

บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56, **ศาลฎีกาเพิ่มโทษจำคุก 1 เดือน 10 วัน จำเลยเสพเมทแอมเฟตามีน แต่ใช้เงื่อนไขคุมประพฤติแทนโทษจำคุก เพื่อให้โอกาสกลับตัว** โจทก์ฟ้องจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามีน พร้อมขอเพิ่มโทษหนึ่งในสามตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีเมื่อปี 2558 และพ้นโทษเมื่อปี 2560 ซึ่งการกระทำผิดครั้งนี้อยู่ในกรอบเวลา 5 ปีหลังพ้นโทษ จำเลยรับสารภาพทั้งข้อหา ศาลเห็นว่าจำเลยไม่เข้าเงื่อนไขรอการลงโทษตาม มาตรา 56 เนื่องจากเคยได้รับโทษจำคุกเกิน 6 เดือน อย่างไรก็ตาม คดีนี้เป็นความผิดเล็กน้อย และการกระทำผิดครั้งก่อนผ่านมาแล้วกว่า 8 ปี ศาลจึงพิจารณาไม่ลงโทษจำคุก แต่กำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมแทนตาม ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เพื่อให้จำเลยกลับตัว โดยเน้นการรายงานตัวและการทำกิจกรรมบริการสังคมแทนการจำคุกในระยะสั้น สาระสำคัญ: ศาลให้น้ำหนักกับการฟื้นฟูจำเลยมากกว่าการลงโทษจำคุก เพื่อผลดีต่อสังคมและโอกาสปรับตัวของจำเลย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1855/2567 คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขัง กรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตาม ป.อ. มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตาม ป.อ. มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีน ซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่ง ป.อ. มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 166 *****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1, 29, 104, 162 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย จำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 2 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ภายในกำหนดเวลา 1 ปี และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ เป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยนั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และโจทก์บรรยายฟ้องในส่วนของการขอเพิ่มโทษว่า ก่อนคดีนี้ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2558 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 2 ปี 16 เดือน 15 วัน ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ อ.1325/2558 ของศาลจังหวัดเดชอุดม จำเลยพ้นโทษคดีดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 ภายในกำหนดเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ จำเลยกลับมากระทำความผิดในคดีนี้อีก ขอให้เพิ่มโทษจำคุกจำเลยหนึ่งในสามตามกฎหมาย โดยแนบข้อมูลทะเบียนราษฎร และรายละเอียดข้อมูลผู้ต้องขังกรมราชทัณฑ์ ซึ่งระบุชัดเจนทั้งชื่อและชื่อสกุลจำเลย เลขประจำตัวประชาชนจำเลย ซึ่งมีข้อมูลว่าจำเลยถูกจำคุกตามคำพิพากษาและพ้นโทษโดยปล่อยตัวเมื่อวันที่ 21 เมษายน 2560 กับมีรูปถ่ายจำเลยในเอกสารดังกล่าว ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของคำฟ้องด้วย เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพตลอดข้อหา ถือได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้องรวมถึงรับว่าจำเลยเคยต้องโทษและพ้นโทษในคดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษดังกล่าวด้วยแล้ว เมื่อคดีนี้ศาลจะลงโทษถึงจำคุก จึงอยู่ในเงื่อนไขที่จะเพิ่มโทษแก่จำเลยหนึ่งในสามของโทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดคดีนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 และเมื่อจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเกิน 6 เดือน จึงไม่อยู่ในเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษให้แก่จำเลยได้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษจำเลยและรอการลงโทษจำคุกให้จำเลยจึงไม่ชอบ ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น อย่างไรก็ตาม คดีนี้จำเลยกระทำความผิดเสพเมทแอมเฟตามีนซึ่งเป็นความผิดเพียงเล็กน้อยและคดีที่จำเลยเคยต้องโทษมาก่อนเป็นการกระทำความผิดเมื่อปี 2558 นับถึงปัจจุบันเป็นเวลากว่า 8 ปีแล้ว อีกทั้งการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีแก่จำเลยและสังคม จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวโดยนำเงื่อนไขเพื่อควบคุมความประพฤติตามมาตรา 56 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มาใช้แทนการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 จำคุก 2 เดือน และปรับ 4,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 5,333.33 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน 10 วัน และปรับ 2,666.66 บาท ให้คุมความประพฤติจำเลยเป็นเวลา 1 ปี นับแต่วันที่อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยฟังแทนการลงโทษจำคุก โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 4 ครั้ง ตามวันเวลาที่พนักงานคุมประพฤติกำหนด และให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 12 ชั่วโมง ห้ามจำเลยเกี่ยวข้องกับยาเสพติดหรือสิ่งมึนเมาทุกชนิด และยินยอมให้ตรวจสารเสพติดให้โทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 • คำพิพากษาศาลฎีกา 1855/2567 • เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92 • รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56 • การพิจารณาคดีเสพเมทแอมเฟตามีน • มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุก • บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด • กฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 • การบรรเทาโทษตามมาตรา 78 • เงื่อนไขการเพิ่มโทษคดีอาญา • ศาลฎีกากับคดีความผิดเล็กน้อย *****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานเสพเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด และเพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามกฎหมาย เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษในคดีมาก่อนและพ้นโทษภายในห้าปีก่อนกระทำผิดอีกครั้ง คำพิพากษาศาลชั้นต้น: จำเลยรับสารภาพ มีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 104, 162 พิพากษาจำคุก 2 เดือน ปรับ 4,000 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 1 เดือน ปรับ 2,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้ 2 ปี พร้อมรายงานตัวและทำกิจกรรมบริการสังคม คำพิพากษาศาลอุทธรณ์: พิพากษายืนตามศาลชั้นต้น คำพิพากษาศาลฎีกา: ศาลวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องขอเพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามมาตรา 92 เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีก่อน การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เพิ่มโทษและรอการลงโทษไม่ชอบด้วยกฎหมาย ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น แต่เนื่องจากการกระทำผิดเป็นความผิดเล็กน้อย และคดีเก่าของจำเลยผ่านมากว่า 8 ปี ศาลเห็นควรให้โอกาสจำเลยกลับตัวแทนการลงโทษจำคุก ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสาม เป็นจำคุก 2 เดือน 20 วัน และปรับ 5,333.33 บาท ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 1 เดือน 10 วัน และปรับ 2,666.66 บาท ให้คุมความประพฤติ 1 ปี รายงานตัว 4 ครั้ง และทำกิจกรรมบริการสังคม 12 ชั่วโมง ห้ามเกี่ยวข้องกับยาเสพติดและสิ่งมึนเมา หากไม่ชำระค่าปรับ ให้ดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 *****เพื่อให้เข้าใจคำพิพากษาในบทความได้ดียิ่งขึ้น ต่อไปนี้เป็นการอธิบายหลักกฎหมายที่เกี่ยวข้อง: 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 สาระสำคัญ: มาตรานี้ว่าด้วยการรอการลงโทษจำคุก โดยศาลสามารถพิจารณารอการลงโทษได้หากเห็นว่าผู้กระทำผิดสมควรได้รับโอกาสในการแก้ไขปรับปรุงตัว และมีเงื่อนไขสำคัญคือ ผู้กระทำผิดต้องไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือหากเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ต้องเป็นกรณีที่ได้รับโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ความเกี่ยวข้องในคดี: ศาลพิจารณาว่าจำเลยเคยต้องโทษจำคุกมากกว่า 6 เดือน จึงไม่เข้าเงื่อนไขที่จะรอการลงโทษตามมาตรานี้ อย่างไรก็ตาม ศาลเห็นว่าคดีนี้เป็นความผิดเล็กน้อย จึงใช้แนวทางคุมความประพฤติแทนการลงโทษจำคุก โดยอ้างอิงมาตรา 56 เพื่อกำหนดเงื่อนไขในการควบคุมพฤติกรรมของจำเลย 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 สาระสำคัญ: มาตรานี้เกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีประวัติการกระทำผิดซ้ำ กล่าวคือ หากผู้กระทำผิดได้รับโทษในคดีก่อนหน้า และกระทำผิดอีกภายในระยะเวลาที่กำหนด (5 ปีนับจากวันที่พ้นโทษ) ศาลจะเพิ่มโทษอีกหนึ่งในสามของโทษที่กำหนด ความเกี่ยวข้องในคดี: โจทก์ยกมาตรานี้มาเพื่อขอให้ศาลเพิ่มโทษแก่จำเลย เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีก่อนหน้า และกระทำผิดซ้ำภายในระยะเวลาห้าปี ศาลฎีกาเห็นว่าคำขอเพิ่มโทษนี้ชอบด้วยกฎหมาย จึงพิพากษาเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามมาตรานี้ 3. ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 สาระสำคัญ: มาตรานี้ให้อำนาจศาลในการกำหนดมาตรการอื่นแทนการลงโทษจำคุกสำหรับความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดในกรณีที่ศาลเห็นว่าผู้กระทำผิดควรได้รับโอกาสในการกลับตัว ศาลสามารถกำหนดเงื่อนไข เช่น ควบคุมพฤติกรรม การรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ หรือการทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ ความเกี่ยวข้องในคดี: ศาลฎีกาพิจารณาว่าการลงโทษจำคุกในระยะสั้นไม่น่าจะเป็นผลดีต่อจำเลยและสังคม จึงใช้มาตรา 166 ในการกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมแทนการลงโทษจำคุก บทสรุปของการประยุกต์ใช้หลักกฎหมาย •มาตรา 56 ถูกนำมาใช้ในแง่การพิจารณารอการลงโทษ แต่จำเลยไม่เข้าเกณฑ์ตามเงื่อนไขเดิม •มาตรา 92 ถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสาม เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษและกระทำผิดซ้ำ •มาตรา 166 ถูกใช้เป็นแนวทางหลักในการกำหนดมาตรการควบคุมความประพฤติแทนการลงโทษจำคุก แนวทางนี้แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นของกฎหมายและศาลในคดีความผิดเล็กน้อย เพื่อให้โอกาสจำเลยในการกลับตัวกลับใจ โดยยังคงรักษาสิทธิ์และประโยชน์ของสังคมส่วนรวม *****เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92: การเพิ่มโทษในกรณีผู้กระทำผิดซ้ำ สาระสำคัญของมาตรา 92 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 มีเนื้อหาเกี่ยวกับการเพิ่มโทษในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีพฤติกรรมซ้ำซาก โดยระบุว่า หากผู้กระทำผิดเคยได้รับโทษในคดีก่อนหน้าและได้กระทำความผิดซ้ำภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด โทษที่ศาลกำหนดสำหรับความผิดครั้งหลังจะเพิ่มขึ้นหนึ่งในสามจากโทษเดิม ทั้งนี้เป็นการยืนยันว่าการกระทำผิดซ้ำแสดงถึงความไม่ยำเกรงต่อกฎหมาย และสมควรได้รับโทษที่รุนแรงกว่าเดิม เงื่อนไขสำคัญของการเพิ่มโทษตามมาตรา 92 1.ผู้กระทำผิดต้องเคยถูกพิพากษาถึงที่สุดในคดีก่อนหน้า คำพิพากษาต้องระบุโทษที่แน่ชัด เช่น จำคุกหรือปรับ ไม่ว่าจะเป็นการกระทำผิดในคดีประเภทเดียวกันหรือแตกต่างกัน 2.การกระทำผิดครั้งใหม่เกิดขึ้นภายในกำหนดเวลาที่กฎหมายกำหนด ระยะเวลาที่กำหนดในมาตรา 92 คือ 5 ปีนับจากวันที่ผู้กระทำผิดพ้นโทษ หากการกระทำผิดครั้งใหม่อยู่ภายในกรอบเวลา 5 ปี ศาลสามารถเพิ่มโทษได้ตามมาตรานี้ 3.การพิสูจน์ตัวตนของผู้กระทำผิด ฝ่ายโจทก์ต้องแสดงหลักฐานชัดเจน เช่น ประวัติการต้องโทษ รายละเอียดคดีเก่า หรือข้อมูลจากทะเบียนราษฎร เพื่อยืนยันว่าผู้กระทำผิดในคดีก่อนหน้าและปัจจุบันเป็นบุคคลเดียวกัน หลักการและเหตุผลในการเพิ่มโทษ การเพิ่มโทษตามมาตรา 92 เป็นมาตรการที่ออกแบบมาเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้กระทำผิดซ้ำสร้างผลกระทบต่อสังคมมากขึ้น โดยมีเป้าหมายสำคัญดังนี้: 1.ยับยั้งการกระทำผิดซ้ำ: การเพิ่มโทษส่งผลให้ผู้กระทำผิดต้องพิจารณาผลเสียที่ร้ายแรงกว่าเดิม หากคิดจะกระทำผิดอีก 2.สร้างความยำเกรงต่อกฎหมาย: การเพิ่มโทษเป็นการแสดงถึงการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวดต่อผู้ที่ละเมิดกฎหมายซ้ำซาก 3.ปกป้องสังคม: การลงโทษที่รุนแรงขึ้นช่วยลดความเสี่ยงต่อสังคมจากผู้กระทำผิดที่มีพฤติกรรมซ้ำเดิม ตัวอย่างการใช้มาตรา 92 ในคำพิพากษาศาลฎีกา หนึ่งในตัวอย่างคำพิพากษาที่อ้างอิงมาตรา 92 คือ คดีที่ผู้กระทำผิดเคยต้องโทษในคดียาเสพติดและพ้นโทษมาแล้วไม่ถึง 5 ปี แต่กลับมากระทำความผิดซ้ำอีกครั้ง ฝ่ายโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอให้เพิ่มโทษหนึ่งในสาม ศาลเห็นว่าการกระทำผิดครั้งใหม่อยู่ภายในกรอบเวลาตามที่มาตรา 92 กำหนด จึงเพิ่มโทษตามคำร้องของโจทก์ ในกรณีนี้ ศาลยังพิจารณาว่าจำเลยรับสารภาพและกระทำความผิดเล็กน้อย จึงลดโทษให้ตามมาตรา 78 แต่ยังคงเพิ่มโทษหนึ่งในสามตามมาตรา 92 เพื่อรักษาหลักการของกฎหมาย บทสรุป มาตรา 92 ของประมวลกฎหมายอาญาเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยรักษาความยุติธรรมและความสงบเรียบร้อยในสังคม โดยมุ่งเป้าไปที่ผู้กระทำผิดซ้ำซาก การเพิ่มโทษหนึ่งในสามไม่เพียงแต่ยับยั้งพฤติกรรมละเมิดกฎหมาย แต่ยังเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนว่ากฎหมายไม่อนุญาตให้ผู้ใดหลีกเลี่ยงความรับผิดชอบในกรณีที่เลือกกระทำผิดซ้ำอีกครั้ง ****รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56: การให้โอกาสผู้กระทำผิดในการกลับตัว สาระสำคัญของมาตรา 56 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 เป็นบทบัญญัติที่เปิดโอกาสให้ศาลใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษจำคุกแก่ผู้กระทำผิด โดยมีเป้าหมายเพื่อส่งเสริมให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับตัวกลับใจ และป้องกันไม่ให้การลงโทษจำคุกเป็นภาระต่อสังคมโดยไม่จำเป็น อย่างไรก็ตาม การรอการลงโทษนี้มาพร้อมกับเงื่อนไขและข้อกำหนดที่ศาลสามารถกำหนดเพื่อควบคุมความประพฤติของผู้กระทำผิด เงื่อนไขสำคัญในการรอการลงโทษจำคุก 1.ผู้กระทำผิดไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน ผู้กระทำผิดจะต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน หรือหากเคยต้องโทษจำคุก โทษดังกล่าวต้องไม่เกิน 6 เดือน ยกเว้นในกรณีที่การต้องโทษนั้นเกิดจากการกระทำผิดโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ 2.ศาลเห็นว่าการรอการลงโทษจะเป็นประโยชน์ต่อการแก้ไขพฤติกรรม ศาลต้องพิจารณาถึงลักษณะความผิด ความหนักเบาของคดี และพฤติการณ์ของผู้กระทำผิด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่ผู้กระทำผิดแสดงให้เห็นถึงความสำนึกผิดและตั้งใจที่จะปรับปรุงตัว 3.การกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรม ศาลอาจกำหนดเงื่อนไขต่าง ๆ เช่น การรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ การกระทำกิจกรรมบริการสังคม หรือการเข้ารับการบำบัดรักษา ทั้งนี้เพื่อให้ผู้กระทำผิดตระหนักถึงผลกระทบของการกระทำผิดและไม่กระทำผิดซ้ำ หลักการและเหตุผลในการใช้มาตรา 56 มาตรา 56 มุ่งเน้นการบำบัดและฟื้นฟูผู้กระทำผิดมากกว่าการลงโทษอย่างเข้มงวด โดยคำนึงถึงผลกระทบเชิงบวกต่อทั้งตัวผู้กระทำผิดและสังคมในระยะยาว การรอการลงโทษจำคุกช่วยลดภาระในเรือนจำและเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้ปรับปรุงตนเองในสภาพแวดล้อมปกติ ตัวอย่างการใช้มาตรา 56 ในคำพิพากษาศาล ในหลายกรณีที่ศาลตัดสินรอการลงโทษจำคุก มักเกี่ยวข้องกับความผิดที่ไม่ร้ายแรง เช่น การกระทำผิดครั้งแรก การเสพยาเสพติดในปริมาณเล็กน้อย หรือความผิดที่เกิดจากความประมาท ศาลจะกำหนดเงื่อนไขการควบคุมพฤติกรรม เช่น การรายงานตัว การทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ หรือการเข้ารับการบำบัดรักษา ตัวอย่าง: คดีที่จำเลยกระทำผิดฐานเสพยาเสพติด ศาลพิจารณาว่าจำเลยไม่มีประวัติต้องโทษและแสดงความสำนึกผิด จึงรอการลงโทษจำคุก 1 ปี พร้อมกำหนดให้จำเลยรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ 4 ครั้ง และทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 12 ชั่วโมง ข้อควรระวังในการใช้มาตรา 56 1.การตรวจสอบพฤติกรรมผู้กระทำผิด เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องติดตามและรายงานผลการปฏิบัติตามเงื่อนไขของผู้กระทำผิดอย่างใกล้ชิด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้กระทำผิดปฏิบัติตามคำสั่งของศาลอย่างเคร่งครัด 2.การประเมินผลกระทบต่อสังคม การรอการลงโทษจำคุกต้องพิจารณาผลกระทบต่อสังคม โดยเฉพาะในกรณีที่ผู้กระทำผิดมีโอกาสกระทำผิดซ้ำ บทสรุป มาตรา 56 เป็นตัวอย่างของการใช้กฎหมายอย่างยืดหยุ่นและคำนึงถึงผลประโยชน์ของทุกฝ่าย โดยเฉพาะในกรณีที่การลงโทษจำคุกอาจไม่เหมาะสมหรือไม่เกิดผลดีในระยะยาว การกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมช่วยให้ผู้กระทำผิดมีโอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดี ขณะเดียวกันก็รักษาความสงบเรียบร้อยของสังคมได้อย่างสมดุล ***มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุก: การสร้างโอกาสให้ผู้กระทำผิดกลับตัว ความหมายและความสำคัญของมาตรการควบคุมพฤติกรรม มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุกเป็นกลไกที่ศาลสามารถใช้เพื่อสร้างโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้แก้ไขพฤติกรรม โดยไม่ต้องเข้าสู่กระบวนการจำคุกในเรือนจำ มาตรการนี้มีบทบาทสำคัญในการลดภาระของระบบเรือนจำ และสนับสนุนให้ผู้กระทำผิดสามารถกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างมีคุณภาพ หลักการของมาตรการควบคุมพฤติกรรม มาตรการควบคุมพฤติกรรมมุ่งเน้นการให้ผู้กระทำผิดเรียนรู้จากผลของการกระทำผิด และป้องกันการกระทำผิดซ้ำ โดยผ่านเงื่อนไขที่ศาลกำหนด เช่น การรายงานตัว การทำกิจกรรมบริการสังคม การเข้ารับการบำบัด หรือการจำกัดการกระทำบางอย่าง เงื่อนไขเหล่านี้ออกแบบมาเพื่อปรับปรุงพฤติกรรมและสร้างความรับผิดชอบต่อสังคม ประเภทของมาตรการควบคุมพฤติกรรม 1.การรายงานตัวต่อเจ้าหน้าที่ ผู้กระทำผิดต้องรายงานตัวตามกำหนดเวลาเพื่อให้เจ้าหน้าที่ติดตามความคืบหน้าของการปรับปรุงพฤติกรรม 2.การทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ ผู้กระทำผิดจะต้องปฏิบัติหน้าที่เพื่อสังคม เช่น การทำงานในชุมชน การช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส หรือการร่วมกิจกรรมที่ส่งผลดีต่อส่วนรวม 3.การเข้ารับการบำบัดฟื้นฟู ในกรณีที่ความผิดเกี่ยวข้องกับปัญหาสุขภาพจิตหรือการเสพสารเสพติด ผู้กระทำผิดอาจถูกกำหนดให้เข้ารับการบำบัดหรือการรักษาภายใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญ 4.การจำกัดพฤติกรรมบางประการ ศาลอาจกำหนดข้อห้าม เช่น การห้ามเข้าใกล้บุคคลหรือสถานที่บางแห่ง หรือการห้ามกระทำการใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การกระทำผิดซ้ำ กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับมาตรการควบคุมพฤติกรรม 1.ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ให้ศาลใช้ดุลพินิจในการรอการลงโทษจำคุก พร้อมกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรม 2.ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 166 เปิดทางให้ศาลกำหนดเงื่อนไขควบคุมพฤติกรรมแทนการลงโทษจำคุกสำหรับความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ข้อดีของมาตรการควบคุมพฤติกรรม 1.ลดภาระของเรือนจำ: ลดจำนวนผู้ต้องขังในเรือนจำ ทำให้สามารถจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2.ส่งเสริมการฟื้นฟู: ผู้กระทำผิดได้รับโอกาสในการกลับตัวและเรียนรู้ที่จะรับผิดชอบต่อสังคม 3.ลดการกระทำผิดซ้ำ: การควบคุมพฤติกรรมช่วยให้ผู้กระทำผิดมีความตระหนักและหลีกเลี่ยงการกระทำผิดซ้ำ 4.ส่งเสริมสังคมที่ยั่งยืน: มาตรการนี้ช่วยสร้างสังคมที่ให้โอกาสและความเข้าใจแก่ผู้ที่เคยกระทำผิด ตัวอย่างกรณีการใช้มาตรการควบคุมพฤติกรรม ในกรณีที่ผู้กระทำผิดเป็นเยาวชนที่กระทำความผิดเกี่ยวกับการเสพยาเสพติด ศาลอาจกำหนดให้รายงานตัวทุกเดือน พร้อมทั้งเข้ารับการบำบัดรักษา และทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์เป็นเวลา 20 ชั่วโมง การกำหนดมาตรการนี้ช่วยให้เยาวชนเรียนรู้จากการกระทำผิดโดยไม่ต้องเข้าสู่ระบบเรือนจำ บทสรุป มาตรการควบคุมพฤติกรรมแทนโทษจำคุกสะท้อนถึงความยืดหยุ่นของกฎหมายในการจัดการคดีความผิดเล็กน้อยหรือผู้กระทำผิดที่แสดงศักยภาพในการกลับตัว การใช้มาตรการนี้ไม่เพียงช่วยลดภาระของระบบเรือนจำ แต่ยังสร้างโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้เรียนรู้และพัฒนาตนเอง เพื่อกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของสังคมได้อย่างยั่งยืน
|