ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




(ฎีกา 748/2568) คดีฟ้องหญิงอื่นชู้สาว เรียกค่าทดแทน article

คำพิพากษาศาลฎีกา, 748/2568, ฟ้องหญิงอื่น, ชู้สาว, ป.พ.พ. 1523, ค่าทดแทน, คดีครอบครัว, การหย่า, ค่าเลี้ยงดูบุตร, ศาลอุทธรณ์, ศาลเยาวชน, นิติศาสตร์

ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ 


บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของภริยาในการฟ้องหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสามี โดยประเด็นสำคัญคือการตีความ มาตรา 1523 วรรคสอง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ซึ่งกำหนดว่า การฟ้องเรียกค่าทดแทนทำได้ต่อเมื่อหญิงอื่น “จงใจละเมิดสิทธิภริยา” โดยต้องรู้ว่าสามีมีภริยาอยู่แล้วและยังแสดงตนเปิดเผยในทำนองชู้สาว ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จะปรากฏพฤติการณ์ว่ามีการคบหากันจริง แต่หากหญิงอื่นไม่ทราบว่าชายมีภริยาแล้ว ก็ไม่ต้องรับผิดชำระค่าทดแทน


ข้อเท็จจริงของคดี

โจทก์และจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมายและมีบุตร 2 คน

ทั้งคู่เคยหย่ากันก่อนแล้ว แต่ต่อมาจดทะเบียนสมรสใหม่

ระหว่างสมรส จำเลยที่ 1 แยกไปอยู่ที่หอพักต่างจังหวัด ไม่ได้อาศัยร่วมกับโจทก์

โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับจำเลยที่ 1 ทั้งรู้ว่าเขามีภริยาแล้ว

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชดใช้ค่าทดแทน 300,000 บาท

ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ ยกฟ้องจำเลยที่ 2 โจทก์ฎีกา


คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

1. หลักกฎหมาย

o มาตรา 1523 วรรคสอง ป.พ.พ. ระบุว่า ภริยามีสิทธิฟ้องหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสามีได้ต่อเมื่อหญิงนั้น รู้ว่าชายมีภริยาแล้ว และจงใจละเมิดสิทธิ

o ภาระการพิสูจน์อยู่ที่ฝ่ายภริยา (โจทก์) แม้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ

2. พยานหลักฐาน

o โจทก์เบิกความว่าได้บอกจำเลยที่ 2 ให้เลิกยุ่งกับสามี แต่ไม่มีพยานอื่นสนับสนุน

o ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 เคยหย่ากับโจทก์ และพักอยู่ลำพังในหอพัก จึงอาจทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจได้ว่าเขาไม่มีภริยาแล้ว

3. ข้อสรุป

o แม้จะปรากฏว่ามีการคบหากัน แต่ไม่มีหลักฐานเพียงพอว่าจำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีภริยาอยู่

o ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์ พิพากษายืนให้ยกฟ้องจำเลยที่ 2


วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย

1. เงื่อนไขการฟ้องหญิงอื่นตาม มาตรา 1523 วรรคสอง

ต้องมีการแสดงตนโดยเปิดเผยว่ามีความสัมพันธ์ในทำนองชู้สาว

หญิงอื่นต้องรู้ว่าชายมีภริยาแล้ว

การกระทำต้องมีลักษณะจงใจละเมิดสิทธิของภริยา

2. ภาระการพิสูจน์ของโจทก์

แม้จำเลยไม่ยื่นคำให้การ ศาลยังต้องตรวจสอบพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ

คำเบิกความลอย ๆ โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุน ไม่เพียงพอในการพิสูจน์

3. ความสำคัญของพฤติการณ์ภายนอก

การที่คู่สมรสแยกกันอยู่และเคยหย่าแล้ว อาจทำให้บุคคลภายนอกเข้าใจผิดได้

หลักกฎหมายจึงต้องคุ้มครองผู้ที่ไม่มีเจตนาละเมิดสิทธิของภริยา


สรุปข้อคิดทางกฎหมาย

คำพิพากษานี้ตอกย้ำว่า การฟ้องหญิงอื่นเพื่อเรียกค่าทดแทนตามมาตรา 1523 วรรคสอง ไม่เพียงแต่ต้องพิสูจน์ว่ามีความสัมพันธ์ชู้สาว แต่ยังต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าหญิงนั้น รู้ชัดเจน ว่าชายมีภริยาแล้วและยังจงใจละเมิดสิทธิ หากขาดเงื่อนไขนี้ การฟ้องจะไม่สำเร็จ


IRAC Analysis

Issue (ประเด็นปัญหา):

หญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์กับชายซึ่งมีภริยาแล้ว จะต้องรับผิดชำระค่าทดแทนแก่ภริยาตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสองหรือไม่

Rule (กฎเกณฑ์):

มาตรา 1523 วรรคสอง ป.พ.พ. – ภริยามีสิทธิฟ้องหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์ชู้สาวกับสามี หากหญิงนั้นรู้อยู่แล้วว่าสามีมีภริยาและยังจงใจละเมิดสิทธิ

Application (การปรับใช้กฎหมาย):

แม้จำเลยที่ 2 จะมีพฤติการณ์คบหากับสามีโจทก์ แต่พิจารณาจากพฤติการณ์ที่โจทก์และสามีแยกกันอยู่และเคยหย่ากันแล้ว

ไม่มีพยานหลักฐานแน่ชัดว่าจำเลยที่ 2 รู้ว่าจำเลยที่ 1 มีภริยาอยู่

ข้อพิสูจน์ของโจทก์ยังไม่เพียงพอตามมาตรา 198 ทวิ ป.วิ.พ.

Conclusion (ข้อสรุป):

จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์

 

English Summary Supreme Court Decision No. 748/2025: A wife sued another woman under Section 1523 for adultery. The Court held liability exists only if the woman knew the man was married and intentionally violated rights. As this was unproven, the claim was dismissed. สรุปคำแปลภาษาอังกฤษ ฎีกาที่ 748/2568: ภริยาฟ้องหญิงอื่นเรียกค่าทดแทนตาม ม.1523 ศาลชี้ว่าต้องพิสูจน์ว่าหญิงรู้อยู่แล้วว่าสามีมีภริยาและจงใจละเมิดสิทธิ แต่เมื่อพิสูจน์ไม่ได้ จึงยกฟ้องจำเลยที่ 2

English Summary

The Supreme Court Decision No. 748/2025 concerns a wife suing another woman for damages under Section 1523 of the Civil and Commercial Code, alleging an adulterous relationship with her husband. The Court ruled that liability arises only if the woman knew the man was married and intentionally violated the wife’s rights. Since evidence did not prove such knowledge, the claim against the second defendant was dismissed.

สรุปคำแปลภาษาอังกฤษ 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2568 เป็นคดีซึ่งภริยาได้ฟ้องหญิงอื่นเพื่อเรียกค่าทดแทนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 โดยกล่าวอ้างว่าหญิงดังกล่าวมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกับสามีของตน ศาลวินิจฉัยว่า การจะให้หญิงอื่นต้องรับผิดชดใช้ค่าทดแทนได้ จะต้องเป็นกรณีที่หญิงนั้นทราบว่าชายมีภริยาอยู่แล้ว และได้จงใจละเมิดสิทธิของภริยา แต่เมื่อพยานหลักฐานไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าหญิงดังกล่าวมีความรู้ถึงข้อเท็จจริงดังกล่าว คำฟ้องต่อจำเลยที่ 2 จึงถูกยกฟ้อง

 

•ม.1523 วรรคสอง: ฟ้องหญิงอื่นได้เมื่อรู้ว่าชายมีภริยา และจงใจละเมิดสิทธิ •ภาระพิสูจน์: ต้องมีหลักฐานชัดเจน คำเบิกความลอย ๆ ไม่พอ •พฤติการณ์ภายนอก: หากแยกกันอยู่หรือเคยหย่า อาจเข้าใจผิดว่าโสด → ไม่ต้องรับผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 748/2568

การที่ภริยาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์กับสามีของตนในทำนองชู้สาวตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง ต้องเป็นกรณีที่หญิงดังกล่าวได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาว โดยหญิงดังกล่าวจะต้องทราบว่าชายนั้นมีภริยาแล้ว แต่ยังจงใจละเมิดสิทธิภริยาด้วย จึงต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน


แม้จำเลยที่ 2 จะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ก็ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้ได้ความตามคำฟ้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 198 ทวิ ประกอบ พ.ร.บ.ศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 ว่า จำเลยที่ 2 ได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาวโดยทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นสามีโจทก์ ซึ่งการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 มีความประพฤติอันผิดทำนองคลองธรรมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงและนำมาแต่ความเสื่อมเสียแก่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าการรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่งทั่วไป


แม้ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า จำเลยที่ 2 ได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาวก็ตาม แต่พฤติการณ์ที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่กันคนละจังหวัด และโจทก์กับจำเลยที่ 1 เคยจดทะเบียนหย่ากันมาก่อนแล้ว จึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีภริยาแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมิได้จงใจละเมิดสิทธิของโจทก์ผู้เป็นภริยาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามมาตรา 1523 วรรคสอง


เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นยกฟ้องจำเลยที่ 2 จึงมีผลเท่ากับเป็นการพิพากษากลับในส่วนจำเลยที่ 2 มีผลทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนจำเลยที่ 2 ถูกเพิกถอนไปทั้งหมด ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงต้องสั่งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นใหม่ แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษคงสั่งเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ เป็นการไม่ชอบ


โจทก์ฟ้องขอให้พิพากษาให้โจทก์และจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกัน และให้โจทก์เป็นผู้ใช้อำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่เพียงผู้เดียว กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เป็นเงิน 500,000 บาท และให้จำเลยที่ 1 ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองก่อนฟ้องเป็นเงิน 300,000 บาท และชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กหญิง ข. หรือ ม. ตั้งแต่อายุ 7 ปี ถึง 8 ปี เดือนละ 6,000 บาท กับชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูเด็กชาย ท. และเด็กหญิง ข. หรือ ม.ตั้งแต่อายุ 9 ปี ถึง 12 ปี คนละ 7,000 บาท ต่อเดือน อายุ 13 ปี ถึง 15 ปี คนละ 8,000 บาท ต่อเดือน อายุ 16 ปี ถึง 18 ปี คนละ 9,000 บาท ต่อเดือน และอายุ 19 ปี ถึง 20 ปี คนละ 10,000 บาท ต่อเดือน กับให้ชำระค่าการศึกษา ค่ารักษาพยาบาล และค่าประกันชีวิตของบุตรผู้เยาว์ทั้งสองกึ่งหนึ่งแก่โจทก์

จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ


ระหว่างการพิจารณา โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ซึ่งมีข้อความดังนี้

ข้อ 1. โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงจดทะเบียนหย่ากัน ณ ที่ว่าการอำเภอ ภายใน 15 วัน โดยตกลงจะนัดกันในภายหลัง หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ไปดำเนินการให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาจดทะเบียนหย่า


ข้อ 2. โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงให้โจทก์เป็นผู้มีอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองคือ เด็กชาย ท. และเด็กหญิง ข. แต่เพียงผู้เดียว โดยไม่ปิดกั้นที่จะให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นบิดามาเยี่ยมเยือนบุตรผู้เยาว์ทั้งสองแต่อย่างใด

ข้อ 3. จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองดังต่อไปนี้


3.1 เด็กชาย ท. ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูดังนี้ นับตั้งแต่อายุ 9 ปี จนถึงอายุ 12 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 4,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 13 ปี จนถึงอายุ 15 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 16 ปี จนถึงอายุ 20 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 7,500 บาท


โดยจะเริ่มชำระเดือนแรกภายในวันที่ 5 กันยายน 2565 และจะชำระต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยจะชำระให้แก่บุตรผ่านบัญชีธนาคาร ก. ชื่อบัญชีนางสาว ฟ. หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง โจทก์สามารถบังคับคดีได้ทันที โดยคิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ

3.2 เด็กหญิง ข. ชำระค่าอุปการะเลี้ยงดูดังนี้


นับตั้งแต่อายุ 7 ปี จนถึงอายุ 8 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 4,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 9 ปี จนถึงอายุ 12 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 5,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 13 ปี จนถึงอายุ 15 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 6,000 บาท นับตั้งแต่อายุ 16 ปี จนถึงอายุ 20 ปี เป็นรายเดือน เดือนละ 7,500 บาท


โดยจะเริ่มชำระเดือนแรกภายในวันที่ 5 กันยายน 2565 และจะชำระต่อ ๆ ไปภายในวันที่ 5 ของทุกเดือน โดยจะชำระให้แก่บุตรผ่านบัญชีธนาคาร ก. ชื่อบัญชีนางสาว ฟ. หากผิดนัดงวดใดงวดหนึ่ง โจทก์สามารถบังคับคดีได้ทันที โดยคิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ


ข้อ 4. จำเลยที่ 1 ตกลงชำระค่าเทอมที่ค้างจ่ายให้แก่โจทก์ที่ค้างจ่ายจำนวน 70,000 บาท โดยแบ่งชำระกับโจทก์คนละครึ่งเป็นจำนวน 35,000 บาท โดยจำเลยที่ 1 จะชำระให้แก่โจทก์ภายในกำหนดเวลา 4 เดือน โดยจะชำระให้แก่โจทก์ผ่านบัญชีธนาคาร ก. ชื่อบัญชีนางสาว ฟ. หากผิดนัด โจทก์สามารถบังคับคดีได้ทันที โดยคิดดอกเบี้ยผิดนัดในอัตราร้อยละ 5 ต่อปี ของจำนวนเงินที่ค้างชำระ

ข้อ 5. โจทก์ไม่ติดใจเรียกค่าเสียหายหรือค่าทดแทนจากจำเลยที่ 1

ข้อ 6. โจทก์และจำเลยที่ 1 ตกลงตามข้อ 1. ถึงข้อ 5. และไม่ติดใจเรียกร้องใด ๆ ต่อกันอีก

ข้อ 7. ค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลไม่สั่งคืนและค่าทนายความให้เป็นพับ


ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 2 ชำระค่าทดแทนแก่โจทก์เป็นเงิน 300,000 บาท ส่วนเรื่องการหย่า ค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรผู้เยาว์ทั้งสองและอำนาจปกครองบุตรผู้เยาว์ทั้งสองให้เป็นไปตามที่โจทก์และจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2565 ค่าฤชาธรรมเนียมระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 ให้เป็นพับ กับให้จำเลยที่ 2 ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 3,000 บาท เฉพาะค่าขึ้นศาลให้ใช้แทนตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดี

จำเลยที่ 2 อุทธรณ์


ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ (ที่ถูก ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ)

โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่โต้แย้งกันในชั้นฎีการับฟังเป็นยุติว่า เดิมโจทก์กับจำเลยที่ 1 เป็นสามีภริยาชอบด้วยกฎหมายและมีบุตรด้วยกัน 2 คน คือ เด็กชาย ท. เกิดเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2556 กับเด็กหญิง ข.หรือ ม. เกิดเมื่อวันที่ 18 กันยายน 2557 ต่อมาเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากัน จากนั้นโจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนสมรสกันอีกครั้งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ในระหว่างสมรสโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้พักอาศัยอยู่ด้วยกันเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไปพักอยู่ที่หอพักของบริษัท ส. ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ส่วนจำเลยที่ 2 เป็นเจ้าของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลป้ายแดง ยี่ห้อมาสด้า จำเลยที่ 2 ขาดนัดยื่นคำให้การ ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น โจทก์กับจำเลยที่ 1 ตกลงกันได้และทำสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับลงวันที่ 19 สิงหาคม 2565 โดยมีข้อตกลงข้างต้นและศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอม


คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยที่ 2 แสดงตนโดยเปิดเผย เพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 สามีโจทก์ในทำนองชู้สาว อันเป็นเหตุให้โจทก์มีสิทธิเรียกค่าทดแทนจากจำเลยที่ 2 หรือไม่ เห็นว่า การที่ภริยาจะฟ้องเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นที่มีความสัมพันธ์กับสามีของตนในทำนองชู้สาวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1523 วรรคสอง ต้องเป็นกรณีที่หญิงดังกล่าวได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับสามีในทำนองชู้สาว โดยหญิงดังกล่าวจะต้องทราบว่าชายนั้นมีภริยาแล้ว แต่ยังจงใจละเมิดสิทธิภริยาด้วย จึงต้องรับผิดใช้ค่าทดแทน คดีนี้แม้จำเลยที่ 2 จะขาดนัดยื่นคำให้การ โจทก์ก็ต้องนำพยานหลักฐานมาสืบให้ได้ความตามคำฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 198 ทวิ ประกอบพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 6 ว่า จำเลยที่ 2 ได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาวโดยทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นสามีโจทก์ โดยเฉพาะการกล่าวหาว่าจำเลยที่ 2 มีความประพฤติอันผิดทำนองคลองธรรมกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ซึ่งเป็นเรื่องร้ายแรงและนำมาแต่ความเสื่อมเสียแก่ครอบครัวของทั้งสองฝ่ายเช่นนี้ ศาลจะต้องรับฟังพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบด้วยความระมัดระวังยิ่งกว่าการรับฟังพยานหลักฐานในคดีแพ่งทั่วไป แม้ข้อเท็จจริงในชั้นนี้รับฟังเป็นที่ยุติว่า จำเลยที่ 2 ได้แสดงตนโดยเปิดเผยเพื่อแสดงว่าตนมีความสัมพันธ์กับจำเลยที่ 1 ในทำนองชู้สาวก็ตาม แต่ประเด็นที่จำเลยที่ 2 ทราบว่าจำเลยที่ 1 เป็นสามีโจทก์หรือไม่นั้น โจทก์คงมีเพียงตัวโจทก์เป็นพยานเบิกความอ้างว่า เมื่อโจทก์สืบทราบว่าจำเลยทั้งสองมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน โจทก์เคยแจ้งให้จำเลยที่ 2 เลิกยุ่งเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นสามีโจทก์ แต่จำเลยที่ 2 เพิกเฉยและยังแอบคบหากับจำเลยที่ 1 อยู่ หลังจากนั้นจำเลยทั้งสองยังนัดหมายไปพบกันที่โรงแรมเพื่อหลับนอนกัน แต่เมื่อพิจารณาถึงข้อเท็จจริงที่ว่า ในระหว่างสมรสโจทก์กับจำเลยที่ 1 มิได้พักอาศัยอยู่ด้วยกันเนื่องจากจำเลยที่ 1 ไปพักอยู่ที่หอพักของบริษัทที่จำเลยที่ 1 ทำงานอยู่ ซึ่งบริษัทดังกล่าวตั้งอยู่ที่ตำบลท่าจีน อำเภอเมืองสมุทรสาคร จังหวัดสมุทรสาคร ส่วนโจทก์และบุตรผู้เยาว์ทั้งสองพักอยู่ที่บ้านเลขที่ 134 โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์เคยไปเยี่ยมเยียนหรือพักอาศัยอยู่กับจำเลยที่ 1 หรือไม่ การที่จำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่ที่หอพักดังกล่าวตามลำพังเช่นนี้ หากจำเลยที่ 1 ไม่แจ้งว่าตนมีภริยาแล้ว ย่อมทำให้จำเลยที่ 2 หรือบุคคลอื่นอาจเข้าใจได้ว่าจำเลยที่ 1 ยังไม่มีคู่สมรสก็เป็นได้ ทั้งในส่วนที่โจทก์อ้างว่าโจทก์เคยแจ้งจำเลยที่ 2 ให้เลิกยุ่งเกี่ยวกับจำเลยที่ 1 แต่จำเลยที่ 2 เพิกเฉยนั้น โจทก์ก็เบิกความลอย ๆ โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดมาสนับสนุนข้ออ้างดังกล่าว ประกอบกับเมื่อพิจารณาเหตุการณ์ตามที่โจทก์กล่าวอ้างว่าจำเลยทั้งสองนัดหมายไปพบกันที่โรงแรมนั้น กลับปรากฏเหตุการณ์ที่โจทก์และเพื่อนโจทก์ติดตามไปพบจำเลยทั้งสองขณะออกจากลิฟท์ของโรงแรมด้วยกัน เมื่อจำเลยทั้งสองเห็นโจทก์ จำเลยที่ 2 พูดกับจำเลยที่ 1 ว่า "ไหนว่าคุยกับเค้าแล้วไง" จากนั้นโจทก์พูดว่า "คุยกันเลย" ซึ่งจำเลยที่ 1 พูดตอบกลับโจทก์ไปว่า "ก็เลิกกันไงยุ้ย" ในทำนองว่าจำเลยที่ 1 ยุติความสัมพันธ์กับโจทก์แล้ว อันเจือสมกับสำเนาใบสำคัญการหย่าเอกสารท้ายอุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ปรากฏรายละเอียดว่า โจทก์กับจำเลยที่ 1 จดทะเบียนหย่ากันเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2559 ซึ่งอาจทำให้จำเลยที่ 2 เข้าใจได้ว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 หย่าขาดจากกันแล้ว โดยไม่ทราบว่าโจทก์กับจำเลยที่ 1 มีการจดทะเบียนสมรสใหม่อีกครั้งเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2560 ดังนั้นเมื่อพิเคราะห์พฤติการณ์ที่โจทก์กับจำเลยที่ 1 พักอาศัยอยู่กันคนละจังหวัด และโจทก์กับจำเลยที่ 1 เคยจดทะเบียนหย่ากันมาก่อน ประกอบกับเหตุการณ์แล้ว รูปคดีจึงน่าเชื่อว่าจำเลยที่ 2 ไม่ทราบว่าจำเลยที่ 1 มีภริยาแล้ว จำเลยที่ 2 จึงมิได้จงใจละเมิดสิทธิของโจทก์ผู้เป็นภริยาจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดชำระค่าทดแทนให้แก่โจทก์ตามมาตรา 1523 วรรคสอง ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 มานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของโจทก์ข้ออื่นอีกต่อไปเพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง

อนึ่ง ส่วนที่จำเลยที่ 2 ยื่นคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกา ฉบับลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2567 นั้น เนื่องจากศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีผลเป็นการยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 จึงไม่มีเหตุที่จะวินิจฉัยคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 2 ดังกล่าวอีกต่อไป นอกจากนี้ เมื่อศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นยกฟ้องจำเลยที่ 2 จึงมีผลเท่ากับเป็นการพิพากษากลับในส่วนจำเลยที่ 2 มีผลทำให้คำพิพากษาศาลชั้นต้นในส่วนจำเลยที่ 2 ถูกเพิกถอนไปทั้งหมด ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษจึงต้องสั่งค่าฤชาธรรมเนียมในส่วนจำเลยที่ 2 ในศาลชั้นต้นใหม่ แต่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษคงสั่งเฉพาะค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาเห็นสมควรสั่งให้ถูกต้อง

พิพากษายืน ให้ยกคำร้องขออนุญาตยื่นบัญชีระบุพยานเพิ่มเติมในชั้นฎีกาของจำเลยที่ 2 ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 2 ให้เป็นพับ


•ม.1523 วรรคสอง: ฟ้องหญิงอื่นได้เมื่อรู้ว่าชายมีภริยา และจงใจละเมิดสิทธิ •ภาระพิสูจน์: ต้องมีหลักฐานชัดเจน คำเบิกความลอย ๆ ไม่พอ •พฤติการณ์ภายนอก: หากแยกกันอยู่หรือเคยหย่า อาจเข้าใจผิดว่าโสด → ไม่ต้องรับผิด
 



ฟ้องค่าทดแทน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5579/2567: การฟ้องเรียกค่าทดแทนจากบุคคลที่สามกรณีชู้สาว และหลักการใช้สิทธิฟ้องโดยสุจริต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5856/2567 สิทธิภริยาในการเรียกค่าทดแทนจากหญิงอื่นตาม ป.พ.พ. มาตรา 1523 วรรคสอง
สิทธิฟ้องค่าทดแทนไม่ต้องอยู่ร่วมกันและอุปการะเลี้ยงดูกันก็ฟ้องชู้สาวได้
การกระทำละเมิดของจำเลยได้เกิดขึ้นและมีอยู่ในขณะฟ้องคดีโจทก์จึงไม่ขาดอายุความ
ทำหนังสือสัญญาหย่าแต่ยังไม่มีการจดทะเบียนหย่า
โจทก์มีภาพถ่ายที่จำเลยนั่งอยู่ในอ้อมกอดของสามีโจทก์
สามีภริยาหย่ากันโดยสัญญายอมความเรียกค่าทดแทนชู้ตามมาตรา 1516(1) ไม่ได้