

การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย, ขั้นตอนการพิสูจน์หนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย, ขั้นตอนการพิสูจน์หนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ ปัญหาต้องพิจารณาคือ เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำขอหรือไม่ โดยศาลเห็นว่าเจ้าหนี้ต้องพิสูจน์ว่าหนี้มีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดชำระ คดีนี้ เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามสัญญาจำนำหุ้นของลูกหนี้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. ซึ่งเป็นหลักประกันหนี้เงินกู้ของบริษัท ม. ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 96 (3) โดยขอให้ขายทอดตลาดทรัพย์ที่จำนำเพื่อชำระส่วนที่ขาด อย่างไรก็ตาม การพิจารณาว่าเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนำต้องอิงจากมูลหนี้ประธานและดอกเบี้ย แต่เจ้าหนี้ไม่ได้แสดงหลักฐานเกี่ยวกับยอดค้างชำระ ณ วันพิทักษ์ทรัพย์ มีเพียงคำขอกู้เงินระบุวงเงิน 100,000,000 บาท แต่ไม่มีข้อมูลว่ามูลหนี้ประธานที่บริษัท ม. ต้องชำระมีเท่าใด ในชั้นพิจารณาคำขอ เจ้าหนี้ให้การเฉพาะเรื่องหนี้จำนำหุ้น โดยไม่ได้ชี้แจงเรื่องมูลหนี้ประธาน ทำให้ศาลไม่สามารถวินิจฉัยให้ได้รับชำระหนี้ในส่วนของหนี้จำนำได้ แม้คำขอรับชำระหนี้ถูกยก สิทธิจำนำยังไม่ระงับ เจ้าหนี้ยังสามารถใช้สิทธิทางแพ่งเพื่อบังคับทรัพย์จำนำต่อไปได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ ฎีกาของเจ้าหนี้จึงฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2567 การขอรับชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่นำพยานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า หนี้ที่ขอรับชำระหนี้นั้นมีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว คดีนี้เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามสัญญาจำนำหุ้นที่ลูกหนี้นำมาจำนำไว้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เจ้าหนี้เดิม เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของบริษัท ม. ตาม พ.ร.บ.ล้มละลายฯ มาตรา 96 (3) การที่จะพิจารณาว่าเจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนำซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องพิจารณามูลหนี้ประธานเป็นสำคัญว่ามีเพียงใด และเจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเท่าใด เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนำว่าต้องไม่เกินไปกว่าความรับผิดในต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามมูลหนี้ประธาน เมื่อเจ้าหนี้มิได้นำสืบให้เห็นว่า มูลหนี้กู้ยืมเงินของบริษัท ม. อันเป็นมูลหนี้ประธานมีเพียงใด ศาลย่อมมิอาจพิพากษาให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในหนี้จำนำหุ้นอันเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้จำนำตามคำขอรับชำระหนี้ แต่อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหนี้ไม่มีพยานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อันทำให้ศาลมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้นั้น ไม่ใช่เหตุที่ทำให้การจำนำระงับสิ้นไป สิทธิจำนำยังคงมีอยู่ หากเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนำเพียงใด เจ้าหนี้สามารถบังคับจำนำในทางแพ่งต่อไปได้ คดีสืบเนื่องมาจากศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้ (จำเลย) เด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2556 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ ในมูลหนี้ตามสัญญาจำนำหุ้นเป็นเงิน 63,784,356.15 บาท จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ในฐานะเจ้าหนี้มีประกันตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์นัดตรวจคำขอรับชำระหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 104 แล้ว ไม่มีผู้ใดโต้แย้งคำขอรับชำระหนี้ เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนแล้วทำความเห็นว่า ลูกหนี้ทำสัญญาจำนำหุ้นของบริษัท จ. เป็นประกันการชำระหนี้กู้ยืมเงินระหว่างบริษัท ม. ผู้กู้ กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เจ้าหนี้เดิมผู้ให้กู้ แต่เจ้าหนี้ไม่นำส่งรายการเคลื่อนไหวทางบัญชีและเอกสารอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง จึงไม่อาจทราบได้ว่ามีการชำระหนี้กันครั้งสุดท้ายเมื่อใด แต่เมื่อมีการทำคำขอกู้เงินกับเจ้าหนี้เดิมครั้งสุดท้ายวันที่ 4 มีนาคม 2539 กำหนดชำระหนี้เป็นงวดรายเดือนทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน จึงถือว่าวันที่สิ้นสุดของเดือนคือวันที่ 31 มีนาคม 2539 สัญญาจึงเลิกกันในวันดังกล่าว เจ้าหนี้เดิมสามารถบังคับสิทธิเรียกร้องได้นับแต่วันที่ 1 เมษายน 2539 เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในวันที่ 18 มิถุนายน 2557 จึงเลยกำหนดระยะเวลา 10 ปี หนี้ดังกล่าวจึงเป็นอันขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/14 (3) ต้องห้ามมิให้ขอรับชำระหนี้ เห็นควรให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 107 (1) (เดิม) แต่ไม่ตัดสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดหุ้นของบริษัท จ. 1,000,000 หุ้น อันเป็นทรัพย์จำนำหลักประกันก่อนเจ้าหนี้อื่น ทั้งนี้ ต้องไม่เกินหนี้ประธาน โดยมีเงื่อนไขว่าหากเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้จากบริษัท ม. ลูกหนี้ชั้นต้น และ/หรือ ได้รับชำระหนี้จากการขายทอดตลาดทรัพย์จำนำอื่น และ/หรือ ได้รับชำระหนี้จากผู้ค้ำประกันไปแล้วเพียงใดก็ให้สิทธิเจ้าหนี้ได้รับชำระหนี้ในคดีนี้ลดลงเพียงนั้น ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ตามความเห็นของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ เจ้าหนี้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้ แต่ไม่กระทบถึงสิทธิของเจ้าหนี้ในการบังคับจำนำหุ้นบริษัท จ. 1,000,000 หุ้น ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์ของลูกหนี้ต่อไป ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ เจ้าหนี้ฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีล้มละลายวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงเบื้องต้นที่คู่ความไม่โต้แย้งกันรับฟังเป็นยุติได้ว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2539 บริษัท ม. ทำคำขอกู้เงินจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เจ้าหนี้เดิม 100,000,000 บาท ตกลงเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 14.5 ต่อปี ชำระดอกเบี้ยเป็นงวดรายเดือนทุกวันทำการสุดท้ายของเดือน เพื่อเป็นหลักประกันผู้กู้ตกลงจำนำหุ้นธนาคาร อ. 52,400 หุ้น หุ้นบริษัท จ. 1,000,000 หุ้น หุ้นบริษัท ส. 1,508,000 หุ้น และหุ้นบริษัท ย. 3,155,500 หุ้น กับจัดให้นายธาตรี และนายวัฒนศักดิ์ เป็นผู้ค้ำประกัน และวันที่ 27 มีนาคม 2539 ลูกหนี้ทำสัญญาจำนำหุ้นบริษัท จ. 1,000,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท ซึ่งในวันทำสัญญาจำนำ หุ้นดังกล่าวมีมูลค่ารวม 13,500,000 บาท เพื่อเป็นประกันการชำระหนี้ของบริษัท ม. ต่อมาเจ้าหนี้รับโอนสิทธิเรียกร้องในหนี้ดังกล่าวมาจากบรรษัทบริหารสินทรัพย์ไทยซึ่งรับโอนสิทธิเรียกร้องนี้มาจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เจ้าหนี้เดิม คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของเจ้าหนี้ว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำขอรับชำระหนี้หรือไม่ เพียงใด เห็นว่า การขอรับชำระหนี้นั้น เจ้าหนี้มีหน้าที่นำพยานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่า หนี้ที่ขอรับชำระหนี้นั้นมีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดชำระหนี้ดังกล่าว คดีนี้เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามสัญญาจำนำหุ้นที่ลูกหนี้นำมาจำนำไว้กับบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เจ้าหนี้เดิม เพื่อเป็นประกันหนี้เงินกู้ของบริษัท ม. ตามพระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3) โดยขอให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ขายทอดตลาดทรัพย์สินอันเป็นหลักประกันแล้วขอรับชำระหนี้สำหรับจำนวนที่ยังขาดอยู่ การที่จะพิจารณาว่า เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนำซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์เป็นจำนวนเท่าใด จึงต้องพิจารณามูลหนี้ประธานเป็นสำคัญว่ามีเพียงใด และเจ้าหนี้มีสิทธิคิดดอกเบี้ยในอัตราร้อยละเท่าใด เพื่อกำหนดจำนวนเงินที่เจ้าหนี้จะได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนำว่าต้องไม่เกินไปกว่าความรับผิดในต้นเงินพร้อมดอกเบี้ยตามมูลหนี้ประธาน ดังนี้ แม้ว่าสัญญาจำนำเอกสารหมาย จ.5 จะระบุว่า ณ วันจำนำ หุ้นบริษัท จ. จำนวน 1,000,000 หุ้น มีมูลค่ารวม 13,500,000 บาท และลูกหนี้ตกลงชำระดอกเบี้ยตามสัญญาจำนำให้แก่เจ้าหนี้ในอัตราร้อยละ 21 ต่อปีก็ตาม แต่สัญญาจำนำดังกล่าวมิได้ระบุว่า หนี้เงินกู้ที่บริษัท ม. ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อันเป็นหนี้ประธานนั้นมีเพียงใด ทั้งเจ้าหนี้ก็มิได้ส่งรายการความเคลื่อนไหวทางบัญชีเพื่อแสดงว่า ณ วันพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้เงินกู้จากบริษัท ม. เพียงใด คงมีเพียงสำเนาคำขอกู้เงิน ที่ระบุว่า เมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2539 บริษัท ม. ขอกู้ยืมเงินจากบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. เจ้าหนี้เดิม จำนวน 100,000,000 บาท เท่านั้น ซึ่งเอกสารดังกล่าวไม่อาจกำหนดได้ว่า ณ วันพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด บริษัท ม. มีภาระหนี้ต่อเจ้าหนี้เท่าใด ประกอบกับบันทึกถ้อยคำพยานเจ้าหนี้ในชั้นสอบสวนคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์เจ้าหนี้คงให้การเกี่ยวกับมูลหนี้ตามสัญญาจำนำหุ้นเท่านั้น โดยมิได้ให้การเกี่ยวกับมูลหนี้กู้ยืมเงินของบริษัท ม. เมื่อเจ้าหนี้มิได้นำสืบให้เห็นว่า มูลหนี้กู้ยืมเงินของบริษัท ม. อันเป็นมูลหนี้ประธานมีเพียงใด ศาลย่อมมิอาจพิพากษาให้เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในหนี้จำนำหุ้นอันเป็นหนี้อุปกรณ์ได้ เจ้าหนี้จึงไม่มีสิทธิได้รับชำระหนี้ในมูลหนี้จำนำตามคำขอรับชำระหนี้ อย่างไรก็ตาม การที่เจ้าหนี้ไม่มีพยานมาให้การสอบสวนต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์อันทำให้ศาลมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ของเจ้าหนี้นั้น ไม่ใช่เหตุที่ทำให้การจำนำระงับสิ้นไป สิทธิจำนำยังคงมีอยู่ หากเจ้าหนี้มีสิทธิบังคับเอาแก่ทรัพย์จำนำเพียงใด เจ้าหนี้สามารถบังคับจำนำในทางแพ่งต่อไปได้ ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษมีคำพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของเจ้าหนี้ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ • การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย • สิทธิของเจ้าหนี้ที่มีประกันตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย • สัญญาจำนำหุ้นในคดีล้มละลาย • มูลหนี้ประธานและหนี้อุปกรณ์ในคดีล้มละลาย • ขั้นตอนการพิสูจน์หนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ • สิทธิจำนำหลังศาลยกคำขอรับชำระหนี้ • พระราชบัญญัติล้มละลาย มาตรา 96 (3) • การบังคับทรัพย์จำนำในคดีล้มละลาย คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2567 (ย่อ) ข้อเท็จจริง: คดีนี้เกี่ยวกับการขอรับชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ (จำเลย) โดยเจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในมูลหนี้ตามสัญญาจำนำหุ้น ซึ่งลูกหนี้ได้จำนำหุ้นเพื่อเป็นประกันการชำระหนี้เงินกู้ของบริษัท ม. ต่อบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ ก. ศาลล้มละลายกลางมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาดเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม 2556 เจ้าหนี้เรียกร้องเงิน 63,784,356.15 บาท ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ มาตรา 96 (3) โดยเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์สอบสวนคำขอและเห็นว่า เอกสารหลักฐานไม่เพียงพอที่จะแสดงว่ามูลหนี้ดังกล่าวยังคงมีอยู่จริง จึงเสนอให้ยกคำขอรับชำระหนี้ ประเด็นข้อพิพาท: เจ้าหนี้มีสิทธิได้รับชำระหนี้ตามคำขอหรือไม่ คำวินิจฉัยของศาลฎีกา: 1.หลักเกณฑ์ในการขอรับชำระหนี้: oเจ้าหนี้ต้องนำพยานหลักฐานพิสูจน์ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ว่าหนี้มีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องรับผิดชำระ oในกรณีนี้ เจ้าหนี้ไม่ได้แสดงหลักฐานเพียงพอเกี่ยวกับมูลหนี้ประธาน (หนี้เงินกู้) ของบริษัท ม. oสัญญาจำนำไม่ได้ระบุว่ามูลหนี้ประธานมีจำนวนเท่าใด และไม่มีการยื่นรายการความเคลื่อนไหวทางบัญชี 2.ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับหนี้จำนำ: oมูลค่าหุ้นบริษัท จ. จำนวน 1,000,000 หุ้นที่จำนำ มีมูลค่า 13,500,000 บาท แต่ไม่มีหลักฐานว่า ณ วันพิทักษ์ทรัพย์ ลูกหนี้มีหนี้ค้างอยู่เท่าใด oเจ้าหนี้ให้การเฉพาะเกี่ยวกับมูลหนี้จำนำหุ้น แต่ไม่เกี่ยวกับมูลหนี้กู้ยืมเงิน 3.คำวินิจฉัย: oเมื่อเจ้าหนี้ไม่ได้พิสูจน์มูลหนี้ประธาน ศาลไม่สามารถพิพากษาให้ได้รับชำระหนี้ในฐานะผู้รับจำนำได้ oอย่างไรก็ตาม การที่ศาลมีคำสั่งยกคำขอรับชำระหนี้ ไม่ทำให้สิทธิจำนำระงับ เจ้าหนี้ยังสามารถใช้สิทธิทางแพ่งในการบังคับทรัพย์จำนำได้ ศาลฎีกาเห็นพ้องกับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ และพิพากษายืนให้ยกคำขอรับชำระหนี้ ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นฎีกาให้เป็นพับ อธิบายหลักกฎหมายตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 (3): สาระสำคัญของมาตรา 96 (3): พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ. 2483 มาตรา 96 ระบุถึงลำดับและประเภทของเจ้าหนี้ที่มีสิทธิได้รับการชำระหนี้จากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ที่ถูกพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด โดยมาตรา 96 (3) กล่าวถึง เจ้าหนี้ที่มีประกัน (secured creditor) ซึ่งมีสิทธิได้รับการชำระหนี้ในลำดับที่สูงกว่าเจ้าหนี้ธรรมดา (unsecured creditor) ทั้งนี้ สิทธิของเจ้าหนี้ที่มีประกันครอบคลุมการบังคับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ตามจำนวนหนี้ที่ยังขาดอยู่ เงื่อนไขสำคัญตามมาตรา 96 (3): 1.สิทธิของเจ้าหนี้ที่มีประกัน: oเจ้าหนี้ที่มีทรัพย์สินของลูกหนี้เป็นหลักประกัน (เช่น สัญญาจำนำหรือจำนอง) มีสิทธิพิเศษเหนือทรัพย์สินที่เป็นหลักประกัน oหากมีการขายทอดตลาดทรัพย์สินดังกล่าว รายได้จากการขายจะนำมาชำระหนี้ให้เจ้าหนี้ที่มีประกันก่อนเจ้าหนี้ประเภทอื่น 2.ข้อจำกัดในการชำระหนี้: oสิทธิของเจ้าหนี้ที่มีประกันจำกัดอยู่ในกรอบของ มูลหนี้ประธาน (principal debt) และ ดอกเบี้ยที่ตกลงกันไว้ตามกฎหมาย oหากทรัพย์สินที่นำมาค้ำประกันมีมูลค่าเกินกว่าหนี้ เจ้าหนี้ต้องคืนส่วนเกินให้กองทรัพย์สิน oหากมูลค่าทรัพย์สินต่ำกว่าหนี้ที่ค้างอยู่ เจ้าหนี้สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ในส่วนที่ขาดจากกองทรัพย์สินได้ในฐานะเจ้าหนี้ธรรมดา 3.หน้าที่ในการพิสูจน์หนี้: oเจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้พร้อมเอกสารแสดงหลักฐานต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ oเจ้าหนี้ต้องพิสูจน์ว่า: หนี้ดังกล่าวมีอยู่จริง หนี้ยังไม่ได้รับการชำระ ลูกหนี้ยังคงมีภาระผูกพันตามหนี้ดังกล่าว การนำมาตรา 96 (3) มาใช้ในบทความนี้: ในคดีที่เกี่ยวข้อง เจ้าหนี้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ตามมูลหนี้ในสัญญาจำนำหุ้น โดยมีหุ้นบริษัท จ. เป็นทรัพย์สินค้ำประกัน ซึ่งสอดคล้องกับสถานะของเจ้าหนี้ที่มีประกันตามมาตรา 96 (3) อย่างไรก็ตาม เจ้าหนี้มีหน้าที่พิสูจน์มูลหนี้ประธานและสิทธิในการได้รับชำระหนี้ แต่กรณีนี้เจ้าหนี้ไม่ได้แสดงหลักฐานที่ชัดเจนเกี่ยวกับยอดค้างชำระตามมูลหนี้ประธาน ทำให้ศาลไม่อาจพิพากษาให้ได้รับชำระหนี้ได้ ข้อสรุปสำคัญ: มาตรา 96 (3) เน้นการคุ้มครองสิทธิของเจ้าหนี้ที่มีประกันโดยให้สิทธิในการบังคับทรัพย์สินที่เป็นหลักประกันเพื่อชำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้ธรรมดา แต่เจ้าหนี้ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะการพิสูจน์มูลหนี้และสิทธิในทรัพย์สิน เพื่อรักษาสมดุลระหว่างเจ้าหนี้ที่มีประกันและเจ้าหนี้รายอื่นในกระบวนการล้มละลาย *****การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายคืออะไร การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย หมายถึงกระบวนการที่เจ้าหนี้ซึ่งมีสิทธิเรียกร้องให้ลูกหนี้ชำระหนี้ ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ภายหลังศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ของลูกหนี้เด็ดขาด เพื่อแสดงสิทธิของตนว่ามีหนี้สินที่ลูกหนี้ต้องชำระจริง และเพื่อขอรับเงินคืนจากกองทรัพย์สินของลูกหนี้ตามที่กฎหมายกำหนด ประเภทของหนี้ที่สามารถยื่นคำขอรับชำระหนี้ได้ 1.หนี้ธรรมดาคือ: หนี้ที่ไม่มีหลักประกัน เช่น หนี้เงินกู้ทั่วไป 2.หนี้มีประกันคือ: หนี้ที่มีทรัพย์สินเป็นหลักประกัน เช่น จำนำ จำนอง 3.หนี้ที่มีสิทธิเหนือทรัพย์สินของลูกหนี้: เช่น ค่าแรง หรือหนี้ที่เกี่ยวกับภาษี 4.หนี้ตามคำพิพากษาหรือสัญญาที่ลูกหนี้ยอมรับ: เช่น คำพิพากษาหรือคำสั่งศาลที่สิ้นสุด ขั้นตอนการขอรับชำระหนี้ 1.ยื่นคำขอรับชำระหนี้: เจ้าหนี้ต้องยื่นคำขอรับชำระหนี้พร้อมหลักฐาน เช่น สัญญาหรือคำพิพากษา 2.การตรวจสอบคำขอ: เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ตรวจสอบความถูกต้องของคำขอและหลักฐาน 3.การคัดค้านคำขอ: หากมีเจ้าหนี้รายอื่นคัดค้านคำขอ เจ้าหนี้ต้องพิสูจน์ต่อศาลว่าหนี้มีอยู่จริง 4.การจัดลำดับการชำระหนี้: กองทรัพย์สินของลูกหนี้จะถูกแบ่งจ่ายตามลำดับสิทธิของเจ้าหนี้ ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาเกี่ยวกับการขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลาย 1.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 213/2567 เจ้าหนี้ที่มีประกันต้องพิสูจน์มูลหนี้ประธานและดอกเบี้ยตามที่เรียกร้อง หากไม่มีหลักฐานเพียงพอ ศาลจะยกคำขอรับชำระหนี้ แต่สิทธิจำนำยังคงอยู่ เจ้าหนี้สามารถบังคับทรัพย์จำนำทางแพ่งได้ 2.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7846/2553 การยื่นคำขอรับชำระหนี้ต้องอยู่ในกรอบระยะเวลาที่กำหนด หากพ้นกำหนด เจ้าหนี้ไม่มีสิทธิเรียกร้องหนี้ดังกล่าว 3.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1235/2557 เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้โดยไม่สามารถแสดงหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับจำนวนหนี้และหลักประกัน จะถูกพิจารณาเป็นหนี้ธรรมดา ไม่มีสิทธิในทรัพย์สินค้ำประกัน 4.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5275/2560 หนี้ที่มีประกันสามารถแยกออกจากการพิพากษาในคดีล้มละลายเพื่อบังคับทรัพย์สินได้ โดยไม่ต้องรอการจัดสรรกองทรัพย์สิน 5.คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1243/2561 เจ้าหนี้ที่ยื่นคำขอรับชำระหนี้ในหนี้ธรรมดา ต้องพิสูจน์ว่าไม่มีหลักประกันหรือการบังคับหนี้ส่วนเกินเกิดขึ้นอย่างชัดเจน บทสรุป การขอรับชำระหนี้ในคดีล้มละลายเป็นขั้นตอนสำคัญที่เจ้าหนี้ต้องดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมาย การแสดงหลักฐานเพื่อพิสูจน์ว่าหนี้มีอยู่จริงและลูกหนี้ต้องชำระเป็นหัวใจสำคัญ หากไม่มีการดำเนินการอย่างครบถ้วน เจ้าหนี้อาจเสียสิทธิในการได้รับชำระหนี้ ตัวอย่างคำพิพากษาข้างต้นช่วยแสดงให้เห็นแนวทางการพิจารณาของศาลในเรื่องนี้อย่างชัดเจน |