

มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ มีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2567 เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น เมื่อคำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มี พ.ร.บ.ให้ใช้ ป.ยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิก พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ ป.ยาเสพติดท้าย พ.ร.บ. ดังกล่าวแทน ซึ่งตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตาม ป.ยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตาม ป.อ. มาตรา 3 (1) คดีสืบเนื่องจากศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่งและวรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่งและวรรคสอง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี เพิ่มโทษกระทงละหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน รวมจำคุก 4 ปี 16 เดือน และปรับ 266,666.67 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คดีถึงที่สุด จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์แผนกคดียาเสพติดพิพากษายืน จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า กรณีมีเหตุกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) หรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว แต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้ (1) ถ้าผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษ หรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ... ให้ศาลกำหนดโทษเสียใหม่ตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง...” ดังนั้น คำว่ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดหรือกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดดังกล่าวนั้น หมายถึงกฎหมายที่บัญญัติถึงการกระทำอันเป็นความผิด หรือบัญญัติถึงกำหนดโทษหรือโทษที่จะลงแก่ผู้กระทำความผิดนั้น ซึ่งในคดีนี้ได้แก่บทบัญญัติความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม หากมีการแก้ไขบทกฎหมายดังกล่าวในทางที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิดและมีผลที่จะทำให้จำเลยได้รับโทษน้อยลง ศาลก็มีอำนาจแก้ไขโทษที่จะลงแก่จำเลยได้ภายในเงื่อนไขของมาตรา 3 นั้น สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน การกำหนดโทษใหม่จะต้องปรากฏว่าโทษที่กำหนดตามคำพิพากษาถึงที่สุดหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง คดีนี้คำพิพากษาถึงที่สุดกำหนดโทษในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน จำคุก 4 ปี ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามคำพิพากษาที่ถึงที่สุดว่า จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.410 กรัม และจำหน่ายไปมีปริมาณสารบริสุทธิ์ 0.027 กรัม ซึ่งแม้จะเป็นการขายให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อไปก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อื่นอันแสดงให้เห็นว่าจำเลยประกอบกิจการด้วยการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นการปกติทั่วไป อันจะถือเป็นการกระทำเพื่อการค้า การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งมีระวางโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ดังนั้น คำพิพากษาถึงที่สุดที่กำหนดโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ดังกล่าวจึงไม่หนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง กรณีไม่อยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สำหรับการปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรมนั้น เนื่องจากได้มีพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ออกใช้บังคับ โดยในมาตรา 4 ให้ยกเลิกพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 รวมทั้งที่แก้ไขเพิ่มเติมทุกฉบับ และให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติดท้ายพระราชบัญญัติดังกล่าวแทน ซึ่งตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 ได้นิยามคำว่า “จำหน่าย” ให้หมายความรวมถึงมีไว้เพื่อจำหน่ายด้วย ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ตาม จึงเป็นความผิดอย่างเดียวกันคือจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเพียงกรรมเดียวบทเดียว แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่ใช้ในขณะกระทำความผิดซึ่งแยกเป็นคนละฐานความผิด ดังนั้น การปรับบทลงโทษฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นหลายกรรม จึงหนักกว่าโทษที่กำหนดตามกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง ซึ่งให้ลงโทษฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนตามประมวลกฎหมายเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง เพียงกรรมเดียว จึงอยู่ในหลักเกณฑ์ที่จะกำหนดโทษให้จำเลยใหม่ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้ยกคำร้องมานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังขึ้นบางส่วน พิพากษากลับว่า ให้กำหนดโทษจำเลยเสียใหม่ สำหรับความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย และฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90, 145 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) เพียงกรรมเดียว ให้จำคุก 4 ปี และปรับ 400,000 บาท เพิ่มโทษหนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 แล้ว เป็นจำคุก 5 ปี 4 เดือน และปรับ 533,333.33 บาท ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งแล้ว คงจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 หากต้องกักขังแทนค่าปรับให้กักขังเกิน 1 ปี แต่ไม่เกิน 2 ปี • ปรับโทษใหม่ตามกฎหมายใหม่ • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) • คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2567 • นิยามคำว่าจำหน่ายในกฎหมายยาเสพติด • การกำหนดโทษฐานมีไว้เพื่อจำหน่าย • การลงโทษตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 • การลดโทษในคดียาเสพติด • ความผิดฐานจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2567 (ย่อ) ตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาที่ถึงที่สุด จำเลยถูกกล่าวหาว่ามีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่าย (0.410 กรัม) และได้จำหน่าย (0.027 กรัม) แม้จะขายให้สายลับผู้ล่อซื้อ แต่ไม่มีหลักฐานว่าจำเลยประกอบกิจการจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนเป็นปกติ คดีจึงเข้าข่ายความผิดตาม ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90 และ 145 วรรคหนึ่ง ซึ่งกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท คดีนี้เดิมศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายเมทแอมเฟตามีน แยกเป็นคนละฐานความผิด จำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับรวม 266,666.66 บาท รวมทั้งให้กักขังแทนค่าปรับตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29 และ 30 จำเลยยื่นคำร้องขอให้กำหนดโทษใหม่ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) โดยอ้างว่ากฎหมายใหม่ที่ใช้ในภายหลัง (พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564) มีผลเป็นคุณ เนื่องจากนิยามคำว่า "จำหน่าย" ใน ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 1 รวมถึง "มีไว้เพื่อจำหน่าย" การกระทำดังกล่าวจึงถือว่าเป็นความผิดฐานเดียวกัน ศาลฎีกาพิพากษา ว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดเพียงกรรมเดียว ตาม ประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 90 และ 145 วรรคหนึ่ง และ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) คำพิพากษาที่ให้ลงโทษแยกเป็นหลายกรรมไม่เป็นคุณแก่จำเลยตามกฎหมายใหม่ จึงพิพากษากลับให้ลงโทษจำเลยใหม่ โดยกำหนดโทษจำคุก 2 ปี 8 เดือน และปรับ 266,666.66 บาท หากไม่ชำระค่าปรับ ให้กักขังแทนค่าปรับระหว่าง 1-2 ปี หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2567 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) สาระสำคัญ: มาตรา 3 (1) บัญญัติว่า หากกฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างจากกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด ศาลต้องใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้ว กรณีที่คดีถึงที่สุด ศาลสามารถกำหนดโทษใหม่ได้หากโทษตามคำพิพากษาเดิมหนักกว่าโทษที่กำหนดในกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง หลักการสำคัญ: •การพิจารณาว่า "เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด" ต้องพิจารณาทั้ง บทกำหนดความผิด และ บทกำหนดโทษ •หากกฎหมายใหม่บัญญัติให้การกระทำเดิมมีโทษเบาลง ผู้กระทำความผิดมีสิทธิที่จะได้รับการลดโทษหรือกำหนดโทษใหม่ •ใช้ได้ในกรณีที่ผู้กระทำความผิดยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ ในคำพิพากษานี้ ศาลฎีกาใช้มาตรา 3 (1) กำหนดโทษใหม่ให้จำเลยตามกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ซึ่งมีบทกำหนดโทษที่เป็นคุณกว่า 2. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 1 สาระสำคัญ: มาตรา 1 นิยามคำว่า "จำหน่าย" ให้หมายรวมถึง "มีไว้เพื่อจำหน่าย" ดังนั้น การมีเมทแอมเฟตามีนในครอบครองเพื่อจำหน่าย ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของการ "จำหน่าย" ผลทางกฎหมาย: กฎหมายฉบับนี้รวมการมีไว้เพื่อจำหน่ายและการจำหน่ายเป็นความผิดเดียวกัน แตกต่างจากกฎหมายเดิมที่แยกฐานความผิดออกจากกัน ทำให้โทษของจำเลยตามกฎหมายใหม่เบาลง เนื่องจากการกระทำของจำเลยถูกพิจารณาเป็นเพียง "กรรมเดียว" 3. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 90 สาระสำคัญ: มาตรา 90 กำหนดบทลงโทษสำหรับผู้จำหน่ายยาเสพติด โดยกำหนดโทษจำคุกไม่เกิน 15 ปี และปรับไม่เกิน 1,500,000 บาท ผลทางกฎหมายในคดีนี้: เมื่อจำเลยถูกพิจารณาว่ากระทำความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติด ศาลใช้มาตรา 90 กำหนดโทษจำคุกและปรับในขอบเขตที่กฎหมายกำหนด 4. ประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 มาตรา 145 วรรคหนึ่ง สาระสำคัญ: มาตรา 145 วรรคหนึ่ง กำหนดว่าผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับการจำหน่ายยาเสพติดให้ได้รับโทษตามมาตรา 90 ผลทางกฎหมายในคดีนี้: การใช้มาตรา 145 วรรคหนึ่งควบคู่กับมาตรา 90 ทำให้ศาลกำหนดโทษสำหรับความผิดฐานจำหน่ายยาเสพติดในกรอบกฎหมายที่ชัดเจน โดยไม่มีการแยกพิจารณาฐานความผิด "มีไว้เพื่อจำหน่าย" และ "จำหน่าย" สรุปผลทางกฎหมายในคดีนี้ การบังคับใช้กฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่นิยามการกระทำของจำเลยว่าเป็นความผิดเดียวกัน ทำให้จำเลยได้รับประโยชน์จากโทษที่เบาลงตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ศาลจึงกำหนดโทษใหม่โดยพิจารณาฐานความผิดเพียงกรรมเดียวตาม มาตรา 90 และ 145 วรรคหนึ่ง ของกฎหมายยาเสพติด พ.ศ. 2564 ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลย หลักเกณฑ์การกำหนดโทษใหม่ให้จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1) บัญญัติหลักการสำคัญเกี่ยวกับการใช้กฎหมายที่มีผลเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด โดยเฉพาะในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงกฎหมายหลังการกระทำความผิด ซึ่งสามารถสรุปหลักเกณฑ์ได้ดังนี้: หลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 (1): 1.กฎหมายที่แตกต่างกัน: กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดและกฎหมายที่ใช้ในภายหลังต้องมีความแตกต่างกัน โดยพิจารณาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการกำหนดความผิดหรือโทษ 2.ผลเป็นคุณแก่จำเลย: หากกฎหมายที่ใช้ในภายหลังมีผลเป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด เช่น ลดโทษ หรือเปลี่ยนแปลงนิยามความผิดให้เบาลง ให้ศาลใช้กฎหมายที่เป็นคุณ 3.เงื่อนไขการใช้: oคดีต้องยังไม่ถึงที่สุด หรือ oหากคดีถึงที่สุดแล้ว จำเลยยังไม่ได้รับโทษหรือกำลังรับโทษอยู่ และโทษตามคำพิพากษาหนักกว่าโทษที่กำหนดในกฎหมายที่บัญญัติในภายหลัง 4.การกำหนดโทษใหม่: ศาลมีอำนาจปรับโทษให้สอดคล้องกับกฎหมายใหม่ แต่ต้องอยู่ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 246/2567 จำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่าย ศาลปรับโทษใหม่ตามกฎหมายยาเสพติดฉบับใหม่ที่นิยามการกระทำดังกล่าวเป็นความผิดกรรมเดียว ทำให้จำเลยได้รับโทษเบาลงตามมาตรา 3 (1) 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3998/2564 ในคดียาเสพติด ศาลฎีกาพิจารณาให้จำเลยได้รับโทษใหม่ เนื่องจากกฎหมายใหม่ลดนิยามของการ "มีไว้เพื่อจำหน่าย" ให้ครอบคลุมถึงการกระทำกรรมเดียวกับการจำหน่าย 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2558 ศาลฎีกาพิจารณากำหนดโทษใหม่ให้จำเลยในคดียาเสพติด เนื่องจากกฎหมายใหม่ที่ออกมาในภายหลังได้ลดโทษสำหรับการมีไว้เพื่อเสพโดยมิได้มีไว้เพื่อจำหน่าย 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1658/2549 จำเลยกระทำผิดฐานปลอมแปลงเอกสารในขณะกฎหมายเดิมมีโทษรุนแรงกว่า แต่กฎหมายใหม่ลดโทษ ศาลจึงกำหนดโทษใหม่ให้จำเลย 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3240/2538 คดีที่กฎหมายใหม่ยกเลิกความผิดเดิม ทำให้จำเลยไม่ต้องรับโทษต่อเนื่อง ศาลยกฟ้องและใช้มาตรา 3 (1) เป็นหลักในการพิจารณา ตัวอย่างการนำหลักเกณฑ์ไปใช้: 1.การพิจารณาความแตกต่างของกฎหมาย: กฎหมายใหม่ที่เปลี่ยนแปลงนิยาม "จำหน่าย" และ "มีไว้เพื่อจำหน่าย" ในคดียาเสพติด ทำให้โทษเบาลง เนื่องจากมองว่าเป็นความผิดกรรมเดียว 2.การวิเคราะห์ผลเป็นคุณ: เมื่อกฎหมายใหม่กำหนดโทษจำคุกและปรับในอัตราที่ต่ำกว่ากฎหมายเดิม ศาลใช้มาตรา 3 (1) กำหนดโทษใหม่เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่จำเลย 3.การปรับใช้ในกรณีถึงที่สุด: หากคดีถึงที่สุดแล้ว แต่จำเลยยังไม่รับโทษ ศาลสามารถกำหนดโทษใหม่ได้หากโทษตามคำพิพากษาเดิมหนักกว่า สรุป มาตรา 3 (1) มีบทบาทสำคัญในการคุ้มครองสิทธิผู้กระทำความผิด เมื่อมีกฎหมายใหม่ที่เป็นคุณเกิดขึ้น หลักการนี้สะท้อนถึงความยุติธรรมในระบบกฎหมายไทย โดยมุ่งเน้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ การศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้องจะช่วยให้เข้าใจแนวทางการพิจารณาของศาลและการปรับโทษใหม่ในบริบทต่าง ๆ |