ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2549 : คดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ

ทนาย ลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์

 

 

บทนำ 

 

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับคดีขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดให้ความช่วยเหลือหลังเกิดเหตุ ศาลวินิจฉัยว่าการบรรยายฟ้องต้องระบุข้อเท็จจริงให้ชัดถึงการกระทำที่ผิดตามกฎหมายจราจร มิฉะนั้นไม่อาจปรับบทลงโทษได้ พร้อมทั้งปรับโทษให้เหมาะสมตามพฤติการณ์ โดยพิจารณาจากความผิดของผู้ตายและการชดใช้ค่าเสียหาย

 

 

ข้อเท็จจริงของคดี

•จำเลยขับรถยนต์ลากจูงพร้อมตัวรถกึ่งพ่วงด้วยความเร็วสูงบริเวณทางแยก

•เกิดการชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย ทำให้ผู้ตายเสียชีวิต

•หลังเกิดเหตุจำเลยไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ ไม่แสดงตัว และไม่แจ้งเจ้าหน้าที่

•คำฟ้องไม่ได้ระบุว่าขับรถเกินความเร็วที่กฎหมายกำหนด จึงเป็นปัญหาในการปรับบทลงโทษตามกฎหมายจราจรบางมาตรา

 

 

คำวินิจฉัยของศาล

•ประเด็นการกระทำความผิด

oศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาว่าจำเลยผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 และความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบกหลายมาตรา

oศาลฎีกาพิจารณาแล้วเห็นว่า การบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 67, 152 ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก จึงไม่อาจลงโทษในข้อหานั้นได้

•การลดโทษและการพิจารณาพฤติการณ์

oพฤติการณ์ร้ายแรงเพราะหลบหนีไม่ช่วยเหลือ แต่มีเหตุบรรเทาโทษจากความประมาทของผู้ตายและการชดใช้ค่าเสียหาย

oแก้โทษใหม่ให้จำคุก 1 ปี ในข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ผู้อื่นตาย และจำคุก 2 เดือนในข้อหาไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ ลดครึ่งหนึ่งตามมาตรา 78 คงจำคุก 7 เดือน

6.3 วิเคราะห์ประเด็นกฎหมาย

1.ความผิดฐานขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

oอ้างอิงมาตรา 291 ประมวลกฎหมายอาญา

oการขับรถด้วยความเร็วสูงในเขตทางแยกโดยไม่สามารถหลีกเลี่ยงการชน ถือเป็นความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรง

2.ความผิดฐานไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและไม่แจ้งเหตุ

oตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 78 และ 160 ผู้ขับรถต้องหยุดรถ ช่วยเหลือ และแจ้งเจ้าหน้าที่ใกล้เคียงทันที

3.การบรรยายฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด

oหากฟ้องไม่ระบุข้อเท็จจริงที่จำเป็น เช่น การขับรถเกินกำหนดตามเครื่องหมายหรือกฎกระทรวง จะไม่สามารถปรับบทลงโทษในข้อหานั้นได้

4.อำนาจศาลฎีกาในการยกปัญหาขึ้นวินิจฉัยเอง

oตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 ศาลฎีกามีอำนาจพิจารณาได้เองแม้คู่ความไม่ยกขึ้นอุทธรณ์หรือฎีกา หากเป็นเรื่องความสงบเรียบร้อย

 

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 67 กำหนดข้อห้ามเกี่ยวกับความเร็วในการขับรถ โดยบัญญัติว่าผู้ขับรถต้องไม่ขับรถด้วยความเร็วเกินอัตราที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือเครื่องหมายจราจรที่ติดตั้งไว้บนทางเดินรถ ซึ่งอัตราความเร็วนี้กำหนดขึ้นเพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้ถนนทั้งตนเองและผู้อื่น หากฝ่าฝืนจะมีความผิดและต้องรับโทษตามที่กฎหมายกำหนด การบังคับใช้มาตรานี้ต้องมีข้อเท็จจริงยืนยันว่าผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด เช่น ผลการตรวจจับความเร็ว หรือพยานหลักฐานอื่นที่เชื่อถือได้ ตัวอย่างเช่น หากป้ายกำหนดความเร็วสูงสุด 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แต่ผู้ขับขี่ใช้ความเร็ว 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ย่อมเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 67

พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 152 เป็นบทกำหนดโทษของผู้ฝ่าฝืนมาตรา 67 โดยระบุว่าผู้ใดฝ่าฝืนข้อห้ามเกี่ยวกับอัตราความเร็วจะมีโทษปรับตามจำนวนที่กำหนด ซึ่งเป็นบทลงโทษทางอาญาประเภทปรับ ดังนั้นการจะลงโทษตามมาตรานี้ ศาลต้องพิจารณาว่ามีการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบหรือไม่ หากคำฟ้องไม่ระบุชัดว่าผู้ขับขี่ใช้ความเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ก็ไม่อาจพิพากษาลงโทษได้

ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 กำหนดหลักเกณฑ์ว่าคำฟ้องต้องบรรยายข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดให้ชัดเจน เพื่อให้จำเลยสามารถเข้าใจข้อหาและต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่ หากบรรยายฟ้องไม่ครบถ้วน เช่น ไม่ระบุว่าเกินความเร็วตามที่กำหนด ก็จะขาดองค์ประกอบของความผิดและลงโทษไม่ได้ หลักการนี้เป็นการคุ้มครองสิทธิของจำเลยในกระบวนการยุติธรรม

มาตรา 176 บัญญัติว่าศาลต้องพิพากษาหรือมีคำสั่งไปตามพยานหลักฐานที่ได้ทำการไต่สวนหรือสืบพยานในศาล โดยต้องไม่ออกนอกกรอบของข้อหา เว้นแต่เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยที่ศาลสามารถหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ หลักการนี้มีความสำคัญต่อการรักษาความยุติธรรมและสิทธิของคู่ความ

มาตรา 195 โดยเฉพาะวรรคสอง ระบุว่าศาลมีอำนาจยกปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้คู่ความจะมิได้ยกขึ้นเป็นประเด็นหรือฎีกา เช่น กรณีคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิด ศาลสามารถชี้ขาดเองได้ว่าลงโทษไม่ได้ เพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปอย่างถูกต้องตามหลักนิติธรรม

มาตรา 225 กำหนดว่าในชั้นฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยเองได้ โดยไม่จำกัดเพียงประเด็นที่คู่ความยกขึ้นมา ซึ่งสอดคล้องกับมาตรา 195 วรรคสอง เพื่อป้องกันไม่ให้มีการลงโทษในความผิดที่ไม่ครบองค์ประกอบหรือไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

เมื่อพิจารณาร่วมกัน กฎหมายเหล่านี้สะท้อนหลักการสำคัญในกระบวนการยุติธรรมอาญา คือ (1) ต้องมีการบรรยายฟ้องครบองค์ประกอบความผิด (2) ศาลต้องตัดสินภายใต้กรอบพยานหลักฐานและข้อหา (3) หากพบปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลมีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ และ (4) การลงโทษต้องอาศัยบทบัญญัติที่ชัดเจนและข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้

ตัวอย่างประกอบ เช่น ในคดีที่ฟ้องว่าจำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงจนชนผู้อื่น แต่ไม่ได้ระบุว่าความเร็วนั้นเกินกำหนดตามป้ายหรือกฎกระทรวง แม้จะมีพยานว่าเร็วจริง ศาลก็ไม่อาจลงโทษตามมาตรา 67, 152 ได้ เพราะคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ แต่ยังอาจลงโทษในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายตามมาตรา 291 ประมวลกฎหมายอาญาแทน

 

 

ข้อคิดทางกฎหมาย

•การบรรยายฟ้องต้องครบองค์ประกอบความผิดตามกฎหมาย มิฉะนั้นไม่สามารถลงโทษได้

•ผู้ขับขี่มีหน้าที่หยุดและให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ปฏิบัติถือว่าผิดกฎหมายและมีโทษจำคุก

•ศาลอาจปรับโทษตามพฤติการณ์ แม้จำเลยจะมีความผิดจริง แต่หากมีเหตุบรรเทา เช่น การชดใช้ค่าเสียหาย ศาลสามารถลดโทษได้

 

 

IRAC แบบขยาย

Issue (ประเด็นปัญหา)

•จำเลยมีความผิดฐานขับรถโดยประมาทจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย และไม่หยุดให้ความช่วยเหลือหรือไม่

•สามารถลงโทษตามมาตรา 67, 152 ของ พ.ร.บ.จราจรทางบกได้หรือไม่ หากคำฟ้องไม่ระบุข้อเท็จจริงครบถ้วน

Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ)

•ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291: ความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย

•พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 78, 160: หน้าที่หยุดรถและให้ความช่วยเหลือ

•ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง, มาตรา 225: อำนาจศาลฎีกายกปัญหาขึ้นวินิจฉัยเอง

•มาตรา 78 ประมวลกฎหมายอาญา: ลดโทษเมื่อรับสารภาพและให้การเป็นประโยชน์

Application (การวิเคราะห์)

•จำเลยขับรถด้วยความเร็วสูงในบริเวณทางแยก จนชนกับรถจักรยานยนต์ของผู้ตาย เป็นการขาดความระมัดระวังในระดับร้ายแรง

•หลังเกิดเหตุไม่หยุดให้ความช่วยเหลือหรือแจ้งเหตุ อันเป็นการฝ่าฝืนหน้าที่ตามกฎหมาย

•คำฟ้องไม่ระบุว่าขับรถเกินความเร็วที่กำหนด จึงไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 67, 152 ไม่สามารถลงโทษได้ในข้อหานั้น

•ศาลพิจารณาพฤติการณ์บรรเทา เช่น ความประมาทของผู้ตายและการชดใช้ค่าเสียหาย

Conclusion (ข้อสรุป)

•จำเลยมีความผิดตามมาตรา 291 และมาตรา 78, 160 ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก

•พิพากษาจำคุก 1 ปี และ 2 เดือน ลดโทษครึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 7 เดือน

•ยกฟ้องในข้อหาตามมาตรา 67, 152 ของ พ.ร.บ.จราจรทางบก

 

 

สรุปภาษาอังกฤษแบบย่อ

This Supreme Court decision No. 7909/2549 concerns a fatal traffic accident where the defendant drove a truck with a trailer at high speed, colliding with a motorcycle, causing the rider’s death. The defendant failed to stop and provide assistance. The Court ruled that incomplete indictment details prevented conviction under certain traffic provisions, but upheld convictions for reckless driving causing death and failing to render aid. Considering contributory negligence of the victim and compensation paid, the sentence was reduced to seven months’ imprisonment.

 

 

สรุปย่อฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถลากจูงด้วยความเร็วสูงบริเวณทางแยก ชนรถจักรยานยนต์ผู้ตาย เป็นความประมาทร้ายแรงและไม่หยุดช่วยเหลือ แต่พิจารณาว่าผู้ตายก็มีส่วนประมาทและจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว จึงปรับโทษใหม่ให้เหมาะสม พร้อมตัดข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 67, 152 เนื่องจากคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ สุดท้ายลงโทษจำคุกฐานประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตาย 1 ปี และไม่หยุดช่วยเหลือ 2 เดือน รวม 1 ปี 2 เดือน ลดครึ่งหนึ่งเหลือจำคุก 7 เดือน

 

 

สรุปย่อฎีกา

 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถลากจูงด้วยความเร็วสูงจนชนรถจักรยานยนต์ผู้ตาย เป็นความประมาทร้ายแรงและไม่หยุดช่วยเหลือ แต่พิจารณาว่าผู้ตายมีส่วนประมาทและจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายแล้ว จึงปรับโทษใหม่ให้เหมาะสม พร้อมยกข้อหาตาม พ.ร.บ.จราจรฯ มาตรา 67, 152 เพราะคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบ สุดท้ายลงโทษจำคุก 1 ปี และ 2 เดือน ลดครึ่งหนึ่งเหลือ 7 เดือน

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2549

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์โดยประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดหรือลดความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะหลบหลีกไม่ชนรถคันอื่นหรือสิ่งอื่นใดที่กีดขวางอยู่ข้างหน้าได้ทัน โดยมิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินที่กำหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ในทาง แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 67, 152 ตามคำขอท้ายฟ้องได้ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยได้เอง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

 

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291, 91 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43, 67, 78, 152, 157, 160

จำเลยให้การรับสารภาพ

 

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 43 (4), 78, 152, 157, 160 วรรคสอง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 291 ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 2 ปี ฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือและแจ้งเหตุต่อเจ้าพนักงาน จำคุก 4 เดือน รวมจำคุก 2 ปี 4 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 2 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

 

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยขับรถยนต์ลากจูง โดยมีตัวรถกึ่งพ่วงคันเกิดเหตุด้วยความเร็วสูงบริเวณทางแยก จนเกิดการชนเข้ากับรถจักรยานยนต์ที่ผู้ตายขับมา การกระทำของจำเลยเป็นการขับรถด้วยความประมาทขาดสำนึกและขาดความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของผู้ร่วมใช้ถนน จนเป็นเหตุให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น ทั้งภายหลังเกิดเหตุแล้วจำเลยยังหลบหนีไปและไม่หยุดให้การช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียง พฤติการณ์ดังกล่าวเป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรง จึงยังไม่มีเหตุที่จะปรานีจำเลยด้วยการรอการลงโทษจำคุกได้ แต่อย่างไรก็ดี จากคำฟ้องของโจทก์ปรากฏว่า เหตุที่เกิดขึ้นมีสาเหตุมาจากความประมาทของผู้ตายด้วย ทั้งภายหลังเกิดเหตุจำเลยได้พยายามบรรเทาความเดือดร้อนให้แก่ทายาทของผู้ตายโดยชดใช้ค่าเสียหายจนเป็นที่พอใจแล้ว ศาลฎีกาเห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายเสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งคดี นอกจากนี้ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลล่างทั้งสองกำหนดโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานไม่หยุดให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที โดยลงโทษจำเลยก่อนลดโทษให้จำคุก 4 เดือนนั้น หนักเกินไป เห็นสมควรกำหนดโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานนี้เสียใหม่ให้เหมาะสมแก่พฤิตการณ์แห่งคดีด้วย

 

อนึ่ง โจทก์บรรยายฟ้องแต่เพียงว่า จำเลยขับรถยนต์ลากจูงโดยประมาทโดยขับด้วยความเร็วสูงเกินสมควรจนไม่สามารถหยุดหรือลดความเร็วของรถให้ช้าลงพอที่จะหลบหลีกไม่ชนรถคันอื่นหรือสิ่งกีดขวางได้ทัน มิได้บรรยายฟ้องอ้างเหตุว่า จำเลยขับรถด้วยความเร็วเกินกำหนดในกฎกระทรวงหรือตามเครื่องหมายจราจรที่ได้ติดตั้งไว้ในทาง จึงไม่อาจปรับบทลงโทษจำเลยในความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 67, 152 ได้ตามคำขอท้ายฟ้อง ที่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยสำหรับความผิดฐานนี้มาด้วยและศาลอุทธรณ์มิได้พิพากษาแก้ไขจึงเป็นการไม่ชอบ ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยไม่ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกวินิจฉัยได้เอง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225

 

พิพากษาแก้เป็นว่าจำเลยไม่มีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา 67, 152 คงให้ลงโทษจำเลยฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 1 ปี ฐานไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือพร้อมทั้งแสดงตัวและแจ้งเหตุต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ใกล้เคียงทันที จำคุก 2 เดือน รวมโทษทุกกระทงแล้วเป็น จำคุก 1 ปี 2 เดือน เมื่อลดโทษให้กึ่งหนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 7 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3.

 

1."หัวบทความคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2549 คดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายและไม่หยุดให้ความช่วยเหลือ พร้อมชื่อสำนักงานทนายความ" 2. "บทนำสรุปคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2549 อธิบายประเด็นคดีขับรถโดยประมาทจนมีผู้เสียชีวิต และไม่หยุดช่วยเหลือ ศาลวินิจฉัยเรื่องการบรรยายฟ้องและการปรับโทษ" 3. "ข้อเท็จจริงของคดีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7909/2549 จำเลยขับรถลากจูงด้วยความเร็วสูง ชนรถจักรยานยนต์ผู้ตาย ไม่หยุดช่วยเหลือ และคำฟ้องไม่ครบองค์ประกอบความผิดตามมาตรา 67 และมาตรา 152"




คดีเกี่ยวกับจราจรทางบก

(ฎีกาที่ 3704/2567): คดีขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและการเพิ่มโทษตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก
รายงานสืบเสาะและพินิจ, ข้อมูลลับในคดีอาญา, พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร มาตรา 15
จอดรถกีดขวางทางจราจร
ความประมาทที่ไม่ร้ายแรงรอการลงโทษจำคุก
ขับขี่รถโดยไม่คำนึ่งถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อน
ความผิดจราจรทางบก รัฐเท่านั้นเป็นผู้เสียหาย
ฟ้องจอดรถโดยประมาท
ไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ,ไม่มีใบอนุญาตขับขี่,โทษ
ประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
การขับรถโดยประมาท จอดรถริมถนน
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปดูแลรักษาผู้ป่วยเรียกได้หรือไม่?
เท่าไหร่ถึงจะเรียกว่าเมา โทษของเมาแล้วขับหนักเบาอย่างไร?