ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568: การเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบกับกระบวนการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคโควิด-19

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568: การเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบกับกระบวนการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคโควิด-19

🧭 บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษจำเลยในคดียาเสพติด เนื่องจากเคยต้องโทษมาก่อนและกลับมากระทำความผิดซ้ำภายใน 5 ปี ศาลได้พิจารณาว่าการยื่นคำร้องขอเพิ่มโทษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์โควิด-19 สามารถถือเป็นการยื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้จัดพิมพ์เอกสารเข้าสู่สำนวนก็ตาม ประเด็นสำคัญยังรวมถึงการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการไม่ย้อนสำนวน และไม่ให้รอการลงโทษจำคุกในคดีร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด


บทความย่อ: คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้โจทก์มิได้ขอเพิ่มโทษจำเลยในฟ้องเดิม แต่ต่อมาเมื่อได้ข้อมูลใหม่ว่า จำเลยเคยต้องโทษคดียาเสพติดและกลับมากระทำผิดอีกภายใน 5 ปี จึงได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางช่วงโควิด-19 ซึ่งแม้ศาลชั้นต้นมิได้จัดพิมพ์เอกสารคำร้องเข้าสู่สำนวน แต่มีหลักฐานแสดงว่าได้ยื่นจริง ถือว่าเป็นการยื่นโดยชอบ ศาลอุทธรณ์มีอำนาจพิพากษาเพิ่มโทษโดยไม่ต้องย้อนสำนวน จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรม และเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208

ข้อเรียกร้องของจำเลยที่ขอรอการลงโทษจำคุก ศาลไม่อาจอนุญาตได้ เพราะจำเลยเคยต้องโทษในคดีร้ายแรง ไม่เข้าหลักเกณฑ์ตาม ป.อ. มาตรา 56

ส่วนประเด็นเรื่องไม่ลงโทษปรับในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ศาลเห็นว่ากฎหมายเก่าและใหม่ต่างก็บัญญัติให้ลงโทษทั้งจำคุกและปรับเสมอ ศาลอุทธรณ์ที่ไม่ลงโทษปรับจึงไม่ชอบ แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาแก้ให้ลงโทษเพิ่มเติมได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 212 และ 225

ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์


⚖️ ข้อเท็จจริงของคดี

จำเลยกระทำความผิดฐานเสพและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยเคยถูกลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในคดียาเสพติดเมื่อปี 2557 และพ้นโทษในปี 2559 ต่อมากระทำความผิดอีกภายใน 5 ปี

ในคดีนี้ โจทก์ไม่ได้กล่าวขอเพิ่มโทษในฟ้องเดิม แต่ต่อมาเมื่อได้ข้อมูลใหม่ จึงยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องโดยส่งเอกสารทางแอปพลิเคชันไลน์เข้าสู่กลุ่มที่ศาลสร้างไว้เป็นการเฉพาะในช่วงโควิด-19


🧑‍⚖️ คำพิพากษาศาลฎีกา

•ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตาม ป.อ. มาตรา 92 โดยเห็นว่า

*การยื่นคำร้องเพิ่มเติมผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์เป็นการชอบด้วยกฎหมาย

*แม้ศาลชั้นต้นจะไม่จัดพิมพ์คำร้องเข้าสู่สำนวน แต่จำเลยไม่คัดค้าน และมีหลักฐานการยื่นชัดเจน

*ศาลอุทธรณ์สามารถไม่ย้อนสำนวน และวินิจฉัยเพิ่มโทษเองได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2)

•ศาลไม่อนุญาตให้รอการลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 56 เนื่องจากจำเลยเคยต้องโทษในคดีร้ายแรงมาก่อน

•ศาลเห็นว่าความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับตามกฎหมายพิเศษ (แม้กฎหมายใหม่จะมีบทลงโทษปรับปรุงแล้วก็ตาม) แต่เนื่องจากโจทก์มิได้ฎีกา จึงไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้


📚 ประเด็นทางกฎหมายที่สำคัญ

1. การยื่นคำร้องเพิ่มเติมฟ้องทางอิเล็กทรอนิกส์

คำพิพากษานี้ยืนยันว่า ในสถานการณ์พิเศษ เช่น การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 การยื่นคำร้องโดยใช้ช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ เช่น Line กลุ่ม "ฟ้องอัยการ" ที่ศาลตั้งขึ้น ถือเป็นการยื่นโดยชอบ แม้จะไม่มีเอกสารสิ่งพิมพ์เข้าสู่สำนวน แต่หากมีพยานหลักฐานแสดงชัด ย่อมถือว่ายื่นฟ้องได้ถูกต้อง

2. อำนาจศาลอุทธรณ์ในการไม่ย้อนสำนวน

ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ศาลอุทธรณ์มีอำนาจใช้ดุลพินิจไม่ย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้น แม้กระบวนพิจารณาไม่ชอบ หากเห็นว่าไม่จำเป็น ทั้งยังเร่งให้คดีเสร็จเร็วขึ้น และไม่กระทบต่อความยุติธรรม

3. การไม่ให้รอการลงโทษ

หากจำเลยเคยต้องโทษในคดีร้ายแรงมาก่อน แม้โทษในคดีใหม่จะไม่เกิน 5 ปี ก็ไม่สามารถรอการลงโทษได้ตาม ป.อ. มาตรา 56

4. ต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับในคดียาเสพติด

ตามกฎหมายเดิมและใหม่เกี่ยวกับยาเสพติด เช่น พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ มาตรา 100/1 และ ป.ก.ยาเสพติด มาตรา 152 ศาลต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับเสมอ แม้จะมีดุลพินิจลดโทษก็ต้องลงโทษทั้งสองประเภท ไม่อาจอาศัยมาตรา 20 แห่ง ป.อ. เพื่อละเว้นโทษปรับได้


💡 ข้อคิดทางกฎหมายจากคำพิพากษานี้

•การนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้กับกระบวนการยุติธรรมต้องมีการรับรองทางกฎหมายอย่างชัดเจน และคำพิพากษานี้สนับสนุนแนวทางดังกล่าวโดยถือว่าเอกสารอิเล็กทรอนิกส์ยื่นโดยชอบ

•ศาลใช้ดุลพินิจโดยยึดหลักประสิทธิภาพและความยุติธรรมร่วมกัน ไม่ยึดติดกับรูปแบบจนกระทบสิทธิของคู่ความ

•คดีอาญาโดยเฉพาะคดียาเสพติดยังต้องถือกฎหมายพิเศษที่มีบทบัญญัติเฉพาะเป็นหลัก แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหรือมีข้อที่เป็นคุณแก่จำเลย


คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568

การขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบต้องเป็นไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 159 ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 คือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้อง ถ้ามิได้ขอเพิ่มโทษมาในฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้ แม้คดีนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เพิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีก่อนของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 จำเลยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 635/2557 ของศาลชั้นต้น และพ้นโทษเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเพิ่มโทษแก่จำเลย โดยแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์เป็นไฟล์ประเภท PDF/A "คำร้องขอแก้ไขฟ้อง ช., pdf" มีขนาดไฟล์ไม่เกินข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความ และเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 แล้วจัดส่งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์เข้ากลุ่มไลน์ที่ศาลชั้นต้นสร้างขึ้น ใช้ชื่อกลุ่ม "ฟ้องอัยการ" แทนการยื่นต้นฉบับและสำเนาต่อศาล อันเป็นแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการกับศาลชั้นต้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยโจทก์ได้จัดส่งคำร้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 15.30 นาฬิกา แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 จะไม่ปรากฏว่ามีการจัดทำสิ่งพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องออกจากระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อเข้าสู่สำนวนคดี แต่โจทก์ก็มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องผ่านทางระบบแอปพลิเคชันไลน์ อันเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของศาลชั้นต้นในการติดต่อประสานงาน การยื่น ส่ง และรับเอกสารในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สอดคล้องกับคำแนะนำของประธานศาลฎีกา เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 ที่ให้ศาลส่งเสริมคู่ความในการยื่น ส่ง และรับคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดการเดินทางมาศาล และติดต่อราชการของประชาชน และเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ข้อ 3 และประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์ และวิธีการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้ว ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเพื่อให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยเข้ามาโดยชอบตามบทบัญญัติข้างต้นแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะหลงลืมไม่ได้จัดพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวเข้าสู่สำนวน และยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้องอันเป็นกระบวนพิจารณาที่มิชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากรายงานการสืบเสาะและพินิจว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน และหลังจากพ้นโทษแล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันที่พ้นโทษ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้แก้อุทธรณ์โต้เถียงในข้อนี้ จึงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาก่อน และกระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษจริง ดังนั้น แม้กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) ประกอบ พ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดียาเสพติด ฯ มาตรา 3 ก็ตาม แต่บทบัญญัตินี้มิได้บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ทุกคดีเสมอไป เนื่องจากกฎหมายใช้คำว่า "ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็น..." เท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้เพิ่มโทษจำเลยเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และกรณีมีเหตุต้องเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายจริง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ โดยใช้อำนาจของศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไปเสียทีเดียว อันเป็นการอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องโดยปริยายนั่นเอง จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรมแต่อย่างใด และทำให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วอีกด้วย


โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 57, 66, 91, 100/1, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 91 ริบเมทแอมเฟตามีน กระเป๋าสะพาย 1 ใบ และอุปกรณ์เสพยาเสพติดให้โทษ 1 ชุด ของกลาง

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 104, 145 วรรคหนึ่ง, 162 ประกอบพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/2 การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 1 เดือน และปรับ 2,000 บาท ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครอง (ที่ถูก ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน) จำคุก 3 เดือน และปรับ 20,000 บาท รวมจำคุก 4 เดือน และปรับ 22,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน 15 วัน (ที่ถูก 2 เดือน) และปรับ 11,000 บาท โทษจำคุกและโทษปรับรอการลงโทษไว้ 2 ปี คุมความประพฤติของจำเลยไว้ 1 ปี ให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร กับให้จำเลยกระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ริบของกลาง

โจทก์อุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษาแก้เป็นว่า เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 1 เดือน 10 วัน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานเสพเมทแอมเฟตามีน จำคุก 20 วัน ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 2 เดือน รวมจำคุก 2 เดือน 20 วัน ไม่ปรับ ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่คุมความประพฤติของจำเลย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา

ศาลฎีกาแผนกคดียาเสพติดวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นนี้ฟังเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานเสพเมทแอมเฟตามีน และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามฟ้อง คงมีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยชอบหรือไม่ เห็นว่า การขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบต้องเป็นไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 คือ โจทก์ต้องกล่าวมาในฟ้อง ถ้ามิได้ขอเพิ่มโทษมาในฟ้อง ก่อนมีคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์จะยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้อง เมื่อศาลเห็นสมควรจะอนุญาตก็ได้ แม้คดีนี้โจทก์ไม่ได้กล่าวมาในฟ้องขอให้เพิ่มโทษจำเลยฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบ แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า โจทก์เพิ่งได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำความผิดในคดีก่อนของจำเลยว่า เมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2557 จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ตามคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 635/2557 ของศาลชั้นต้น และพ้นโทษเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2559 แล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ โจทก์จึงยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องฉบับวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เพื่อให้ศาลชั้นต้นพิจารณาเพิ่มโทษแก่จำเลย โดยแปลงเอกสารและข้อความให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ เป็นไฟล์ประเภท PDF/A ชื่อไฟล์ว่า "คำร้องขอแก้ไขฟ้อง นายชโยดม, pdf" มีขนาดไฟล์ไม่เกินข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความ และเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. 2560 แล้วจัดส่งทางระบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทางแอปพลิเคชันไลน์เข้ากลุ่มไลน์ที่ศาลชั้นต้นสร้างขึ้น ใช้ชื่อกลุ่ม "ฟ้องอัยการ" แทนการยื่นต้นฉบับและสำเนาต่อศาล อันเป็นแนวทางการประสานงานระหว่างพนักงานอัยการกับศาลชั้นต้นในช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 โดยโจทก์ได้จัดส่งคำร้องเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2564 เวลา 15.30 นาฬิกา แม้ในวันที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2564 จะไม่ปรากฏว่ามีการจัดทำสิ่งพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องออกจากระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อนำเข้าสู่สำนวนคดี แต่โจทก์ก็มีหลักฐานมาแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าโจทก์ได้ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องผ่านทางระบบแอปพลิเคชันไลน์ อันเป็นการปฏิบัติตามแนวทางของศาลชั้นต้นในการติดต่อประสานงาน การยื่น ส่ง และรับเอกสารในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 สอดคล้องกับคำแนะนำของประธานศาลฎีกา เกี่ยวกับแนวปฏิบัติในสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ฉบับที่ 2 ที่ให้ศาลส่งเสริมคู่ความในการยื่น ส่ง และรับคำฟ้อง คำให้การ คำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์เพื่อลดการเดินทางมาศาล และติดต่อราชการของประชาชน และเป็นไปตามแนวทางที่กำหนดไว้ในข้อกำหนดของประธานศาลฎีกา ว่าด้วยการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2562 ข้อ 3 และประกาศสำนักงานศาลยุติธรรม เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการยื่น ส่ง และรับคำคู่ความและเอกสารทางระบบรับส่งอิเล็กทรอนิกส์ ลงวันที่ 8 ตุลาคม 2562 แล้ว ดังนี้ ต้องถือว่าโจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องเพื่อให้ศาลเพิ่มโทษจำเลยเข้ามาโดยชอบตามบทบัญญัติข้างต้นแล้ว แม้ศาลชั้นต้นจะหลงลืมไม่ได้จัดพิมพ์คำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องดังกล่าวเข้าสู่สำนวน และยังไม่ได้มีคำสั่งอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้อง อันเป็นกระบวนพิจารณาที่มิชอบ แต่เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏจากรายงานการสืบเสาะและพินิจว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน และหลังจากพ้นโทษแล้วมากระทำความผิดคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษ ซึ่งศาลชั้นต้นได้อ่านรายงานการสืบเสาะและพินิจให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยไม่ได้โต้แย้งคัดค้าน อีกทั้งในชั้นอุทธรณ์จำเลยก็ไม่ได้แก้อุทธรณ์โต้เถียงในข้อนี้ จึงฟังได้เป็นยุติว่า จำเลยเคยต้องโทษจำคุกในคดีดังกล่าวมาก่อน และกระทำความผิดในคดีนี้ขึ้นอีกภายในเวลา 5 ปี นับแต่วันพ้นโทษจริง ดังนั้น แม้กระบวนพิจารณาในส่วนนี้ของศาลชั้นต้นไม่ชอบ ซึ่งศาลอุทธรณ์มีอำนาจที่จะพิพากษาย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ตามรูปคดีได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 208 (2) ประกอบพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 ก็ตาม แต่บทบัญญัตินี้มิได้บังคับให้ศาลอุทธรณ์ต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ทุกคดีเสมอไป เนื่องจากกฎหมายใช้คำว่า "ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นเป็นการจำเป็น..." เท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องให้เพิ่มโทษจำเลยเข้ามาก่อนศาลชั้นต้นมีคำพิพากษา และกรณีมีเหตุต้องเพิ่มโทษจำเลยตามกฎหมายจริง การที่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นเป็นการจำเป็นที่จะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งและพิพากษาใหม่ โดยใช้อำนาจของศาลอุทธรณ์พิพากษาเพิ่มโทษจำเลยไปเสียทีเดียว อันเป็นการอนุญาตให้โจทก์เพิ่มเติมฟ้องโดยปริยายนั่นเอง จึงไม่กระทบต่อความยุติธรรมแต่อย่างใด และทำให้คดีเสร็จไปโดยรวดเร็วอีกด้วย ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้เพิ่มโทษจำเลยหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 จึงชอบแล้ว ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้น


ส่วนที่จำเลยฎีกาประการต่อมาขอให้รอการลงโทษจำคุก นั้น เห็นว่า แม้โทษของจำเลยแต่ละกระทงเป็นโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า จำเลยเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือน และปรับ 200,000 บาท ในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมาก่อน ซึ่งมิใช่เป็นความผิดที่ได้กระทำโดยประมาท หรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน จึงไม่อาจรอการลงโทษจำคุกในคดีนี้ให้แก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ได้ ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน


อนึ่ง เมทแอมเฟตามีนของกลางคดีนี้มีปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 0.497 กรัม ขณะเกิดเหตุต้องด้วยบทกำหนดโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 66 วรรคสอง มีระวางโทษจำคุกตั้งแต่สี่ปีถึงจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่สี่แสนบาทถึงห้าล้านบาท โดยมาตรา 100/1 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ..." แม้ในระหว่างพิจารณาได้มีการยกเลิกกฎหมายเดิมโดยให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดแทนกฎหมายเดิม และความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายถือเป็นความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน โดยคดีนี้ต้องปรับบทลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกินสิบห้าปี และปรับไม่เกินหนึ่งล้านห้าแสนบาท โดยมาตรา 152 วรรคหนึ่ง ก็บัญญัติไว้ทำนองเดียวกับมาตรา 100/1 ของกฎหมายเดิมว่า "ความผิดร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติดตามประมวลกฎหมายนี้ที่มีโทษจำคุกและปรับ ให้ศาลลงโทษจำคุกและปรับด้วยเสมอ..." ดังนี้ เมื่อความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 145 วรรคหนึ่ง มีทั้งโทษจำคุกและปรับทำนองเดียวกับมาตรา 66 วรรคสอง ของกฎหมายเดิม ศาลจึงต้องลงโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานนี้ทั้งจำคุกและปรับด้วย แม้ศาลสามารถใช้ดุลพินิจลงโทษจำเลยน้อยกว่าอัตราโทษขั้นต่ำของกฎหมาย โดยอาศัยอำนาจตามมาตรา 100/2 ของกฎหมายเดิม ซึ่งเป็นคุณกว่ามาตรา 153 ของกฎหมายใหม่ได้ ก็ยังจำต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยเสมอ เพราะเป็นกฎหมายพิเศษในคดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดซึ่งได้บัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจอาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 20 ซึ่งเป็นกฎหมายทั่วไปเพื่อไม่ลงโทษปรับจำเลยได้ ดังนั้น ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นไม่ลงโทษปรับจำเลยสำหรับความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จึงไม่ชอบ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโจทก์ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกาจึงไม่อาจพิพากษาแก้ให้ลงโทษปรับจำเลยในความผิดฐานนี้ได้ เพราะจะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ซึ่งต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212 ประกอบมาตรา 225 และพระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3พิพากษายืน


หลักกฎหมายที่เป็นหัวใจของคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568 คือ

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 159 และ มาตรา 208 (2) ประกอบกับ พระราชบัญญัติวิธีพิจารณาคดียาเสพติด พ.ศ. 2550 มาตรา 3 รวมถึง ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56, 92, 100/1, 100/2, 212 และ 225 ที่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษ, การรอการลงโทษ และการห้ามพิพากษาเกินคำขอ


🔎 ขยายความหลักกฎหมายสำคัญ

📌 1. ป.วิ.อ. มาตรา 159 – การเพิ่มเติมฟ้อง

“ในระหว่างการพิจารณา หากโจทก์ประสงค์จะเพิ่มเติมฟ้อง ต้องยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมต่อศาลก่อนมีคำพิพากษา และศาลต้องมีคำสั่งอนุญาตเสียก่อน”

ประเด็นสำคัญ:

การจะขอเพิ่มโทษจำเลย เช่น ฐานกระทำผิดซ้ำซากหรือไม่เข็ดหลาบ ต้องมีการกล่าวไว้ในฟ้องแต่ต้น หรือหากได้ข้อมูลใหม่ในภายหลัง ก็ต้องขออนุญาตศาลเพิ่มเติมฟ้องอย่างเป็นทางการ

ตัวอย่างประกอบ:

หากโจทก์ทราบหลังยื่นฟ้องว่า จำเลยเคยต้องโทษในคดียาเสพติด และมากระทำผิดอีกภายใน 5 ปี ต้องรีบยื่นคำร้องต่อศาลขอเพิ่มเติมฟ้องให้ลงโทษฐานไม่เข็ดหลาบด้วย หากทำก่อนศาลพิพากษา และศาลอนุญาต ก็ถือว่าชอบด้วยกฎหมาย


📌 2. ป.วิ.อ. มาตรา 208 (2) – อำนาจศาลอุทธรณ์กรณีกระบวนพิจารณาไม่ชอบ

“ถ้าศาลอุทธรณ์เห็นว่ากระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วยกฎหมาย อาจพิพากษาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยใหม่ หากเห็นเป็นการจำเป็น”

ประเด็นสำคัญ:

แม้กระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นจะไม่ชอบ เช่น ลืมอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้อง แต่ศาลอุทธรณ์ไม่จำเป็นต้องย้อนสำนวนเสมอไป หากเห็นว่าคดีไม่มีประเด็นพิพาท และข้อเท็จจริงชัดเจน ก็สามารถพิพากษาเองได้

ตัวอย่างประกอบ:

ในคดีนี้ แม้ศาลชั้นต้นจะไม่ได้ออกคำสั่งอนุญาตโจทก์เพิ่มเติมฟ้องเป็นลายลักษณ์อักษร แต่เมื่อโจทก์มีหลักฐานว่าได้ยื่นผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ตามแนวทางศาล และจำเลยไม่ได้คัดค้าน ศาลอุทธรณ์จึงพิพากษาเพิ่มโทษเองได้ โดยไม่ต้องย้อนสำนวน


📌 3. ป.อ. มาตรา 56 – หลักการรอการลงโทษ

“ในกรณีที่โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และไม่มีเหตุร้ายแรง ศาลอาจรอการลงโทษไว้ได้”

ข้อยกเว้น:

ห้ามรอการลงโทษหากจำเลยเคยต้องโทษในคดีอุกฉกรรจ์มาก่อน เช่น ยาเสพติด หรือคดีร้ายแรงอื่น ๆ

ตัวอย่างประกอบ:

แม้จำเลยในคดีนี้จะถูกลงโทษจำคุกเพียง 2 เดือนเศษ แต่ศาลไม่อาจรอการลงโทษได้ เพราะเคยต้องโทษจำคุก 4 ปี 4 เดือนในคดียาเสพติดมาก่อน


📌 4. ป.อ. มาตรา 100/1 และ มาตรา 152 (ตามกฎหมายยาเสพติด)

“ในความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดที่มีโทษจำคุกและปรับ ศาลต้องลงโทษทั้งจำคุกและปรับด้วยเสมอ”

ประเด็นสำคัญ:

คดีความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดมีบทบัญญัติพิเศษ ไม่สามารถอ้างกฎหมายทั่วไป เช่น ป.อ. มาตรา 20 เพื่อละเว้นโทษปรับได้

ตัวอย่างประกอบ:

แม้ศาลอุทธรณ์จะลงโทษจำคุกจำเลยโดยไม่ปรับในความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการไม่ปรับเป็นการไม่ชอบ เพียงแต่ศาลฎีกาไม่สามารถแก้ให้ลงโทษเพิ่มเติมได้ เพราะไม่มีฎีกาจากโจทก์


📌 5. ป.วิ.อ. มาตรา 212 และ 225 – ห้ามศาลพิพากษาเกินกว่าที่คู่ความขอ

“ห้ามศาลพิพากษาให้จำเลยต้องรับโทษหนักกว่าที่คู่ความขอไว้ เว้นแต่เป็นข้อกฎหมายเพื่อประโยชน์ของจำเลย”

ตัวอย่าง:

แม้ศาลฎีกาเห็นว่าควรลงโทษปรับจำเลยเพิ่มเติม แต่เมื่อโจทก์มิได้ฎีกา ศาลจึงไม่อาจพิพากษาเพิ่มเติมโทษจำเลยได้


✍️ สรุปความสำคัญ

คำพิพากษานี้แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการดำเนินกระบวนการยุติธรรมให้ครบถ้วนตามขั้นตอนกฎหมาย โดยเปิดรับวิธีปฏิบัติใหม่ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์พิเศษ ขณะเดียวกันยังคงรักษาหลักการในกฎหมายอาญาและวิธีพิจารณาความอาญาไว้อย่างเคร่งครัด


📌 IRAC: กรอบวิเคราะห์ฎีกา คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568

Issue (ปัญหาที่ต้องวินิจฉัย)

ศาลอุทธรณ์มีอำนาจเพิ่มโทษจำเลยตามคำร้องที่ยื่นทางอิเล็กทรอนิกส์ก่อนพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ และจำเลยมีสิทธิขอรอการลงโทษจำคุกหรือไม่

Rule (หลักกฎหมาย)

•ป.วิ.อ. มาตรา 159, 208

•ป.อ. มาตรา 56, 92, 91, 78

•พ.ร.บ.ยาเสพติดฯ พ.ศ. 2522 มาตรา 100/1

•ป.ก.ยาเสพติด มาตรา 145, 152, 153

•ป.วิ.อ. มาตรา 212, 225

Application (การวินิจฉัยข้อเท็จจริง)

•โจทก์ยื่นคำร้องขอเพิ่มเติมฟ้องทางไลน์ตามแนวปฏิบัติช่วงโควิด-19 ซึ่งศาลยอมรับว่าเป็นการยื่นโดยชอบ

•จำเลยไม่ได้คัดค้าน และข้อเท็จจริงยืนยันว่ากระทำผิดซ้ำภายใน 5 ปี

•ศาลอุทธรณ์ไม่ย้อนสำนวน โดยวินิจฉัยและเพิ่มโทษตามอำนาจ

•จำเลยไม่มีสิทธิรอการลงโทษ เนื่องจากเคยต้องโทษในคดีร้ายแรง

Conclusion (บทสรุป)

ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ที่เพิ่มโทษจำเลย และไม่ให้รอการลงโทษ เพราะกระบวนการยื่นคำร้องถือว่าชอบด้วยกฎหมาย และจำเลยไม่มีสิทธิตามหลักกฎหมายพิเศษในคดียาเสพติด

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 33/2568: การเพิ่มโทษฐานกระทำความผิดไม่เข็ดหลาบกับกระบวนการยื่นคำร้องทางอิเล็กทรอนิกส์ในยุคโควิด-19 🧭 บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการเพิ่มโทษจำเลยในคดียาเสพติด เนื่องจากเคยต้องโทษมาก่อนและกลับมากระทำความผิดซ้ำภายใน 5 ปี ศาลได้พิจารณาว่าการยื่นคำร้องขอเพิ่มโทษผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ในสถานการณ์โควิด-19 สามารถถือเป็นการยื่นโดยชอบด้วยกฎหมาย แม้ศาลชั้นต้นจะมิได้จัดพิมพ์เอกสารเข้าสู่สำนวนก็ตาม ประเด็นสำคัญยังรวมถึงการใช้ดุลพินิจของศาลอุทธรณ์ในการไม่ย้อนสำนวน และไม่ให้รอการลงโทษจำคุกในคดีร้ายแรงเกี่ยวกับยาเสพติด




คดียาเสพติดให้โทษ

(ฎีกา 2682/2567) – คดียาเสพติด ผู้สนับสนุนการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 4302/2567 : การอุทธรณ์คดียาเสพติดและหลักกฎหมายที่เป็นคุณแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 434/2568: กำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายภายหลังที่เป็นคุณแก่จำเลยในคดียาเสพติด
ศาลฎีกากำหนดโทษใหม่จำเลยคดียาเสพติดตามกฎหมายใหม่ – คำพิพากษาฎีกาที่ 875/2568
บทลงโทษผู้เสพยาเสพติด, เพิ่มโทษจำคุกหนึ่งในสามตามมาตรา 92, รอการลงโทษจำคุกตามมาตรา 56,
การกำหนดโทษใหม่ในคดียาเสพติด, เปิดบัญชีรับเงินค่ายาเสพติด, ความผิดฐานสมคบ
คดีถึงที่สุดแล้วเรือนจำเป็นภูมิลำเนาของจำเลย, ภูมิลำเนาผู้ต้องขัง, การส่งสำเนาอุทธรณ์ผิดที่
มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม
สมคบเพื่อการค้ายาเสพติด มีโทษอย่างไร
เหตุอันสมควรเป็นการเฉพาะรายลงโทษน้อยกว่าอัตราโทษที่กฎหมายกำหนดไว้
ธนบัตรที่นำไปล่อซื้อยาเสพติดไม่ใช่สาระสำคัญถึงกับมีข้อสงสัยยกฟ้อง
คำว่า จำหน่าย ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ
ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย | ผิดกรรมเดียว
รับฝากยาบ้า 4.013 เม็ด ถูกจำคุก 22 ปี
ริบทรัพย์สินเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ เมทแอมเฟตามีน 75 เม็ด
ครอบครองยาบ้า 584 เม็ด รับสารภาพจำคุก 25 ปี
ยาเสพติดให้โทษ 600 เม็ด จำคุก 20 ปี
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาเสพติดให้โทษ 750 เม็ด โทษ 20 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 778 เม็ด จำคุก 25 ปี article
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 1,200 เม็ด จำคุก 18 ปี
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ 2,374 เม็ด
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า (เมทแอมเฟตามีน) 3,017 เม็ด
เมทแอมเฟตามีน 5,290 เม็ด จำคุก 20 ปี
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า 12,000 เม็ด จำคุก 33 ปี 9 เดือน
ให้บัญชีธนาคารคนอื่นใช้โอนเงินค่ายาเสพติดโทษเท่ากันกับตัวการ
ขอลดโทษคดียาเสพติดตามมาตรา 100/2
การกำหนดโทษใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง
พยานบอกเล่ามีน้ำหนักน้อยยกประโยชน์ แห่งความสงสัยให้แก่จำเลย
ยาบ้า 279 เม็ด โทษจำคุก 7 ปี ครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย
ข้อมูลเป็นประโยชน์ตามมาตรา 100/2
ครอบครองเพื่อจำหน่าย ยาบ้า 27 เม็ด
การสมคบกันเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด
ยาเสพติดให้โทษ ยาบ้า เมทแอมเฟตามีน 4,000 เม็ด
ยาบ้า ยาเสพติดให้โทษ นำเข้า 22 เม็ด
นำยาเสพติดเข้าในราชอาณาจักรโทษประหาร
การยื่นฎีกาเกี่ยวกับคดียาเสพติด
ผู้ใหญ่บ้านถูกจับยาบ้ามีโทษจำคุก 3 เท่า