
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568: การเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบกับกระบวนการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคโควิด-19 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568: การเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบกับกระบวนการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคโควิด-19 🧭 บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษจำเลยในคดียาเสพติด เนื่องจากเคยต้องโทษมาก่อนและกลับมากระทำความผิดซ้ำภายใน 5 ปี ศาลได้พิจารณาว่าการยื่นคำร้องขอเพิ่มโทษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์โควิด-19 สามารถถือเป็นการยื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้จัดพิมพ์เอกสารเข้าสู่สำนวนก็ตาม ประเด็นสำคัญยังรวมถึงการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการไม่ย้อนสำนวน และไม่ให้รอการลงโทษจำคุกในคดีร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด
บทความย่อ: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568 ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์มิได้ขอเพิ่มโทษจำเลยในฟ้องเดิม แต่ต่อมาเมื่อได้ข้อมูลใหม่ว่า จำเลยเคยต้องโทษคดียาเสพติดและกลับมากระทำผิดอีกภายใน 5 ปี จึงได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางช่วงโควิด-19 ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นมิได้จัดพิมพ์เอกสารคำร้องเข้าสู่สำนวน แต่มีหลักฐานแสดงว่าได้ยื่นจริง ถือว่าเป็นการยื่นโดยชอบ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษโดยไม่ต้องย้อนสำนวน จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรม และเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 ข้อเรียกร้องของจำเลยที่ขอรอการลงโทษจำคุก ศาลไม่อาจอนุญาตได้ เพราะจำเลยเคยต้องโทษในคดีร้ายแรง ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 56 ส่วนประเด็นเรื่องไม่ลงโทษปรับในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ศาลเห็นว่ากฎหมายเก่าและใหม่ต่างก็บัญญัติให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับเสมอ ศาลอุทธรณ์ที่ไม่ลงโทษปรับจึงไม่ชอบ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาแก้ให้ลงโทษเพิ่มเติมได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 และ 225 ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
⚖️ ข้อเท็จจริงของคดี จำเลยกระทำความผิดฐานเสพและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยเคยถูกลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในคดียาเสพติดเมื่อปี 2557 และพ้นโทษในปี 2559 ต่อมากระทำความผิดอีกภายใน 5 ปี ในคดีนี้ โจทก์ไม่ได้กล่าวขอเพิ่มโทษในฟ้องเดิม แต่ต่อมาเมื่อได้ข้อมูลใหม่ จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องโดยส่งเอกสารทางแอปพลิเคชันไลน์เข้าสู่กลุ่มที่ศาลสร้างไว้เป็นการเฉพาะในช่วงโควิด-19
🧑⚖️ คำพิพากษาศาลฎีกา •ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 โดยเห็นว่า *การยื่นคำร้องเพิ่มเติมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นการชอบด้วยกฎหมาย *แม้ศาลชั้นต้นจะไม่จัดพิมพ์คำร้องเข้าสู่สำนวน แต่จำเลยไม่คัดค้าน และมีหลักฐานการยื่นชัดเจน *ศาลอุทธรณ์สามารถไม่ย้อนสำนวน และวินิจฉัยเพิ่มโทษเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) •ศาลไม่อนุญาตให้รอการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษในคดีร้ายแรงมาก่อน •ศาลเห็นว่าความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับตามกฎหมายพิเศษ (แม้กฎหมายใหม่จะมีบทลงโทษปรับปรุงแล้วก็ตาม) แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกา จึงไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้
📚 ประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญ 1. การยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องทางอิเล็กทรอนิกส์ คำพิพากษานี้ยืนยันว่า ในสถานการณ์พิเศษ เช่น การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การยื่นคำร้องโดยใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Line กลุ่ม "ฟ้องอัยการ" ที่ศาลตั้งขึ้น ถือเป็นการยื่นโดยชอบ แม้จะไม่มีเอกสารสิ่งพิมพ์เข้าสู่สำนวน แต่หากมีพยานหลักฐานแสดงชัด ย่อมถือว่ายื่นฟ้องได้ถูกต้อง 2. อำนาจศาลอุทธรณ์ในการไม่ย้อนสำนวน ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ศาลอุทธรณ์มีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้น แม้กระบวนพิจารณาไม่ชอบ หากเห็นว่าไม่จำเป็น ทั้งยังเร่งให้คดีเสร็จเร็วขึ้น และไม่กระทบต่อความยุติธรรม 3. การไม่ให้รอการลงโทษ หากจำเลยเคยต้องโทษในคดีร้ายแรงมาก่อน แม้โทษในคดีใหม่จะไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่สามารถรอการลงโทษได้ตาม ป.อ. มาตรา 56 4. ต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับในคดียาเสพติด ตามกฎหมายเดิมและใหม่เกี่ยวกับยาเสพติด เช่น พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 100/1 และ ป.ก.ยาเสพติด มาตรา 152 ศาลต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับเสมอ แม้จะมีดุลพินิจลดโทษก็ต้องลงโทษทั้งสองประเภท ไม่อาจอาศัยมาตรา 20 แห่ง ป.อ. เพื่อละเว้นโทษปรับได้
💡 ข้อคิดทางกฎหมายจากคำพิพากษานี้ •การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการยุติธรรมต้องมีการรับรองทางกฎหมายอย่างชัดเจน และคำพิพากษานี้สนับสนุนแนวทางดังกล่าวโดยถือว่าเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ยื่นโดยชอบ •ศาลใช้ดุลพินิจโดยยึดหลักประสิทธิภาพและความยุติธรรมร่วมกัน ไม่ยึดติดกับรูปแบบจนกระทบสิทธิของคู่ความ •คดีอาญาโดยเฉพาะคดียาเสพติดยังต้องถือกฎหมายพิเศษที่มีบทบัญญัติเฉพาะเป็นหลัก แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือมีข้อที่เป็นคุณแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568 การขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 159 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 คือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้อง ถ้ามิได้ขอเพิ่มโทษมาในฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้ แม้คดีนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เพิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีก่อนของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 635/2557 ของศาลชั้นต้น และพ้นโทษเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเพิ่มโทษแก่จำเลย โดยแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นไฟล์ประเภท PDF/A "คำร้องขอแก้ไขฟ้อง ช., pdf" มีขนาดไฟล์ไม่เกินข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความ และเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 แล้วจัดส่งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์เข้ากลุ่มไลน์ที่ศาลชั้นต้นสร้างขึ้น ใช้ชื่อกลุ่ม "ฟ้องอัยการ" แทนการยื่นต้นฉบับและสำเนาต่อศาล อันเป็นแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการกับศาลชั้นต้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยโจทก์ได้จัดส่งคำร้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 15.30 นาฬิกา แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 จะไม่ปรากฏว่ามีการจัดทำสิ่งพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องออกจากระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สำนวนคดี แต่โจทก์ก็มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องผ่านทางระบบแอปพลิเคชันไลน์ อันเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของศาลชั้นต้นในการติดต่อประสานงาน การยื่น ส่ง และรับเอกสารในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สอดคล้องกับคำแนะนำของประธานศาลฎีกา เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 ที่ให้ศาลส่งเสริมคู่ความในการยื่น ส่ง และรับคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดการเดินทางมาศาล และติดต่อราชการของประชาชน และเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ข้อ 3 และประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้ว ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเพื่อให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยเข้ามาโดยชอบตามบทบัญญัติข้างต้นแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะหลงลืมไม่ได้จัดพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวเข้าสู่สำนวน และยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้องอันเป็นกระบวนพิจารณาที่มิชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากรายงานการสืบเสาะและพินิจว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน และหลังจากพ้นโทษแล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พ้นโทษ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้แก้อุทธรณ์โต้เถียงในข้อนี้ จึงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาก่อน และกระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษจริง ดังนั้น แม้กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด ฯ มาตรา 3 ก็ตาม แต่บทบัญญัตินี้มิได้บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ทุกคดีเสมอไป เนื่องจากกฎหมายใช้คำว่า "ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็น..." เท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้เพิ่มโทษจำเลยเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และกรณีมีเหตุต้องเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายจริง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ โดยใช้อำนาจของศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไปเสียทีเดียว อันเป็นการอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องโดยปริยายนั่นเอง จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรมแต่อย่างใด และทำให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วอีกด้วย
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน กระเป๋าสะพาย 1 ใบ และอุปกรณ์เสพยาเสพติดให้โทษ 1 ชุด ของกลาง จำเลยให้การรับสารภาพ ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคหนึ่ง, 162 ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง (ที่ถูก ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน) จำคุก 3 เดือน และปรับ 20,000 บาท รวมจำคุก 4 เดือน และปรับ 22,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน 15 วัน (ที่ถูก 2 เดือน) และปรับ 11,000 บาท โทษจำคุกและโทษปรับรอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบของกลาง โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 1 เดือน 10 วัน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 20 วัน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 2 เดือน 20 วัน ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่คุมความประพฤติของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า การขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 คือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้อง ถ้ามิได้ขอเพิ่มโทษมาในฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้ แม้คดีนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เพิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีก่อนของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 635/2557 ของศาลชั้นต้น และพ้นโทษเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเพิ่มโทษแก่จำเลย โดยแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นไฟล์ประเภท PDF/A ชื่อไฟล์ว่า "คำร้องขอแก้ไขฟ้อง นายชโยดม, pdf" มีขนาดไฟล์ไม่เกินข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความ และเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 แล้วจัดส่งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์เข้ากลุ่มไลน์ที่ศาลชั้นต้นสร้างขึ้น ใช้ชื่อกลุ่ม "ฟ้องอัยการ" แทนการยื่นต้นฉบับและสำเนาต่อศาล อันเป็นแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการกับศาลชั้นต้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยโจทก์ได้จัดส่งคำร้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 15.30 นาฬิกา แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 จะไม่ปรากฏว่ามีการจัดทำสิ่งพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องออกจากระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำเข้าสู่สำนวนคดี แต่โจทก์ก็มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องผ่านทางระบบแอปพลิเคชันไลน์ อันเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของศาลชั้นต้นในการติดต่อประสานงาน การยื่น ส่ง และรับเอกสารในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สอดคล้องกับคำแนะนำของประธานศาลฎีกา เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 ที่ให้ศาลส่งเสริมคู่ความในการยื่น ส่ง และรับคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดการเดินทางมาศาล และติดต่อราชการของประชาชน และเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ข้อ 3 และประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้ว ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเพื่อให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยเข้ามาโดยชอบตามบทบัญญัติข้างต้นแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะหลงลืมไม่ได้จัดพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวเข้าสู่สำนวน และยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้อง อันเป็นกระบวนพิจารณาที่มิชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากรายงานการสืบเสาะและพินิจว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน และหลังจากพ้นโทษแล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้แก้อุทธรณ์โต้เถียงในข้อนี้ จึงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาก่อน และกระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษจริง ดังนั้น แม้กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ก็ตาม แต่บทบัญญัตินี้มิได้บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ทุกคดีเสมอไป เนื่องจากกฎหมายใช้คำว่า "ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็น..." เท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้เพิ่มโทษจำเลยเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และกรณีมีเหตุต้องเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายจริง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ โดยใช้อำนาจของศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไปเสียทีเดียว อันเป็นการอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องโดยปริยายนั่นเอง จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรมแต่อย่างใด และทำให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น
ส่วนที่จำเลยฎีกาประการต่อมาขอให้รอการลงโทษจำคุก นั้น เห็นว่า แม้โทษของจำเลยแต่ละกระทงเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ซึ่งมิใช่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน
อนึ่ง เมทแอมเฟตามีนของกลางคดีนี้มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.497 กรัม ขณะเกิดเหตุต้องด้วยบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท โดยมาตรา 100/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ..." แม้ในระหว่างพิจารณาได้มีการยกเลิกกฎหมายเดิมโดยให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแทนกฎหมายเดิม และความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายถือเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยคดีนี้ต้องปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท โดยมาตรา 152 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา 100/1 ของกฎหมายเดิมว่า "ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตามประมวลกฎหมายนี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ..." ดังนี้ เมื่อความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มีทั้งโทษจำคุกและปรับทำนองเดียวกับมาตรา 66 วรรคสอง ของกฎหมายเดิม ศาลจึงต้องลงโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานนี้ทั้งจำคุกและปรับด้วย แม้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 100/2 ของกฎหมายเดิม ซึ่งเป็นคุณกว่ามาตรา 153 ของกฎหมายใหม่ได้ ก็ยังจำต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยเสมอ เพราะเป็นกฎหมายพิเศษในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อไม่ลงโทษปรับจำเลยได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ลงโทษปรับจำเลยสำหรับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3พิพากษายืน
หลักกฎหมายที่เป็นหัวใจของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568 คือ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 และ มาตรา 208 (2) ประกอบกับ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 รวมถึง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56, 92, 100/1, 100/2, 212 และ 225 ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษ, การรอการลงโทษ และการห้ามพิพากษาเกินคำขอ
🔎 ขยายความหลักกฎหมายสำคัญ 📌 1. ป.วิ.อ. มาตรา 159 – การเพิ่มเติมฟ้อง “ในระหว่างการพิจารณา หากโจทก์ประสงค์จะเพิ่มเติมฟ้อง ต้องยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมต่อศาลก่อนมีคำพิพากษา และศาลต้องมีคำสั่งอนุญาตเสียก่อน” ประเด็นสำคัญ: การจะขอเพิ่มโทษจำเลย เช่น ฐานกระทำผิดซ้ำซากหรือไม่เข็ดหลาบ ต้องมีการกล่าวไว้ในฟ้องแต่ต้น หรือหากได้ข้อมูลใหม่ในภายหลัง ก็ต้องขออนุญาตศาลเพิ่มเติมฟ้องอย่างเป็นทางการ ตัวอย่างประกอบ: หากโจทก์ทราบหลังยื่นฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษในคดียาเสพติด และมากระทำผิดอีกภายใน 5 ปี ต้องรีบยื่นคำร้องต่อศาลขอเพิ่มเติมฟ้องให้ลงโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย หากทำก่อนศาลพิพากษา และศาลอนุญาต ก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย
📌 2. ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) – อำนาจศาลอุทธรณ์กรณีกระบวนพิจารณาไม่ชอบ “ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่ากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจพิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ หากเห็นเป็นการจำเป็น” ประเด็นสำคัญ: แม้กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจะไม่ชอบ เช่น ลืมอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนเสมอไป หากเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นพิพาท และข้อเท็จจริงชัดเจน ก็สามารถพิพากษาเองได้ ตัวอย่างประกอบ: ในคดีนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ออกคำสั่งอนุญาตโจทก์เพิ่มเติมฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อโจทก์มีหลักฐานว่าได้ยื่นผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางศาล และจำเลยไม่ได้คัดค้าน ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษเองได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวน
📌 3. ป.อ. มาตรา 56 – หลักการรอการลงโทษ “ในกรณีที่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และไม่มีเหตุร้ายแรง ศาลอาจรอการลงโทษไว้ได้” ข้อยกเว้น: ห้ามรอการลงโทษหากจำเลยเคยต้องโทษในคดีอุกฉกรรจ์มาก่อน เช่น ยาเสพติด หรือคดีร้ายแรงอื่น ๆ ตัวอย่างประกอบ: แม้จำเลยในคดีนี้จะถูกลงโทษจำคุกเพียง 2 เดือนเศษ แต่ศาลไม่อาจรอการลงโทษได้ เพราะเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือนในคดียาเสพติดมาก่อน
📌 4. ป.อ. มาตรา 100/1 และ มาตรา 152 (ตามกฎหมายยาเสพติด) “ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีโทษจำคุกและปรับ ศาลต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยเสมอ” ประเด็นสำคัญ: คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมีบทบัญญัติพิเศษ ไม่สามารถอ้างกฎหมายทั่วไป เช่น ป.อ. มาตรา 20 เพื่อละเว้นโทษปรับได้ ตัวอย่างประกอบ: แม้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่ปรับในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการไม่ปรับเป็นการไม่ชอบ เพียงแต่ศาลฎีกาไม่สามารถแก้ให้ลงโทษเพิ่มเติมได้ เพราะไม่มีฎีกาจากโจทก์
📌 5. ป.วิ.อ. มาตรา 212 และ 225 – ห้ามศาลพิพากษาเกินกว่าที่คู่ความขอ “ห้ามศาลพิพากษาให้จำเลยต้องรับโทษหนักกว่าที่คู่ความขอไว้ เว้นแต่เป็นข้อกฎหมายเพื่อประโยชน์ของจำเลย” ตัวอย่าง: แม้ศาลฎีกาเห็นว่าควรลงโทษปรับจำเลยเพิ่มเติม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้
✍️ สรุปความสำคัญ คำพิพากษานี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินกระบวนการยุติธรรมให้ครบถ้วนตามขั้นตอนกฎหมาย โดยเปิดรับวิธีปฏิบัติใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์พิเศษ ขณะเดียวกันยังคงรักษาหลักการในกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาไว้อย่างเคร่งครัด
📌 IRAC: กรอบวิเคราะห์ฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568 Issue (ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย) ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยตามคำร้องที่ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ก่อนพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และจำเลยมีสิทธิขอรอการลงโทษจำคุกหรือไม่ Rule (หลักกฎหมาย) •ป.วิ.อ. มาตรา 159, 208 •ป.อ. มาตรา 56, 92, 91, 78 •พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/1 •ป.ก.ยาเสพติด มาตรา 145, 152, 153 •ป.วิ.อ. มาตรา 212, 225 Application (การวินิจฉัยข้อเท็จจริง) •โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องทางไลน์ตามแนวปฏิบัติช่วงโควิด-19 ซึ่งศาลยอมรับว่าเป็นการยื่นโดยชอบ •จำเลยไม่ได้คัดค้าน และข้อเท็จจริงยืนยันว่ากระทำผิดซ้ำภายใน 5 ปี •ศาลอุทธรณ์ไม่ย้อนสำนวน โดยวินิจฉัยและเพิ่มโทษตามอำนาจ •จำเลยไม่มีสิทธิรอการลงโทษ เนื่องจากเคยต้องโทษในคดีร้ายแรง Conclusion (บทสรุป) ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่เพิ่มโทษจำเลย และไม่ให้รอการลงโทษ เพราะกระบวนการยื่นคำร้องถือว่าชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยไม่มีสิทธิตามหลักกฎหมายพิเศษในคดียาเสพติด
|