ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56,

 คำพิพากษาศาลฎีกา 1855/2567,  เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92,  รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56,  การพิจารณาคดีเสพเมทแอมเฟตามีน,  มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุก,  บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด,  กฎหมายยาเสพติด มาตรา 166,  การบรรเทาโทษตามมาตรา 78,  เงื่อนไขการเพิ่มโทษคดีอาญา,  ศาลฎีกากับคดีความผิดเล็กน้อย,

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56,

**ศาลฎีกาเพิ่มโทษจำคุก 1 เดือน 10 วัน จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน แต่ใช้เงื่อนไขคุมประพฤติแทนโทษจำคุก เพื่อให้โอกาสกลับตัว**

โจทก์ฟ้องจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามีน พร้อมขอเพิ่มโทษหนึ่งในสามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีเมื่อปี 2558 และพ้นโทษเมื่อปี 2560 ซึ่งการกระทำผิดครั้งนี้อยู่ในกรอบเวลา 5 ปีหลังพ้นโทษ จำเลยรับสารภาพทั้งข้อหา ศาลเห็นว่าจำเลยไม่เข้าเงื่อนไขรอการลงโทษตาม มาตรา 56 เนื่องจากเคยได้รับโทษจำคุกเกิน 6 เดือน

อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นความผิดเล็กน้อย และการกระทำผิดครั้งก่อนผ่านมาแล้วกว่า 8 ปี ศาลจึงพิจารณาไม่ลงโทษจำคุก แต่กำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมแทนตาม ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เพื่อให้จำเลยกลับตัว โดยเน้นการรายงานตัวและการทำกิจกรรมบริการสังคมแทนการจำคุกในระยะสั้น

สาระสำคัญ: ศาลให้น้ำหนักกับการฟื้นฟูจำเลยมากกว่าการลงโทษจำคุก เพื่อผลดีต่อสังคมและโอกาสปรับตัวของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2567

คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่ง ป.อ. มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 166

*****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1, 29, 104, 162 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย

จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166

พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 5,333.33 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 10 วัน และปรับ 2,666.66 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลยเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังแทนการลงโทษจำคุก โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามวันเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

•  คำพิพากษาศาลฎีกา 1855/2567

•  เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92

•  รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56

•  การพิจารณาคดีเสพเมทแอมเฟตามีน

•  มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุก

•  บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด

•  กฎหมายยาเสพติด มาตรา 166

•  การบรรเทาโทษตามมาตรา 78

•  เงื่อนไขการเพิ่มโทษคดีอาญา

•  ศาลฎีกากับคดีความผิดเล็กน้อย

*****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และเพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามกฎหมาย เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษในคดีมาก่อนและพ้นโทษภายในห้าปีก่อนกระทำผิดอีกครั้ง

คำพิพากษาศาลชั้นต้น: จำเลยรับสารภาพ มีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 พิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี พร้อมรายงานตัวและทำกิจกรรมบริการสังคม

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์: พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกา: ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องขอเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามมาตรา 92 เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีก่อน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษและรอการลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากการกระทำผิดเป็นความผิดเล็กน้อย และคดีเก่าของจำเลยผ่านมากว่า 8 ปี ศาลเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวแทนการลงโทษจำคุก

ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 5,333.33 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 เดือน 10 วัน และปรับ 2,666.66 บาท ให้คุมความประพฤติ 1 ปี รายงานตัว 4 ครั้ง และทำกิจกรรมบริการสังคม 12 ชั่วโมง ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสิ่งมึนเมา หากไม่ชำระค่าปรับ ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30

*****เพื่อให้เข้าใจคำพิพากษาในบทความได้ดียิ่งขึ้น ต่อไปนี้เป็นการอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง:

1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

สาระสำคัญ:

มาตรานี้ว่าด้วยการรอการลงโทษจำคุก โดยศาลสามารถพิจารณารอการลงโทษได้หากเห็นว่าผู้กระทำผิดสมควรได้รับโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตัว และมีเงื่อนไขสำคัญคือ ผู้กระทำผิดต้องไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือหากเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ต้องเป็นกรณีที่ได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน

ความเกี่ยวข้องในคดี:

ศาลพิจารณาว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมากกว่า 6 เดือน จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะรอการลงโทษตามมาตรานี้ อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าคดีนี้เป็นความผิดเล็กน้อย จึงใช้แนวทางคุมความประพฤติแทนการลงโทษจำคุก โดยอ้างอิงมาตรา 56 เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการควบคุมพฤติกรรมของจำเลย

2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92

สาระสำคัญ:

มาตรานี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีประวัติการกระทำผิดซ้ำ กล่าวคือ หากผู้กระทำผิดได้รับโทษในคดีก่อนหน้า และกระทำผิดอีกภายในระยะเวลาที่กำหนด (5 ปีนับจากวันที่พ้นโทษ) ศาลจะเพิ่มโทษอีกหนึ่งในสามของโทษที่กำหนด

ความเกี่ยวข้องในคดี:

โจทก์ยกมาตรานี้มาเพื่อขอให้ศาลเพิ่มโทษแก่จำเลย เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีก่อนหน้า และกระทำผิดซ้ำภายในระยะเวลาห้าปี ศาลฎีกาเห็นว่าคำขอเพิ่มโทษนี้ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามมาตรานี้

3. ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166

สาระสำคัญ:

มาตรานี้ให้อำนาจศาลในการกำหนดมาตรการอื่นแทนการลงโทษจำคุกสำหรับความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้กระทำผิดควรได้รับโอกาสในการกลับตัว ศาลสามารถกำหนดเงื่อนไข เช่น ควบคุมพฤติกรรม การรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ หรือการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์

ความเกี่ยวข้องในคดี:

ศาลฎีกาพิจารณาว่าการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีต่อจำเลยและสังคม จึงใช้มาตรา 166 ในการกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมแทนการลงโทษจำคุก

บทสรุปของการประยุกต์ใช้หลักกฎหมาย

•มาตรา 56 ถูกนำมาใช้ในแง่การพิจารณารอการลงโทษ แต่จำเลยไม่เข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขเดิม

•มาตรา 92 ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสาม เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษและกระทำผิดซ้ำ

•มาตรา 166 ถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการกำหนดมาตรการควบคุมความประพฤติแทนการลงโทษจำคุก

แนวทางนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของกฎหมายและศาลในคดีความผิดเล็กน้อย เพื่อให้โอกาสจำเลยในการกลับตัวกลับใจ โดยยังคงรักษาสิทธิ์และประโยชน์ของสังคมส่วนรวม

*****เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92: การเพิ่มโทษในกรณีผู้กระทำผิดซ้ำ

สาระสำคัญของมาตรา 92

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเพิ่มโทษในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีพฤติกรรมซ้ำซาก โดยระบุว่า หากผู้กระทำผิดเคยได้รับโทษในคดีก่อนหน้าและได้กระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลังจะเพิ่มขึ้นหนึ่งในสามจากโทษเดิม ทั้งนี้เป็นการยืนยันว่าการกระทำผิดซ้ำแสดงถึงความไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย และสมควรได้รับโทษที่รุนแรงกว่าเดิม

เงื่อนไขสำคัญของการเพิ่มโทษตามมาตรา 92

1.ผู้กระทำผิดต้องเคยถูกพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนหน้า

คำพิพากษาต้องระบุโทษที่แน่ชัด เช่น จำคุกหรือปรับ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดในคดีประเภทเดียวกันหรือแตกต่างกัน

2.การกระทำผิดครั้งใหม่เกิดขึ้นภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด

ระยะเวลาที่กำหนดในมาตรา 92 คือ 5 ปีนับจากวันที่ผู้กระทำผิดพ้นโทษ หากการกระทำผิดครั้งใหม่อยู่ภายในกรอบเวลา 5 ปี ศาลสามารถเพิ่มโทษได้ตามมาตรานี้

3.การพิสูจน์ตัวตนของผู้กระทำผิด

ฝ่ายโจทก์ต้องแสดงหลักฐานชัดเจน เช่น ประวัติการต้องโทษ รายละเอียดคดีเก่า หรือข้อมูลจากทะเบียนราษฎร เพื่อยืนยันว่าผู้กระทำผิดในคดีก่อนหน้าและปัจจุบันเป็นบุคคลเดียวกัน

หลักการและเหตุผลในการเพิ่มโทษ การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 เป็นมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดซ้ำสร้างผลกระทบต่อสังคมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญดังนี้:

1.ยับยั้งการกระทำผิดซ้ำ:

การเพิ่มโทษส่งผลให้ผู้กระทำผิดต้องพิจารณาผลเสียที่ร้ายแรงกว่าเดิม หากคิดจะกระทำผิดอีก

2.สร้างความยำเกรงต่อกฎหมาย:

การเพิ่มโทษเป็นการแสดงถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อผู้ที่ละเมิดกฎหมายซ้ำซาก

3.ปกป้องสังคม:

การลงโทษที่รุนแรงขึ้นช่วยลดความเสี่ยงต่อสังคมจากผู้กระทำผิดที่มีพฤติกรรมซ้ำเดิม

ตัวอย่างการใช้มาตรา 92 ในคำพิพากษาศาลฎีกา หนึ่งในตัวอย่างคำพิพากษาที่อ้างอิงมาตรา 92 คือ คดีที่ผู้กระทำผิดเคยต้องโทษในคดียาเสพติดและพ้นโทษมาแล้วไม่ถึง 5 ปี แต่กลับมากระทำความผิดซ้ำอีกครั้ง ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิ่มโทษหนึ่งในสาม ศาลเห็นว่าการกระทำผิดครั้งใหม่อยู่ภายในกรอบเวลาตามที่มาตรา 92 กำหนด จึงเพิ่มโทษตามคำร้องของโจทก์

ในกรณีนี้ ศาลยังพิจารณาว่าจำเลยรับสารภาพและกระทำความผิดเล็กน้อย จึงลดโทษให้ตามมาตรา 78 แต่ยังคงเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 92 เพื่อรักษาหลักการของกฎหมาย

บทสรุป มาตรา 92 ของประมวลกฎหมายอาญาเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยในสังคม โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้กระทำผิดซ้ำซาก การเพิ่มโทษหนึ่งในสามไม่เพียงแต่ยับยั้งพฤติกรรมละเมิดกฎหมาย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้ใดหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในกรณีที่เลือกกระทำผิดซ้ำอีกครั้ง

****รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56: การให้โอกาสผู้กระทำผิดในการกลับตัว

สาระสำคัญของมาตรา 56

ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เป็นบทบัญญัติที่เปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษจำคุกแก่ผู้กระทำผิด โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับตัวกลับใจ และป้องกันไม่ให้การลงโทษจำคุกเป็นภาระต่อสังคมโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม การรอการลงโทษนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ศาลสามารถกำหนดเพื่อควบคุมความประพฤติของผู้กระทำผิด

เงื่อนไขสำคัญในการรอการลงโทษจำคุก

1.ผู้กระทำผิดไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน

ผู้กระทำผิดจะต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือหากเคยต้องโทษจำคุก โทษดังกล่าวต้องไม่เกิน 6 เดือน ยกเว้นในกรณีที่การต้องโทษนั้นเกิดจากการกระทำผิดโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ

2.ศาลเห็นว่าการรอการลงโทษจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขพฤติกรรม

ศาลต้องพิจารณาถึงลักษณะความผิด ความหนักเบาของคดี และพฤติการณ์ของผู้กระทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้กระทำผิดแสดงให้เห็นถึงความสำนึกผิดและตั้งใจที่จะปรับปรุงตัว

3.การกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรม

ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ การกระทำกิจกรรมบริการสังคม หรือการเข้ารับการบำบัดรักษา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงผลกระทบของการกระทำผิดและไม่กระทำผิดซ้ำ

หลักการและเหตุผลในการใช้มาตรา 56 มาตรา 56 มุ่งเน้นการบำบัดและฟื้นฟูผู้กระทำผิดมากกว่าการลงโทษอย่างเข้มงวด โดยคำนึงถึงผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งตัวผู้กระทำผิดและสังคมในระยะยาว การรอการลงโทษจำคุกช่วยลดภาระในเรือนจำและเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้ปรับปรุงตนเองในสภาพแวดล้อมปกติ

ตัวอย่างการใช้มาตรา 56 ในคำพิพากษาศาล ในหลายกรณีที่ศาลตัดสินรอการลงโทษจำคุก มักเกี่ยวข้องกับความผิดที่ไม่ร้ายแรง เช่น การกระทำผิดครั้งแรก การเสพยาเสพติดในปริมาณเล็กน้อย หรือความผิดที่เกิดจากความประมาท ศาลจะกำหนดเงื่อนไขการควบคุมพฤติกรรม เช่น การรายงานตัว การทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ หรือการเข้ารับการบำบัดรักษา

ตัวอย่าง: คดีที่จำเลยกระทำผิดฐานเสพยาเสพติด ศาลพิจารณาว่าจำเลยไม่มีประวัติต้องโทษและแสดงความสำนึกผิด จึงรอการลงโทษจำคุก 1 ปี พร้อมกำหนดให้จำเลยรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ 4 ครั้ง และทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 12 ชั่วโมง

ข้อควรระวังในการใช้มาตรา 56

1.การตรวจสอบพฤติกรรมผู้กระทำผิด

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องติดตามและรายงานผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขของผู้กระทำผิดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้กระทำผิดปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอย่างเคร่งครัด

2.การประเมินผลกระทบต่อสังคม

การรอการลงโทษจำคุกต้องพิจารณาผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีโอกาสกระทำผิดซ้ำ

บทสรุป มาตรา 56 เป็นตัวอย่างของการใช้กฎหมายอย่างยืดหยุ่นและคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะในกรณีที่การลงโทษจำคุกอาจไม่เหมาะสมหรือไม่เกิดผลดีในระยะยาว การกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมช่วยให้ผู้กระทำผิดมีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี ขณะเดียวกันก็รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างสมดุล

***มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุก: การสร้างโอกาสให้ผู้กระทำผิดกลับตัว

ความหมายและความสำคัญของมาตรการควบคุมพฤติกรรม มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุกเป็นกลไกที่ศาลสามารถใช้เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้แก้ไขพฤติกรรม โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการจำคุกในเรือนจำ มาตรการนี้มีบทบาทสำคัญในการลดภาระของระบบเรือนจำ และสนับสนุนให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ

หลักการของมาตรการควบคุมพฤติกรรม มาตรการควบคุมพฤติกรรมมุ่งเน้นการให้ผู้กระทำผิดเรียนรู้จากผลของการกระทำผิด และป้องกันการกระทำผิดซ้ำ โดยผ่านเงื่อนไขที่ศาลกำหนด เช่น การรายงานตัว การทำกิจกรรมบริการสังคม การเข้ารับการบำบัด หรือการจำกัดการกระทำบางอย่าง เงื่อนไขเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม

ประเภทของมาตรการควบคุมพฤติกรรม

1.การรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่

ผู้กระทำผิดต้องรายงานตัวตามกำหนดเวลาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามความคืบหน้าของการปรับปรุงพฤติกรรม

2.การทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์

ผู้กระทำผิดจะต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคม เช่น การทำงานในชุมชน การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส หรือการร่วมกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อส่วนรวม

3.การเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู

ในกรณีที่ความผิดเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิตหรือการเสพสารเสพติด ผู้กระทำผิดอาจถูกกำหนดให้เข้ารับการบำบัดหรือการรักษาภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ

4.การจำกัดพฤติกรรมบางประการ

ศาลอาจกำหนดข้อห้าม เช่น การห้ามเข้าใกล้บุคคลหรือสถานที่บางแห่ง หรือการห้ามกระทำการใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การกระทำผิดซ้ำ

กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการควบคุมพฤติกรรม

1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56

ให้ศาลใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษจำคุก พร้อมกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรม

2.ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166

เปิดทางให้ศาลกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมแทนการลงโทษจำคุกสำหรับความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด

ข้อดีของมาตรการควบคุมพฤติกรรม

1.ลดภาระของเรือนจำ:

ลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ ทำให้สามารถจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

2.ส่งเสริมการฟื้นฟู:

ผู้กระทำผิดได้รับโอกาสในการกลับตัวและเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อสังคม

3.ลดการกระทำผิดซ้ำ:

การควบคุมพฤติกรรมช่วยให้ผู้กระทำผิดมีความตระหนักและหลีกเลี่ยงการกระทำผิดซ้ำ

4.ส่งเสริมสังคมที่ยั่งยืน:

มาตรการนี้ช่วยสร้างสังคมที่ให้โอกาสและความเข้าใจแก่ผู้ที่เคยกระทำผิด

ตัวอย่างกรณีการใช้มาตรการควบคุมพฤติกรรม ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นเยาวชนที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการเสพยาเสพติด ศาลอาจกำหนดให้รายงานตัวทุกเดือน พร้อมทั้งเข้ารับการบำบัดรักษา และทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 20 ชั่วโมง การกำหนดมาตรการนี้ช่วยให้เยาวชนเรียนรู้จากการกระทำผิดโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบเรือนจำ

บทสรุป มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุกสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของกฎหมายในการจัดการคดีความผิดเล็กน้อยหรือผู้กระทำผิดที่แสดงศักยภาพในการกลับตัว การใช้มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระของระบบเรือนจำ แต่ยังสร้างโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง เพื่อกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างยั่งยืน

 




คดียาเสพติดให้โทษ

การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ
โทษประหารชีวิตยาเสพติด - การลงโทษที่ศาลพิจารณาให้ประหารชีวิตในคดียาเสพติด
คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย, ภูมิลำเนาผู้ต้องขัง, การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่
มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม
สมคบเพื่อการค้ายาเสพติด มีโทษอย่างไร
เหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้
ธนบัตรที่นำไปล่อซื้อยาเสพติดไม่ใช่สาระสำคัญถึงกับมีข้อสงสัยยกฟ้อง
คำว่า จำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย | ผิดกรรมเดียว
รับฝากยาบ้า 4.013 เม็ด ถูกจำคุก 22 ปี
ริบทรัพย์สินเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ เมทแอมเฟตามีน 75 เม็ด
ครอบครองยาบ้า 584 เม็ด รับสารภาพจำคุก 25 ปี
ยาเสพติดให้โทษ 600 เม็ด จำคุก 20 ปี
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ 750 เม็ด โทษ 20 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 778 เม็ด จำคุก 25 ปี article
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 1,200 เม็ด จำคุก 18 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 2,374 เม็ด
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) 3,017 เม็ด
เมทแอมเฟตามีน 5,290 เม็ด จำคุก 20 ปี
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า 12,000 เม็ด จำคุก 33 ปี 9 เดือน
ให้บัญชีธนาคารคนอื่นใช้โอนเงินค่ายาเสพติดโทษเท่ากันกับตัวการ
ขอลดโทษคดียาเสพติดตามมาตรา 100/2
การกำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
พยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ยาบ้า 279 เม็ด โทษจำคุก 7 ปี ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ข้อมูลเป็นประโยชน์ตามมาตรา 100/2
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า 27 เม็ด
การสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ นำเข้า 22 เม็ด
นำยาเสพติดเข้าในราชอาณาจักรโทษประหาร
การยื่นฎีกาเกี่ยวกับคดียาเสพติด
ผู้ใหญ่บ้านถูกจับยาบ้ามีโทษจำคุก 3 เท่า