

หนี้สินล้นพ้นตัว, ฟ้องล้มละลายบุคคลธรรมดาหนี้สองล้านบาท, คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด, ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ หนี้สินล้นพ้นตัว, ฟ้องล้มละลายบุคคลธรรมดาหนี้สองล้านบาท, คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด, *โจทก์ได้ทวงถามหนี้จากจำเลย 2 ครั้งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่า 30 วัน แต่จำเลยไม่ชำระ ศาลจึงถือว่าโจทก์ปฏิบัติตามเงื่อนไขตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) ที่ให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยจึงต้องนำพยานหลักฐานมาหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ข้ออ้างของจำเลย: จำเลยอ้างว่ามีทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องรวม 395,966,852.38 บาท ซึ่งเพียงพอต่อการชำระหนี้ตามฟ้อง อย่างไรก็ตาม หลักฐานที่จำเลยนำเสนอมักขาดความน่าเชื่อถือ เช่น: 1.เงินฝากในธนาคาร: แม้เอกสารระบุยอดเงินฝาก 106,597,160.68 บาท แต่เป็นเพียงเอกสารที่จำเลยจัดทำขึ้นเอง 2.ยานพาหนะ: จำเลยอ้างว่ามูลค่าตามบัญชีต่ำกว่ามูลค่าจริง แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจนจากผู้เชี่ยวชาญที่เกี่ยวข้อง 3.สิทธิเรียกร้องค่าบริการ: จำเลยอ้างว่ายังมีสิทธิเรียกร้องค่าสินค้าและค่าบริการจากบริษัทอื่น แต่ไม่มีเอกสารแนบท้ายที่แสดงการรับชำระเงินหรือการออกใบแจ้งหนี้ที่ชัดเจน 4.ภาษีที่รอเรียกคืน: หลักฐานการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่สมบูรณ์ ไม่มีการพิสูจน์ว่าจำเลยยื่นเอกสารขอคืนตามกฎหมายจริง คำวินิจฉัยของศาล: •หลักฐานที่จำเลยนำเสนอไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่ามีทรัพย์สินเพียงพอสำหรับชำระหนี้ และไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายได้ •พฤติการณ์ที่จำเลยไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ และยังจดทะเบียนเลิกบริษัท แสดงให้เห็นถึงสถานการณ์ที่ไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้ล้มละลาย ผลคำพิพากษา: ศาลฎีกาเห็นพ้องกับศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้จำเลยล้มละลาย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น สรุป: ข้อเท็จจริงแสดงว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ไม่มีทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องเพียงพอที่จะชำระหนี้ทั้งหมด จึงไม่มีเหตุอื่นที่สมควรให้จำเลยพ้นจากการล้มละลาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2567 หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ค่าเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ เป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอนและนำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งหรือให้ศาลในคดีแพ่งมีคำพิพากษาก่อน พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน มิได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลจะต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนให้แน่นอนเสียก่อน จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ ต้องด้วยข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามมาตรา 8 (9) จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว แต่พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบมาไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมายได้ ข้อเท็จจริงจึงฟังว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ ทั้งยังจดทะเบียนเลิกบริษัท กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย โจทก์ฟ้องขอให้มีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดและพิพากษาให้ล้มละลาย จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การขอให้ยกฟ้อง ศาลล้มละลายกลางพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 14 กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในศาลชั้นต้นและในศาลชั้นอุทธรณ์แทนโจทก์โดยหักจากกองทรัพย์สินของจำเลย เฉพาะค่าทนายความให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์กำหนดตามที่เห็นสมควร จำเลยฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อแรกว่า หนี้ตามฟ้องนั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนหรือไม่ และโจทก์มีอำนาจฟ้องคดีนี้หรือไม่ เห็นว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเป็นคดีนี้นั้น โจทก์อ้างว่าเป็นหนี้ค่าเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขาย 31,000,000 บาท และค่าสินค้าที่สั่งซื้อซึ่งจำเลยค้างชำระแก่โจทก์ 343,976,286.27 บาท รวมเป็นเงิน 374,976,286.27 บาท โดยโจทก์แนบหนังสือข้อตกลงการจ่ายเงินทดรองและสำเนาใบส่งของ/ใบกำกับภาษีพร้อมรายการสรุปเอกสารแนบท้ายคำฟ้องมาพร้อมกับฟ้อง ซึ่งหนังสือข้อตกลงการจ่ายเงินทดรองมีการระบุจำนวนเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขายและข้อตกลงที่จำเลยจะคืนเงินดังกล่าวแก่โจทก์ไว้อย่างชัดเจน ส่วนสำเนาใบส่งของ/ใบกำกับภาษีก็มีการระบุชื่อจำเลยเป็นลูกค้าโดยมีรายการสินค้าและจำนวนเงินค่าสินค้าที่ส่งมอบในแต่ละครั้ง ข้ออ้างตามฎีกาของจำเลยที่ว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้ตามรายการที่โจทก์ฟ้องล้วนขัดต่อข้อเท็จจริงที่ปรากฏในเอกสารจึงไม่มีน้ำหนักให้รับฟัง ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า หนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ค่าเงินยืมเพื่อทดรองจ่ายในกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อจากโจทก์ ซึ่งเป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน ส่วนที่จำเลยอ้างว่าโจทก์และจำเลยเป็นหุ้นส่วนกันและจำเลยอาจใช้สิทธิหักกลบลบหนี้ได้ นั้น กรณีดังกล่าวหาทำให้หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องซึ่งเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนแล้วกลับกลายเป็นหนี้ที่ไม่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนอีกไม่ อีกทั้งหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่นำมาฟ้องเป็นคดีล้มละลายได้โดยไม่จำต้องฟ้องเป็นคดีแพ่ง หรือให้ศาลในคดีแพ่งมีคำพิพากษาก่อน เนื่องจากพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) บัญญัติเพียงว่า หนี้นั้นอาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน มิได้บัญญัติว่าหนี้นั้นศาลจะต้องมีคำพิพากษากำหนดจำนวนให้แน่นอนเสียก่อนแต่อย่างใด ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นหนี้โจทก์ในมูลหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนเป็นจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท โจทก์ย่อมมีอำนาจฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อต่อไปว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและกรณีมีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลายหรือไม่ เห็นว่า ข้อเท็จจริงได้ความจากทางนำสืบของโจทก์ว่า โจทก์มีหนังสือทวงถามให้จำเลยชำระหนี้แล้วสองครั้ง ซึ่งมีระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน แต่จำเลยไม่ชำระหนี้ ข้อนำสืบของโจทก์ดังกล่าวถือว่าโจทก์ได้ปฏิบัติตามเงื่อนไขแห่งการที่ตนจะได้รับประโยชน์จากข้อสันนิษฐานว่า จำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 8 (9) แล้ว จำเลยมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาสืบหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว ที่จำเลยนำสืบและฎีกาว่า หนี้ตามฟ้องโจทก์มีเพียง 374,976,286.27 บาท แต่จำเลยมีทรัพย์สินและลูกหนี้การค้า รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 395,966,852.38 บาท เพียงพอที่จะชำระหนี้ตามฟ้อง จำเลยจึงไม่ได้มีหนี้สินล้นพ้นตัว นั้น เห็นว่า เมื่อพิจารณาทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องที่จำเลยอ้างว่าจะได้รับ ประกอบกับข้อฎีกาของจำเลยเกี่ยวกับทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องแต่ละรายการตามที่ปรากฏในเอกสารดังกล่าว โดยเฉพาะเงินฝากในบัญชีธนาคารที่จำเลยฎีกาว่า ณ วันที่โจทก์ฟ้องคดีมีจำนวน 106,597,160.68 บาท แม้เอกสารดังกล่าวบางฉบับเป็นสำเนาเอกสาร บางฉบับเป็นรายการเดินบัญชีซึ่งพิมพ์จากระบบคอมพิวเตอร์ตามที่โจทก์แก้ฎีกามาก็ตาม แต่จำเลยก็ได้แนบเอกสารฉบับที่เจ้าหน้าที่ธนาคารรับรองมาท้ายคำแถลงการณ์ปิดคดี ข้อเท็จจริงจึงรับฟังได้ว่าจำเลยมีเงินฝากในบัญชีธนาคารจำนวนดังกล่าวตามที่จำเลยฎีกา อย่างไรก็ตามในส่วนยานพาหนะที่จำเลยฎีกาว่ามีมูลค่าทางบัญชี 5,964,127.24 บาท แต่มีมูลค่าที่แท้จริง 14,930,000 บาท และอ้างว่ามูลค่าทรัพย์สินที่ปรากฏในงบการเงินเป็นเพียงการแสดงมูลค่าทางบัญชีเท่านั้น ไม่ใช่มูลค่าทรัพย์สินที่ซื้อขายกันจริงตามท้องตลาด และตามปกติแล้วมูลค่าทางบัญชีจะน้อยกว่าราคาท้องตลาด นั้น นางสาวสุขกมล พยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า จำเลยประเมินราคาโดยเชิญศูนย์รถยนต์มาร่วมประเมินด้วย แต่จำเลยไม่มีพยานหลักฐานใดมาสนับสนุนว่าการประเมินราคาเป็นการประเมินโดยผู้ใดและใช้หลักเกณฑ์อย่างไรในการประเมิน ลำพังเอกสารที่จำเลยจัดทำขึ้นเองและสำเนาใบคู่มือจดทะเบียน ไม่มีน้ำหนักให้รับฟังว่ายานพาหนะมีมูลค่าที่แท้จริงสูงกว่ามูลค่าทางบัญชีดังที่จำเลยอ้าง ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัท ส. ชำระค่าบริการจัดการจำนวน 29,161,564 บาท ซึ่งพยานจำเลยเบิกความตอบทนายโจทก์ถามค้านว่า ค่าบริการจัดการค้างรับตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2562 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2563 จำเลยได้ออกใบแจ้งหนี้ไปยังบริษัท ส. และมีการชำระภาษีมูลค่าเพิ่มตามกฎหมายแล้ว ซึ่งเป็นใบสรุปรายการ ปรากฏรายการยอดยกมาก่อนวันที่ 31 กรกฎาคม 2562 จำนวน 41,481,652 บาท จำเลยมิได้นำสืบเกี่ยวกับจำนวนเงินดังกล่าวว่าเป็นค่าบริการจัดการค้างรับเมื่อใด ทั้งไม่มีใบแจ้งหนี้แนบท้าย นอกจากนี้ตามใบสรุปรายการก็ปรากฏรายการบันทึกรับค่าบริการจัดการและปรับปรุงล้างค่าบริการจัดการค้างรับ ซึ่งจำเลยก็มิได้นำสืบถึงรายละเอียดดังกล่าวว่าเป็นการรับชำระหนี้รายการใดหรือเหตุใดจึงต้องปรับปรุงรายการ กรณีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้บริษัท ส. ชำระค่าบริการจัดการจำนวน 29,161,564 บาท ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม ค่าภาษีนิติบุคคล และค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย ที่จำเลยรอเรียกคืน จำนวน 38,165,534.49 บาท ตามเอกสารหมาย ล.41 ถึง ล.45 นั้น เมื่อพิจารณาเอกสารดังกล่าวแล้ว เอกสารหมาย ล.41 เป็นเอกสารที่จำเลยชำระภาษีมูลค่าเพิ่มแก่กรมสรรพากรเนื่องจากตามแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม ภ.พ. 30 มีภาษีขายมากกว่าภาษีซื้อ มิใช่กรณีมีภาษีซื้อมากกว่าภาษีขายที่จะถือว่าจำเลยชำระภาษีไว้เกิน จำเลยจึงไม่มีสิทธิได้รับภาษีมูลค่าเพิ่มที่ชำระไปคืนจากกรมสรรพากร ส่วนเอกสารหมาย ล. 42 และ ล.43 จำเลยมีเพียงสำเนาหน้าแรกของแบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ภ.ง.ด. 50 มาแสดง โดยไม่มีพยานหลักฐานอื่นมาสนับสนุนว่าจำเลยได้ยื่นแบบแสดงรายการดังกล่าวต่อกรมสรรพากรแล้วและมีสิทธิขอคืนภาษีจริง จึงไม่เพียงพอให้รับฟังว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้กรมสรรพากรคืนเงินภาษีเงินได้นิติบุคคล ส่วนเอกสารหมาย ล.44 และ ล.45 ก็มีเพียงรายการสรุปที่จำเลยจัดทำขึ้นมาเองโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน จึงไม่อาจรับฟังได้ว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องที่จะเรียกคืนค่าภาษีหัก ณ ที่จ่าย เช่นกัน ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าเงินค่าภาษีที่จำเลยรอเรียกคืนตามเอกสารหมาย ล.41 ถึง ล.45 เป็นส่วนหนึ่งของค่าโปรโมชั่นส่งเสริมการขายที่โจทก์มีหน้าที่ต้องชำระคืนแก่จำเลย หากจำเลยไม่ได้รับเงินคืนจากกรมสรรพากร โจทก์ก็ต้องรับผิดคืนเงินดังกล่าวให้แก่จำเลย เห็นว่า แม้จำเลยจะมีสิทธิเรียกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มจากค่าโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย และโจทก์มีหน้าที่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่าย แต่รายการภาษีดังกล่าวจะเกิดขึ้นเมื่อโจทก์ชำระค่าโปรโมชั่นส่งเสริมการขายไม่เกี่ยวข้องกับรายการภาษีที่จำเลยอ้างว่ารอเรียกคืนจากกรมสรรพากรตามเอกสารหมาย ล.41 ถึง ล.45 แต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยยังไม่เพียงพอให้รับฟังว่า จำเลยมีสิทธิเรียกคืนค่าภาษีจากกรมสรรพากรหรือจากโจทก์ และที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ชำระเงินค่าสนับสนุนหนี้สูญในอัตราร้อยละ 0.5 ของยอดขายทั้งหมด ค่าสินค้าชำรุดบกพร่องเสียหายและสินค้าดีที่ลูกค้าส่งคืนและจำเลยต้องสำรองจ่ายเงินให้แก่ลูกค้าแทนโจทก์ และค่าโปรโมชั่นส่งเสริมการขายรวมเป็นเงิน 195,477,916.61 บาท ปรากฏว่ารายการดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของรายการที่จำเลยได้ฟ้องโจทก์เป็นคดีแพ่งหมายเลขดำที่ พ.1855/2563 ซึ่งศาลยังไม่มีคำพิพากษาว่าโจทก์จะต้องชำระเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยหรือไม่ เพียงใด แต่ไม่ว่าจำเลยจะมีสิทธิหักกลบลบหนี้จำนวนดังกล่าวกับหนี้ตามฟ้องโจทก์หรือไม่ก็ตาม ทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องรายการอื่นซึ่งไม่ได้แยกวินิจฉัยให้นั้นมีมูลค่าหรือคิดเป็นจำนวนเงินไม่มาก แม้จะรับฟังว่ามีมูลค่าตามที่จำเลยอ้างรวมกับมูลค่าทรัพย์สินหรือสิทธิเรียกร้องที่ได้วินิจฉัยมาแล้วว่ารับฟังได้ก็มีจำนวนเงินรวมไม่เพียงพอที่จะชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งหมด พยานหลักฐานที่จำเลยนำสืบไม่อาจหักล้างข้อสันนิษฐานของกฎหมาย ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว พฤติการณ์ของจำเลยที่ไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ทั้งยังจดทะเบียนเลิกบริษัท กรณีจึงไม่มีเหตุอื่นที่ไม่ควรให้จำเลยล้มละลาย ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษากลับ ให้พิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาดมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาข้อนี้ของจำเลยฟังไม่ขึ้นเช่นกัน และไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาข้ออื่นตามฎีกาของจำเลยต่อไป เพราะไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลง พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ • ฟ้องล้มละลาย • หนี้สินล้นพ้นตัว • พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 • มาตรา 8 ล้มละลาย • มาตรา 9 หนี้ล้มละลาย • คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด • หนี้ที่กำหนดจำนวนได้แน่นอน • เงื่อนไขการล้มละลาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2567 (ย่อ) ข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย: หนี้ตามฟ้องของโจทก์เกี่ยวข้องกับเงินยืมเพื่อกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยสั่งซื้อ เป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอนตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 9 (3) ไม่จำเป็นต้องฟ้องเป็นคดีแพ่งก่อน ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว เนื่องจากโจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้สองครั้งห่างกันเกิน 30 วัน แต่จำเลยไม่ชำระ ถือว่าปฏิบัติตามเงื่อนไขตามมาตรา 8 (9) แล้ว ข้อกล่าวอ้างของจำเลย: จำเลยอ้างว่าหนี้ที่โจทก์ฟ้องไม่ถูกต้องและว่าตนมีทรัพย์สินเพียงพอ แต่หลักฐานที่จำเลยนำมาไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมายได้ เช่น การประเมินมูลค่าทรัพย์สินและสิทธิเรียกร้องจากคู่ค้า ซึ่งไม่มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน นอกจากนี้ การเรียกร้องคืนภาษีหรือสิทธิการหักกลบลบหนี้ยังไม่มีคำพิพากษาในคดีอื่นมายืนยัน คำวินิจฉัย: •ศาลเห็นว่าหนี้ตามฟ้องเป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน •จำเลยไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว •การเลิกบริษัทและไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ยืนยันว่าจำเลยสมควรถูกล้มละลาย ผลคำพิพากษา: ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ให้พิทักษ์ทรัพย์จำเลยเด็ดขาดและให้จำเลยล้มละลาย โดยยกฎีกาของจำเลยทุกประเด็น ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ การอธิบายหลักกฎหมายตาม พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 ที่เกี่ยวข้อง มาตรา 8: สันนิษฐานว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว •หลักการสำคัญ: มาตรา 8 กำหนดเงื่อนไขที่ถือว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว โดยระบุว่า หากเจ้าหนี้มีหลักฐานว่าลูกหนี้ไม่ชำระหนี้หลังจากมีการทวงถามไม่น้อยกว่า 30 วัน จะเกิดข้อสันนิษฐานตามกฎหมายว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว •การบังคับใช้ในคดีนี้: ในกรณีนี้ โจทก์ได้ส่งหนังสือทวงถามสองครั้ง ห่างกันเกิน 30 วัน แต่จำเลยยังไม่ชำระหนี้ จึงเข้าเงื่อนไขของมาตรา 8 และเกิดข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว จำเลยจึงต้องมีหน้าที่นำพยานหลักฐานมาหักล้างข้อสันนิษฐานดังกล่าว มาตรา 9: หนี้ที่สามารถฟ้องให้ลูกหนี้ล้มละลายได้ •หลักการสำคัญ: มาตรา 9 ระบุว่าหนี้ที่สามารถนำมาฟ้องล้มละลายได้ต้องเป็นหนี้ที่มีจำนวนไม่น้อยกว่า 2,000,000 บาท (ในกรณีลูกหนี้บุคคลธรรมดา) และต้องเป็นหนี้ที่ "สามารถกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน" ไม่จำเป็นต้องมีคำพิพากษาก่อนว่าสามารถกำหนดจำนวนได้ •การบังคับใช้ในคดีนี้: หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องประกอบด้วยเงินยืมเพื่อส่งเสริมการขายและค่าสินค้าที่จำเลยค้างชำระ รวมเป็นเงินกว่า 374 ล้านบาท ซึ่งเป็นหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้แน่นอน และเกิน 2,000,000 บาทตามข้อกำหนดในมาตรา 9 ดังนั้น โจทก์จึงมีสิทธินำหนี้นี้มาฟ้องให้จำเลยล้มละลายได้ มาตรา 14: คำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด •หลักการสำคัญ: มาตรา 14 ระบุว่าหลังจากที่ศาลพิจารณาแล้วว่ามีเหตุให้ลูกหนี้ถูกฟ้องล้มละลาย ศาลสามารถมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ได้ โดยทรัพย์สินของลูกหนี้ทั้งหมดจะตกอยู่ในความควบคุมของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ •การบังคับใช้ในคดีนี้: ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของจำเลยเด็ดขาด เนื่องจากข้อเท็จจริงแสดงว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัวและมีพฤติการณ์ที่สมควรให้ล้มละลาย ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในคำพิพากษายืน สรุปภาพรวมการเชื่อมโยงกฎหมายกับคดี: •มาตรา 8 ใช้ในการสร้างข้อสันนิษฐานว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว •มาตรา 9 ใช้กำหนดลักษณะของหนี้ที่สามารถฟ้องล้มละลายได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีคำพิพากษาก่อน •มาตรา 14 เป็นพื้นฐานสำหรับการออกคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาดและกระบวนการเข้าสู่ภาวะล้มละลาย การอธิบายหลักกฎหมายดังกล่าวช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจว่าเหตุใดโจทก์จึงมีสิทธิฟ้อง และเหตุผลที่ศาลพิจารณาว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว รวมถึงขั้นตอนการเข้าสู่ภาวะล้มละลาย
****คำว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวตามกฎหมายล้มละลายคืออะไร ความหมายของคำว่า "หนี้สินล้นพ้นตัว" ตามกฎหมายล้มละลาย "หนี้สินล้นพ้นตัว" เป็นคำที่ใช้ใน พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 เพื่อสื่อถึงสถานการณ์ที่ลูกหนี้มีภาระหนี้สินมากกว่าทรัพย์สินที่ตนมีอยู่ จนไม่สามารถชำระหนี้สินได้เต็มจำนวนภายในเวลาที่กำหนดไว้ตามกฎหมาย ในกรณีที่ลูกหนี้ไม่ชำระหนี้ตามคำทวงถามของเจ้าหนี้ และการไม่ชำระหนี้นั้นมีระยะเวลาห่างจากการทวงถามไม่น้อยกว่า 30 วัน กฎหมายจะเกิด "ข้อสันนิษฐาน" ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว หลักเกณฑ์และเงื่อนไขเกี่ยวกับหนี้สินล้นพ้นตัว 1.ลูกหนี้ต้องมีหนี้ที่สามารถกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอน ไม่น้อยกว่า 2ล้านบาท สำหรับบุคคลธรรมดา หรือ 3ล้านบาท สำหรับนิติบุคคล 2.การไม่ชำระหนี้หลังจากมีการทวงถามของเจ้าหนี้อย่างน้อย 30 วัน จะถือว่าเข้าข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัว 3.ลูกหนี้สามารถนำพยานหลักฐานมาหักล้างข้อสันนิษฐานนี้ได้ เช่น การพิสูจน์ว่ามีทรัพย์สินหรือรายได้เพียงพอที่จะชำระหนี้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 212/2567 •ประเด็น: การไม่ชำระหนี้เงินยืมเพื่อกิจกรรมส่งเสริมการขายและค่าสินค้าหลังจากทวงถามถึงสองครั้งห่างกันเกิน 30 วัน •คำวินิจฉัย: ศาลเห็นว่าจำเลยไม่สามารถหักล้างข้อสันนิษฐานว่ามีหนี้สินล้นพ้นตัวและสมควรให้ล้มละลาย 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1388/2559 •ประเด็น: เจ้าหนี้ฟ้องล้มละลายโดยอ้างหนี้ค่าขายสินค้า โดยลูกหนี้มีหนี้สินค้างชำระและไม่ชำระหนี้หลังจากการทวงถาม •คำวินิจฉัย: ศาลชี้ว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว เนื่องจากหลักฐานแสดงว่าทรัพย์สินที่ลูกหนี้มีอยู่ไม่เพียงพอสำหรับชำระหนี้ 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2109/2563 •ประเด็น: หนี้ค่าจ้างงานก่อสร้างและดอกเบี้ยที่ลูกหนี้ค้างชำระ •คำวินิจฉัย: ศาลพิจารณาว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินบางส่วนที่อ้างว่ามีมูลค่ามากกว่า แต่ไม่มีหลักฐานชัดเจน จึงถือว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 354/2560 •ประเด็น: กรณีการฟ้องล้มละลายของหนี้ที่ลูกหนี้โต้แย้งว่ามีสิทธิเรียกคืนภาษีจากกรมสรรพากร •คำวินิจฉัย: ลูกหนี้ไม่มีพยานหลักฐานที่แสดงถึงการขอคืนภาษีที่สามารถนำมาชำระหนี้ได้จริง ศาลจึงวินิจฉัยว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 473/2556 •ประเด็น: หนี้สินจากการยืมเงินเพื่อดำเนินธุรกิจที่ลูกหนี้อ้างว่ามีทรัพย์สินอยู่แต่ไม่สามารถแสดงหลักฐานชัดเจน •คำวินิจฉัย: แม้ลูกหนี้จะอ้างว่ามีรายได้และทรัพย์สินพอชำระหนี้ แต่ไม่มีเอกสารสนับสนุนเพียงพอ จึงถือว่าลูกหนี้มีหนี้สินล้นพ้นตัว บทสรุป คำว่า "หนี้สินล้นพ้นตัว" ในทางกฎหมายล้มละลายไม่ได้ขึ้นอยู่กับการมีหนี้สินจำนวนมากเพียงอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับความสามารถในการชำระหนี้เมื่อถึงกำหนดเวลา ตัวอย่างคำพิพากษาข้างต้นแสดงให้เห็นถึงการประเมินของศาลที่พิจารณาทั้งพยานหลักฐานที่นำเสนอและการเชื่อมโยงกับข้อกฎหมาย เช่น การมีหรือไม่มีทรัพย์สินเพียงพอ การปฏิบัติตามเงื่อนไขทวงถามหนี้ และการหักล้างข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย |