

เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งก่อน, การพิทักษ์ทรัพย์ลูกหนี้เด็กขาด ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ • เจ้าหนี้ฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ โดยไม่ต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งก่อน • คำพิพากษาศาลฎีกา 540/2567 • เกี่ยวกับคดีล้มละลายตามกฎหมายไทย • กฎหมายล้มละลาย มาตรา 9 (3) • การพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลย • หนี้สินล้นพ้นตัวคืออะไร • นิติสัมพันธ์เกี่ยวกับการชำระหนี้ • หลักกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 สรุปย่อ คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2567 สรุปย่อได้ดังนี้: จำเลยได้เบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราและขายคืนให้โจทก์ นิติสัมพันธ์นี้เป็นสัญญาแบบหนึ่งที่ไม่มีการกำหนดเป็นเอกเทศสัญญาในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มีผลผูกพันให้ทั้งสองฝ่ายชำระหนี้ตามสัญญา แม้ว่าโจทก์จะฟ้องว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ แต่การบรรยายฟ้องและพยานหลักฐานบ่งชี้ว่าเป็นการสัญญาที่บังคับได้ ศาลมีอำนาจปรับใช้กฎหมายที่ถูกต้องในการตัดสินคดี ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 9 (3) เจ้าหนี้ฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้หากหนี้กำหนดจำนวนได้แน่นอน โดยไม่ต้องฟ้องแพ่งก่อน การตัดทอนบัญชีชี้ว่าจำเลยมีหนี้โจทก์ไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์จึงมีสิทธินำคดีล้มละลายมาฟ้องได้ ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาด จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การตัดทอนบัญชีมีหลักฐานชัดเจนว่าจำเลยมีภาระหนี้ และจำเลยลงลายมือชื่อยอมรับหนี้ รายการที่จำเลยอ้างว่าไม่ได้ลงชื่อเป็นการลดหนี้ซึ่งเป็นประโยชน์กับจำเลย จึงรับฟังว่าจำเลยเป็นหนี้ตามฟ้อง ศาลฎีกาพิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งหมด โดยหักจากกองทรัพย์สิน *หลักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2567 มีดังนี้: 1. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 มาตรานี้ระบุว่า หากมีการให้กู้ยืมเงิน ผู้กู้ต้องคืนเงินที่กู้ไปตามจำนวนที่ได้รับไป โดยหลักการนี้มีความสำคัญในการพิจารณาว่าความสัมพันธ์ทางนิติกรรมที่เกี่ยวข้องกับการยืมเงินหรือเบิกเงินนั้นเป็นการกู้ยืมหรือไม่ แม้ว่าคดีนี้จำเลยจะไม่ถูกฟ้องในฐานะผู้กู้ยืมโดยตรง แต่การตีความความสัมพันธ์ในลักษณะการเบิกเงินเพื่อการซื้อขายสามารถเชื่อมโยงถึงการชำระหนี้ตามสัญญาได้ 2. พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) มาตรา 8 (9) บัญญัติให้ข้อสันนิษฐานว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัวเมื่อเจ้าหนี้ได้ทวงถามให้ชำระหนี้อย่างถูกต้องตามขั้นตอนแล้วแต่ลูกหนี้ยังไม่ชำระหนี้ภายในระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ข้อนี้เป็นประโยชน์ในการพิสูจน์ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่เมื่อโจทก์ได้นำพยานหลักฐานแสดงการทวงถามหนี้ถึงสองครั้งที่มีระยะห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยยังไม่ชำระหนี้ 3. พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) มาตรา 9 (3) กำหนดให้เจ้าหนี้สามารถฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้หากหนี้ดังกล่าวสามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน โดยไม่จำเป็นต้องเป็นหนี้ที่ถึงกำหนดชำระในทันทีหรือในอนาคตก็ได้ และไม่จำเป็นต้องมีการฟ้องคดีแพ่งเพื่อกำหนดจำนวนหนี้ก่อนการฟ้องล้มละลาย ข้อนี้ทำให้โจทก์สามารถฟ้องจำเลยในคดีล้มละลายได้แม้ว่าจะยังไม่เคยฟ้องแพ่งเพื่อพิสูจน์จำนวนหนี้มาก่อน การทำความเข้าใจหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงวิธีการที่ศาลใช้ในการพิจารณาความถูกต้องของการฟ้องคดีและการรับฟังข้อเท็จจริงในคดีล้มละลาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 540/2567 จำเลยเบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนแล้วนำมาขายให้แก่โจทก์ จากนั้นจึงหักทอนบัญชีกัน นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทเป็นเอกเทศสัญญาไว้ใน ป.พ.พ. แต่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องชำระหนี้ต่อกันตามสัญญาดังกล่าว แม้โจทก์ฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องมาว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ *พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตามเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อนไม่ โจทก์จึงไม่จำต้องนำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อรายการตัดทอนบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ย่อมมีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้
****โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้เป็นบุคคลล้มละลาย *จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง *ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 และให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยให้หักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร *จำเลยอุทธรณ์ *ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับให้ยกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสองศาลให้พับ *โจทก์ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา *ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ เห็นว่า โจทก์มีนางสาวทัศนีย์และนายปิยะราชเป็นพยานเบิกความทำนองเดียวกันว่า จำเลยขอเบิกเงินจากโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของแปลงไม้ติดต่อกันหลายครั้งตั้งแต่ช่วงเดือนตุลาคม 2552 ถึงเดือนธันวาคม 2562 โดยจำเลยจะเป็นผู้จัดหาแปลงไม้ยางพาราและประเมินราคาด้วยตนเอง จากนั้นจะนำมาเสนอโจทก์เพื่อขออนุมัติเงิน หากโจทก์มีคำสั่งอนุมัติ โจทก์จะส่งมอบเงินมัดจำส่วนแรกให้แก่จำเลยโดยให้จำเลยลงลายมือชื่อไว้เพื่อให้จำเลยนำไปวางมัดจำกับเจ้าของสวนยางพารา ก่อนตัดโค่นไม้ยางพาราโจทก์จะส่งมอบเงินค่าไม้ยางพาราส่วนที่เหลือให้แก่จำเลยโดยให้จำเลยลงชื่อรับเงินอีกครั้ง จำเลยจะตัดโค่นไม้ยางพาราเองและนำไม้ที่ได้มาขายให้แก่โจทก์แล้วหักกลบลบหนี้กันโดยวิธีตัดทอนทางบัญชี จำเลยมิได้ซื้อไม้ยางพาราในฐานะตัวแทนของโจทก์ ซึ่งคำเบิกความของนางสาวทัศนีย์และนายปิยะราชดังกล่าวล้วนสอดคล้องกับรายการตัดทอนบัญชี สัญญามัดจำหรือสัญญาซื้อขายไม้ยางพาราและใบชั่งน้ำหนัก ซึ่งระบุชื่อจำเลยว่าเป็นลูกหนี้โจทก์ ทั้งมีรายละเอียดเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ขอเบิก จำนวนหนี้คงเหลือและการชั่งน้ำหนักไม้ที่จำเลยนำมาขายให้แก่โจทก์ซึ่งสามารถคิดคำนวณได้ว่า ณ วันฟ้องคดีนี้จำเลยเป็นหนี้โจทก์เป็นเงินจำนวนเท่าใด ทั้งรายการตัดทอนบัญชีมีลายมือชื่อของจำเลยกำกับไว้เกือบทุกรายการที่มีการเคลื่อนไหวทางบัญชี ประกอบกับจำเลยเองก็เบิกความยอมรับว่า ลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวเป็นลายมือชื่อของจำเลยจริง ส่วนที่จำเลยนำสืบว่าจำเลยลงลายมือชื่อในรายการตัดทอนบัญชีเพื่อรับทราบเท่านั้น เมื่อพิจารณาว่าเอกสารดังกล่าวมีข้อความระบุชัดเจนว่า ณ วันที่จำเลยลงลายมือชื่อจำเลยมีภาระหนี้คงเหลือต่อโจทก์เท่าใด ก่อนลงลายมือชื่อจำเลยย่อมต้องคาดหมายแล้วว่าเอกสารดังกล่าวอาจผูกมัดจำเลยให้ต้องรับผิดต่อโจทก์ได้ นอกจากนี้หากจำเลยมิได้เป็นหนี้โจทก์จริง ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จำเลยต้องลงลายมือชื่อยอมรับว่ามีภาระหนี้คงเหลือต่อโจทก์ ทั้งการลงลายมือชื่อในเอกสารดังกล่าวยังขัดแย้งกับข้อกล่าวอ้างของจำเลยที่ว่าจำเลยเป็นเพียงตัวแทนโจทก์ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นจริงยิ่งไม่มีความจำเป็นใด ๆ ที่จำเลยต้องลงลายมือชื่อรับทราบภาระหนี้คงเหลือในรายการตัดทอนบัญชี เพราะจำเลยย่อมไม่มีภาระหนี้หรือความรับผิดต่อโจทก์ หากการซื้อขายไม้ยางพารากับเจ้าของสวนกระทำในฐานะตัวแทนโจทก์ดังที่จำเลยอ้าง และที่จำเลยแก้ฎีกาว่าจำเลยมิได้ลงลายมือชื่อครบทุกรายการในเอกสารดังกล่าว และหลายรายการในหน้าที่ 68 และ 69 เป็นลายมือชื่อของบุคคลอื่นนั้น เมื่อพิจารณารายการตัดทอนบัญชีแล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะมิได้ลงลายมือชื่อในบางรายการ แต่การที่จำเลยลงลายมือชื่อในรายการต่อ ๆ มา ซึ่งมีรายการยอดคงเหลือที่รวมรายการก่อนหน้านั้นไว้ด้วยแล้ว ถือได้ว่าจำเลยยอมรับว่ารายการก่อนหน้าและยอดคงเหลือถูกต้อง ส่วนที่หลายรายการในหน้าที่ 68 และ 69 ที่เป็นลายมือชื่อของบุคคลอื่นนั้น เป็นรายการเงินคืนที่ทำให้ยอดคงเหลือลดลง ซึ่งเป็นประโยชน์แก่จำเลย และเนื่องจากหัวกระดาษในแต่ละหน้าของรายการตัดทอนบัญชีดังกล่าวมีการระบุชื่อจำเลยไว้อย่างชัดแจ้งแล้ว จึงไม่อาจรับฟังว่าบุคคลอื่นลงลายมือชื่อให้ผูกพันตนเองดังที่จำเลยแก้ฎีกา รายการตัดทอนบัญชีจึงมีข้อความเพียงพอให้รับฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์และมีภาระหนี้เงินคงค้างต่อกันเท่าใด พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาจึงมีน้ำหนักน้อยกว่าพยานหลักฐานโจทก์ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ตามทางนำสืบของโจทก์ว่า จำเลยเบิกเงินโจทก์เพื่อนำไปซื้อไม้ยางพาราจากเจ้าของสวนแล้วนำมาขายให้แก่โจทก์ จากนั้นจึงหักทอนบัญชีกันตามรายการหักทอนบัญชี นิติสัมพันธ์ระหว่างโจทก์และจำเลยจึงมีลักษณะเป็นสัญญาประเภทหนึ่งที่มิได้กำหนดแยกประเภทเป็นเอกเทศสัญญาไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่มีผลผูกพันโจทก์และจำเลยให้ต้องชำระหนี้ต่อกันตามสัญญาดังกล่าว แม้โจทก์จะฟ้องคดีตั้งรูปเรื่องมาว่าจำเลยเป็นหนี้เงินกู้ยืม แต่ก็ได้บรรยายฟ้องและนำสืบเข้าลักษณะสัญญาประเภทหนึ่งที่บังคับกันได้ดังวินิจฉัยไว้ข้างต้น ซึ่งในการวินิจฉัยชี้ขาดคดี ศาลย่อมมีอำนาจยกบทกฎหมายที่ถูกต้องมาปรับแก่คดีได้ ส่วนที่จำเลยแก้ฎีกาว่าโจทก์ไม่เคยฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งมาก่อน แต่กลับนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลาย จำเลยไม่มีโอกาสได้พิสูจน์ตามกระบวนวิธีพิจารณาคดีแพ่งทั่วไป นั้น พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า เจ้าหนี้จะฟ้องลูกหนี้ให้ล้มละลายได้ก็ต่อเมื่อหนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่ว่าหนี้นั้นจะถึงกำหนดชำระโดยพลันหรือในอนาคตก็ตามเท่านั้น หาได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลต้องพิพากษากำหนดจำนวนแน่นอนเสียก่อนไม่ และในการพิจารณาคดีล้มละลายจำเลยก็สามารถต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เช่นเดียวกับในการพิจารณาคดีแพ่ง โจทก์จึงไม่จำต้องนำหนี้ดังกล่าวไปฟ้องจำเลยเป็นคดีแพ่งก่อนที่จะฟ้องคดีล้มละลาย เมื่อรายการตัดทอนบัญชีระบุว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ซึ่งมีจำนวนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาทสำหรับลูกหนี้ซึ่งเป็นบุคคลธรรมดา หนี้ตามฟ้องจึงเป็นหนี้ที่กำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนไม่น้อยกว่าหนึ่งล้านบาท โจทก์ย่อมมีอำนาจนำหนี้ดังกล่าวมาฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า หนี้ตามฟ้องยังมีข้อโต้แย้ง โจทก์จึงยังไม่อาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น ส่วนปัญหาว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวหรือไม่ และมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษยังไม่ได้วินิจฉัย แต่เมื่อมีการสืบพยานโจทก์และจำเลยเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อให้คดีเสร็จไปโดยเร็ว ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาดังกล่าวไปเสียทีเดียวโดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยก่อน เห็นว่า ก่อนฟ้องคดีนี้โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ จึงต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ซึ่งจำเลยนำสืบเพียงว่า จำเลยมีภูมิลำเนาเป็นหลักแหล่งและมีรายได้ไม่น้อยกว่าเดือนละ 70,000 บาท แต่จำเลยไม่มีเอกสารใดมายืนยันว่ามีรายได้ดังกล่าวจริง ทั้งไม่ปรากฏว่าจำเลยมีทรัพย์สินอื่นใดอีก ข้อนำสืบของจำเลยไม่อาจรับฟังหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว และไม่ปรากฏว่าจำเลยขวนขวายพยายามชำระหนี้แก่โจทก์ กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย *พิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลแทนโจทก์ โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร *หมายเหตุ คำว่า “คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด” หมายถึง คำสั่งของศาลที่ออกเพื่อคุ้มครองทรัพย์สินของลูกหนี้ในคดีล้มละลาย ซึ่งจะส่งผลให้เจ้าหนี้ทั้งหลายไม่สามารถดำเนินคดีหรือบังคับคดีเกี่ยวกับทรัพย์สินของลูกหนี้ได้โดยไม่ได้รับอนุญาตจากศาล เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์จะเข้ามามีบทบาทในการจัดการทรัพย์สินของลูกหนี้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าหนี้ทุกคนอย่างเท่าเทียม กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: •พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 ระบุว่า เมื่อศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด ทรัพย์สินทั้งหมดของลูกหนี้จะต้องตกอยู่ในความดูแลและควบคุมของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ การดำเนินการเกี่ยวกับทรัพย์สินใด ๆ ของลูกหนี้ต้องได้รับความยินยอมจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นโมฆะ อธิบายบทกฎหมายที่อ้างอิง: •มาตรา 14 มีความสำคัญในกระบวนการล้มละลาย เนื่องจากเป็นกลไกที่ทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ถูกควบคุมเพื่อป้องกันการโอนย้ายทรัพย์สินที่อาจก่อให้เกิดความเสียหายแก่เจ้าหนี้รายอื่น นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้เกิดความยุติธรรมในการแบ่งปันทรัพย์สินตามสิทธิ์ของเจ้าหนี้อย่างเหมาะสม คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดเป็นการเริ่มต้นกระบวนการล้มละลายอย่างเป็นทางการที่ทำให้ทรัพย์สินของลูกหนี้ถูกจัดการและคุ้มครองตามที่กฎหมายกำหนด เพื่อให้เจ้าหนี้ได้รับการชำระหนี้ตามสัดส่วนที่ถูกต้อง |