส่งเอกสารหรือการดำเนินคดีทางกฎหมาย เช่น การส่งหมายนัดหรือสำเนาอุทธรณ์ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องต้องส่งเอกสารไปยังเรือนจำเพื่อให้ถือว่าได้ส่งถึงผู้ต้องหาโดยชอบด้วยกฎหมาย

2. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 200

มาตรา 200 กำหนดว่า เมื่อมีการยื่นอุทธรณ์ ศาลต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ให้อีกฝ่ายหนึ่งแก้ภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้รับสำเนาอุทธรณ์

•วัตถุประสงค์คือเพื่อคุ้มครองสิทธิของคู่ความ โดยเปิดโอกาสให้คู่ความได้รับสำเนาอุทธรณ์และมีเวลาเพียงพอในการจัดทำคำแก้ ดังนั้น หากศาลไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนนี้ อาจถือว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบ

3. พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3

มาตรา 3 ระบุว่า ในคดียาเสพติด ให้ใช้กฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาเป็นหลัก เว้นแต่พระราชบัญญัตินี้กำหนดไว้เป็นอย่างอื่น

•หมายความว่ากระบวนพิจารณาคดียาเสพติดยังต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา เช่น การส่งสำเนาอุทธรณ์และการแก้คำอุทธรณ์ ทั้งนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ต้องหาได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม

ความสัมพันธ์กับคดีนี้

1.ภูมิลำเนาตามมาตรา 47

ในกรณีนี้ จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ซึ่งถือเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมาย ศาลจึงควรส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังเรือนจำ ไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง

2.การส่งสำเนาอุทธรณ์ตามมาตรา 200

ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังที่อยู่ตามฟ้องแทนที่จะส่งไปยังภูมิลำเนาในเรือนจำ ทำให้จำเลยไม่ได้รับสำเนาอุทธรณ์และเสียสิทธิในการแก้คำอุทธรณ์

3.การพิจารณาคดีที่ไม่ชอบตามมาตรา 3 ของ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด

เมื่อกระบวนการพิจารณาในศาลอุทธรณ์ไม่ปฏิบัติตามมาตรา 200 ของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ย่อมขัดต่อหลักการพิจารณาที่เป็นธรรมในคดียาเสพติด ศาลฎีกาจึงวินิจฉัยให้แก้ไขกระบวนพิจารณา

สรุป

หลักกฎหมายทั้งสามนี้ช่วยคุ้มครองสิทธิของผู้ต้องหาในการได้รับการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม รวมถึงกำหนดให้ภูมิลำเนาของผู้ต้องหาที่ถูกคุมขังเป็นเรือนจำ เพื่อป้องกันการเสียสิทธิจากการส่งเอกสารผิดที่ หากศาลละเลยขั้นตอนตามกฎหมาย เช่น การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดภูมิลำเนา กระบวนการพิจารณาจะถือว่าไม่ชอบด้วยกฎหมาย และอาจต้องแก้ไขกระบวนการพิจารณาใหม่

****ภูมิลำเนาคืออะไร และภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลคืออะไร

1. ความหมายของภูมิลำเนา

ภูมิลำเนาในกฎหมายไทยหมายถึง ที่อยู่ที่กฎหมายกำหนดให้เป็นที่ติดต่อหรือดำเนินการทางกฎหมาย ของบุคคลหนึ่ง ๆ ซึ่งอาจไม่ใช่ที่อยู่ที่บุคคลนั้นพำนักอาศัยจริงในปัจจุบัน โดยหลักเกณฑ์ว่าด้วยภูมิลำเนาถูกกำหนดไว้ใน ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 37 ถึงมาตรา 50

ตัวอย่างของภูมิลำเนาตามกฎหมาย ได้แก่:

•สถานที่พำนักประจำของบุคคล

•สำนักงานใหญ่ของนิติบุคคล

•สำหรับบุคคลที่ไม่มีที่อยู่ชัดเจน อาจใช้สถานที่ที่พวกเขามักติดต่อหรือปรากฏตัวเป็นภูมิลำเนา

2. ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล

กรณีที่บุคคลถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุด ภูมิลำเนาของบุคคลนั้นจะเปลี่ยนไปตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 47 ซึ่งบัญญัติว่า:

“ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดของศาล หรือตามคำสั่งโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้แก่เรือนจำ หรือทัณฑสถานที่ถูกจำคุกอยู่จนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว”

หลักเกณฑ์นี้มีความสำคัญเพื่อให้การดำเนินคดี การส่งเอกสาร หรือการติดต่อทางกฎหมายกับผู้ต้องขังเป็นไปอย่างถูกต้องและชอบด้วยกฎหมาย

3. ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง

1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 226/2567

ในกรณีนี้ จำเลยถูกคุมขังในเรือนจำกลางอุดรธานี ศาลชั้นต้นส่งสำเนาอุทธรณ์ไปยังที่อยู่ตามฟ้องแทนที่เรือนจำ ทำให้กระบวนพิจารณาไม่ชอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเรือนจำถือเป็นภูมิลำเนาของจำเลยตามมาตรา 47

2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3165/2553

ในกรณีที่จำเลยถูกจำคุก ศาลต้องส่งเอกสารหรือหมายเรียกไปยังเรือนจำเพื่อให้ถือว่าเป็นการส่งเอกสารที่ชอบด้วยกฎหมาย หากส่งไปที่อยู่เดิมของจำเลย จะถือว่ากระบวนพิจารณาไม่ชอบ

3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6158/2552

โจทก์ส่งหมายไปยังที่อยู่เดิมของจำเลย ทั้งที่จำเลยถูกคุมขังอยู่ในเรือนจำ กระบวนการส่งหมายไม่ถูกต้อง ทำให้จำเลยเสียสิทธิในการโต้แย้ง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ากระบวนการพิจารณาไม่ชอบ

4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7118/2545

กรณีผู้ต้องขังที่ได้รับการพักโทษและอาศัยอยู่นอกเรือนจำ ช่วงที่ได้รับการพักโทษนั้นยังถือว่าภูมิลำเนาของเขาอยู่ในเรือนจำตามมาตรา 47

5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2544

ศาลวินิจฉัยว่าผู้ที่ถูกคุมขังต้องถือว่าภูมิลำเนาอยู่ในเรือนจำ ไม่สามารถถือว่าภูมิลำเนาอยู่ที่บ้านหรือที่อยู่ตามบัตรประชาชนได้

6.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1023/2529

ในกรณีที่มีการฟ้องผู้ต้องขังและศาลชั้นต้นส่งหมายไปยังที่อยู่ตามบัตรประชาชนของผู้ต้องขัง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าเรือนจำเป็นภูมิลำเนาตามกฎหมายในช่วงเวลาที่ถูกคุมขัง

4. ข้อสังเกตสำคัญ

•ภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกจะถูกกำหนดโดยสถานที่คุมขังจนกว่าจะได้รับการปล่อยตัว

•หากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ส่งเอกสารหรือหมายเรียกไปยังภูมิลำเนาที่ถูกต้อง (เช่น เรือนจำ) อาจทำให้กระบวนการพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย

•กรณีดังกล่าวมีผลต่อสิทธิในการแก้ต่างคดีของจำเลย และอาจทำให้ศาลฎีกามีคำสั่งให้แก้ไขกระบวนการพิจารณา

5. สรุป

หลักเกณฑ์ว่าด้วยภูมิลำเนาของผู้ที่ถูกจำคุกมีวัตถุประสงค์เพื่อความยุติธรรมในกระบวนการพิจารณาคดี การไม่ปฏิบัติตามหลักกฎหมายอาจส่งผลให้กระบวนการพิจารณาถูกยกเลิกและต้องแก้ไขใหม่ การศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องช่วยให้เข้าใจหลักกฎหมายและการบังคับใช้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น.


 

จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วจำเลยจึงเป็นผู้ถูกจำคุกตามคำพิพากษาถึงที่สุดอยู่ในเรือนจำกลางอุดรธานี เรือนจำกลางอุดรธานีจึงเป็นภูมิลำเนาของจำเลยในช่วงระยะเวลาที่จำเลยถูกจำคุกไม่ใช่ที่อยู่ตามฟ้อง การที่ศาลชั้นต้นส่งหมายนัดและสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยไปยังที่อยู่ของจำเลยตามฟ้อง จึงไม่ใช่ภูมิลำเนาของจำเลย ศาลชั้นต้นต้องส่งสำเนาอุทธรณ์ของโจทก์เพื่อให้จำเลยแก้ไปที่เรือนจำกลางอุดรธานี หาใช่ส่งไปยังที่อยู่ตามฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์พิจารณาคดีโดยมิได้มีการส่งสำเนาอุทธรณ์ให้จำเลยเพื่อแก้นั้น เป็นการไม่ชอบ

 




คดียาเสพติดให้โทษ

บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56,
การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ
โทษประหารชีวิตยาเสพติด - การลงโทษที่ศาลพิจารณาให้ประหารชีวิตในคดียาเสพติด
มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม
สมคบเพื่อการค้ายาเสพติด มีโทษอย่างไร
เหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้
ธนบัตรที่นำไปล่อซื้อยาเสพติดไม่ใช่สาระสำคัญถึงกับมีข้อสงสัยยกฟ้อง
คำว่า จำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย | ผิดกรรมเดียว
รับฝากยาบ้า 4.013 เม็ด ถูกจำคุก 22 ปี
ริบทรัพย์สินเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ เมทแอมเฟตามีน 75 เม็ด
ครอบครองยาบ้า 584 เม็ด รับสารภาพจำคุก 25 ปี
ยาเสพติดให้โทษ 600 เม็ด จำคุก 20 ปี
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ 750 เม็ด โทษ 20 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 778 เม็ด จำคุก 25 ปี article
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 1,200 เม็ด จำคุก 18 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 2,374 เม็ด
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) 3,017 เม็ด
เมทแอมเฟตามีน 5,290 เม็ด จำคุก 20 ปี
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า 12,000 เม็ด จำคุก 33 ปี 9 เดือน
ให้บัญชีธนาคารคนอื่นใช้โอนเงินค่ายาเสพติดโทษเท่ากันกับตัวการ
ขอลดโทษคดียาเสพติดตามมาตรา 100/2
การกำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
พยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ยาบ้า 279 เม็ด โทษจำคุก 7 ปี ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ข้อมูลเป็นประโยชน์ตามมาตรา 100/2
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า 27 เม็ด
การสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ นำเข้า 22 เม็ด
นำยาเสพติดเข้าในราชอาณาจักรโทษประหาร
การยื่นฎีกาเกี่ยวกับคดียาเสพติด
ผู้ใหญ่บ้านถูกจับยาบ้ามีโทษจำคุก 3 เท่า