
| การแจ้งความของภรรยาเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต ไม่ใช่เหตุฟ้องหย่า-ฎีกา 2109/2567 1
คดีนี้มีประเด็นสำคัญว่าฝ่ายสามีมีสิทธิฟ้องหย่าภรรยาหรือไม่ เมื่อฝ่ายภรรยาได้ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาและแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่สามีจากเหตุทำร้ายร่างกายและปลอมเอกสาร ซึ่งสามีอ้างว่าการกระทำนั้นเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงโดยสรุป คู่กรณีเป็นสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายและใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 20 ปี ต่อมาสามีมีพฤติกรรมชู้สาวกับหญิงอื่น ทำร้ายร่างกายภรรยา และนำเอกสารส่วนตัวของภรรยาไปปลอมเพื่อนำไปกู้เงินใช้ส่วนตัว ภรรยาจึงแจ้งความดำเนินคดี และร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามีในฐานะข้าราชการตำรวจ ต่อมา ศาลอาญาพิพากษาว่าสามีมีความผิดจริงแต่ให้รอการลงโทษ ภายหลังสามีฟ้องหย่าภรรยา โดยอ้างว่า การที่ภรรยาแจ้งความและร้องเรียนเป็นการกระทำที่ทำให้สามีได้รับความเสียหาย ถูกลงโทษทางวินัย และถูกประจานชื่อเสียงในวงราชการ ถือเป็นการ “ประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 1516 (6) “สามีหรือภริยาอาจฟ้องหย่าได้ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงถึงขนาดไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข” มาตรา 1461 “สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” มาตรา 1598/38 “ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา หรือระหว่างบิดามารดากับบุตรนั้น ย่อมเรียกจากกันได้เมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ...” 💡 การวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า พฤติกรรมของสามีเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉานในครอบครัว ทั้งการทำร้ายร่างกาย ปลอมเอกสาร และละเลยการอุปการะเลี้ยงดู ภรรยาที่แจ้งความและร้องเรียนเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต เพื่อปกป้องสิทธิของตนตามกฎหมาย มิใช่การเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา ศาลระบุว่า การใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริต เช่น การร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อป้องกันตนจากการกระทำอันไม่ชอบของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่า ตามมาตรา 1516 (6) อีกทั้งภรรยายังเป็นผู้เสียเปรียบทางเศรษฐกิจ ไม่มีรายได้ประจำ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้สามีช่วยเหลือตามหน้าที่ของคู่สมรสตามมาตรา 1461 และ 1598/38 ศาลชี้ว่า “สิทธิอุปการะเลี้ยงดู” เป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่สามารถโอนหรือสละได้ และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องหย่าเท่านั้น หากฝ่ายใดไม่ได้รับการเลี้ยงดูตามสมควร ก็มีสิทธิเรียกได้ในระหว่างสมรส เมื่อพิจารณาพฤติการณ์โดยรวม ศาลเห็นว่าภรรยาไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ แต่เป็นฝ่ายสามีที่ตัดขาดการติดต่อและหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกัน การแยกกันอยู่โดยฝ่ายเดียวจึงไม่เข้าเงื่อนไขตาม มาตรา 1516 (4/2) ที่กำหนดว่า “สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่...ตลอดมาเกินสามปี” คำพิพากษาโดยสรุป ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ ยกฟ้องโจทก์ (สามี) เนื่องจากไม่เข้าเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย และวางหลักสำคัญไว้ว่า 1. การแจ้งความหรือร้องเรียนโดยสุจริตเพื่อปกป้องสิทธิของตน ไม่ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา 2. ผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำผิดก่อน เช่น ทำร้ายร่างกายหรือปลอมเอกสาร ย่อมไม่มีสิทธิอ้างเหตุดังกล่าวมาฟ้องหย่า 3. สิทธิเลี้ยงดูของคู่สมรสฝ่ายเสียเปรียบเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และไม่จำเป็นต้องรอให้หย่าขาด 4. การแยกกันอยู่ที่เกิดจากการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ถือเป็นการแยกโดยสมัครใจร่วมกัน สาระสำคัญทางกฎหมาย คำพิพากษานี้ตอกย้ำหลักสำคัญของกฎหมายครอบครัวไทยว่า • การใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตเพื่อปกป้องตนเองหรือครอบครัว ไม่ใช่การประพฤติเป็นปฏิปักษ์ • สิทธิเลี้ยงดู เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของคู่สมรสที่มีฐานะดีกว่า ต้องอุปการะอีกฝ่ายหนึ่งตามความสามารถ • และ การทำร้ายร่างกายคู่สมรส ถือเป็นการละเมิดต่อกฎหมายอาญาและขัดต่อมโนธรรมทางครอบครัว สรุปใจความสั้น ๆ คดีนี้สะท้อนหลักการสำคัญว่า คู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำรุนแรงหรือไม่ได้รับการเลี้ยงดู มีสิทธิปกป้องตนเองโดยไม่ถือว่าผิด การร้องเรียนหรือฟ้องร้องโดยสุจริตไม่ใช่เหตุให้ฟ้องหย่าได้ และศาลยังยืนยันว่า “ผู้กระทำผิดก่อน ไม่มีสิทธิฟ้องหย่า” พร้อมย้ำว่าการช่วยเหลือเลี้ยงดูซึ่งกันและกันคือหน้าที่ทางกฎหมายของคู่สมรสทุกคน คดีนี้มีประเด็นสำคัญว่าฝ่ายสามีมีสิทธิฟ้องหย่าภรรยาหรือไม่ เมื่อฝ่ายภรรยาได้ร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาและแจ้งความดำเนินคดีอาญาแก่สามีจากเหตุทำร้ายร่างกายและปลอมเอกสาร ซึ่งสามีอ้างว่าการกระทำนั้นเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงตามกฎหมาย ข้อเท็จจริงโดยสรุป คู่กรณีเป็นสามีภริยาที่จดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมายและใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 20 ปี ต่อมาสามีมีพฤติกรรมชู้สาวกับหญิงอื่น ทำร้ายร่างกายภรรยา และนำเอกสารส่วนตัวของภรรยาไปปลอมเพื่อนำไปกู้เงินใช้ส่วนตัว ภรรยาจึงแจ้งความดำเนินคดี และร้องเรียนต่อผู้บังคับบัญชาของสามีในฐานะข้าราชการตำรวจ ต่อมา ศาลอาญาพิพากษาว่าสามีมีความผิดจริงแต่ให้รอการลงโทษ ภายหลังสามีฟ้องหย่าภรรยา โดยอ้างว่า การที่ภรรยาแจ้งความและร้องเรียนเป็นการกระทำที่ทำให้สามีได้รับความเสียหาย ถูกลงโทษทางวินัย และถูกประจานชื่อเสียงในวงราชการ ถือเป็นการ “ประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรง” ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1516 (6) ข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง มาตรา 1516 (6) “สามีหรือภริยาอาจฟ้องหย่าได้ เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งได้ประพฤติเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยาอย่างร้ายแรงถึงขนาดไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้โดยปกติสุข” มาตรา 1461 “สามีภริยาต้องอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา สามีภริยาต้องช่วยเหลืออุปการะเลี้ยงดูกันตามความสามารถและฐานะของตน” มาตรา 1598/38 “ค่าอุปการะเลี้ยงดูระหว่างสามีภริยา หรือระหว่างบิดามารดากับบุตรนั้น ย่อมเรียกจากกันได้เมื่อฝ่ายที่ควรได้รับอุปการะเลี้ยงดูไม่ได้รับการอุปการะเลี้ยงดู หรือได้รับการอุปการะเลี้ยงดูไม่เพียงพอแก่อัตภาพ...” 💡 การวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาพิเคราะห์ว่า พฤติกรรมของสามีเป็นต้นเหตุแห่งความร้าวฉานในครอบครัว ทั้งการทำร้ายร่างกาย ปลอมเอกสาร และละเลยการอุปการะเลี้ยงดู ภรรยาที่แจ้งความและร้องเรียนเป็นการใช้สิทธิโดยสุจริต เพื่อปกป้องสิทธิของตนตามกฎหมาย มิใช่การเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา ศาลระบุว่า การใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริต เช่น การร้องเรียนหรือฟ้องร้องเพื่อป้องกันตนจากการกระทำอันไม่ชอบของอีกฝ่ายหนึ่ง ไม่ถือเป็นเหตุฟ้องหย่า ตามมาตรา 1516 (6) อีกทั้งภรรยายังเป็นผู้เสียเปรียบทางเศรษฐกิจ ไม่มีรายได้ประจำ ย่อมมีสิทธิเรียกร้องให้สามีช่วยเหลือตามหน้าที่ของคู่สมรสตามมาตรา 1461 และ 1598/38 ศาลชี้ว่า “สิทธิอุปการะเลี้ยงดู” เป็นสิทธิส่วนบุคคล ไม่สามารถโอนหรือสละได้ และไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้นเมื่อมีการฟ้องหย่าเท่านั้น หากฝ่ายใดไม่ได้รับการเลี้ยงดูตามสมควร ก็มีสิทธิเรียกได้ในระหว่างสมรส เมื่อพิจารณาพฤติการณ์โดยรวม ศาลเห็นว่าภรรยาไม่ได้สมัครใจแยกกันอยู่ แต่เป็นฝ่ายสามีที่ตัดขาดการติดต่อและหลีกเลี่ยงการอยู่ร่วมกัน การแยกกันอยู่โดยฝ่ายเดียวจึงไม่เข้าเงื่อนไขตาม มาตรา 1516 (4/2) ที่กำหนดว่า “สามีและภริยาสมัครใจแยกกันอยู่...ตลอดมาเกินสามปี” คำพิพากษาโดยสรุป ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ ให้ ยกฟ้องโจทก์ (สามี) เนื่องจากไม่เข้าเหตุฟ้องหย่าตามกฎหมาย และวางหลักสำคัญไว้ว่า 1. การแจ้งความหรือร้องเรียนโดยสุจริตเพื่อปกป้องสิทธิของตน ไม่ถือเป็นการเป็นปฏิปักษ์ต่อการเป็นสามีภริยา 2. ผู้ที่เป็นฝ่ายกระทำผิดก่อน เช่น ทำร้ายร่างกายหรือปลอมเอกสาร ย่อมไม่มีสิทธิอ้างเหตุดังกล่าวมาฟ้องหย่า 3. สิทธิเลี้ยงดูของคู่สมรสฝ่ายเสียเปรียบเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ และไม่จำเป็นต้องรอให้หย่าขาด 4. การแยกกันอยู่ที่เกิดจากการกระทำของฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ไม่ถือเป็นการแยกโดยสมัครใจร่วมกัน สาระสำคัญทางกฎหมาย คำพิพากษานี้ตอกย้ำหลักสำคัญของกฎหมายครอบครัวไทยว่า • การใช้สิทธิตามกฎหมายโดยสุจริตเพื่อปกป้องตนเองหรือครอบครัว ไม่ใช่การประพฤติเป็นปฏิปักษ์ • สิทธิเลี้ยงดู เป็นหน้าที่ตามกฎหมายของคู่สมรสที่มีฐานะดีกว่า ต้องอุปการะอีกฝ่ายหนึ่งตามความสามารถ • และ การทำร้ายร่างกายคู่สมรส ถือเป็นการละเมิดต่อกฎหมายอาญาและขัดต่อมโนธรรมทางครอบครัว สรุปใจความสั้น ๆ คดีนี้สะท้อนหลักการสำคัญว่า คู่สมรสฝ่ายที่ถูกกระทำรุนแรงหรือไม่ได้รับการเลี้ยงดู มีสิทธิปกป้องตนเองโดยไม่ถือว่าผิด การร้องเรียนหรือฟ้องร้องโดยสุจริตไม่ใช่เหตุให้ฟ้องหย่าได้ และศาลยังยืนยันว่า “ผู้กระทำผิดก่อน ไม่มีสิทธิฟ้องหย่า” พร้อมย้ำว่าการช่วยเหลือเลี้ยงดูซึ่งกันและกันคือหน้าที่ทางกฎหมายของคู่สมรสทุกคน |


