ReadyPlanet.com
bulletรับฟ้องคดีแพ่ง/อาญา
bulletพระราชบัญญัติ
bulletป.แพ่งและพาณิชย์
bulletป.อาญา ฎีกา
bulletป.วิอาญา
bulletป.วิแพ่ง
bulletป.กฎหมายที่ดิน
bulletป.รัษฎากร
bulletฟ้องหย่า
bulletอำนาจปกครอง
bulletนิติกรรม
bulletคดีมรดก
bulletอายุความฟ้องร้องคดี
bulletครอบครองปรปักษ์
bulletเอกเทศสัญญา
bulletเกี่ยวกับแรงงาน
bulletเกี่ยวกับคดีอาญา
bulletคดียาเสพติดให้โทษ
bulletตั๋วเงินและเช็ค
bulletห้างหุ้นส่วน-บริษัท
bulletคำพิพากษาและคำสั่ง
bulletทรัพย์สิน/กรรมสิทธิ์
bulletอุทธรณ์ฎีกา
bulletเกี่ยวกับคดีล้มละลาย
bulletเกี่ยวกับวิแพ่ง
bulletเกี่ยวกับวิอาญา
bulletการบังคับคดี
bulletคดีจราจรทางบก
bulletการเล่นแชร์ แชร์ล้ม
bulletอำนาจหน้าที่ระหว่างศาล
bulletมรรยาททนายความ
bulletถอนคืนการให้,เสน่หา
bulletข้อสอบเนติบัณฑิต
bulletคำพิพากษา 2550
bulletทรัพย์สินทางปัญญา
bulletสัญญาขายฝาก
bulletสำนักทนายความ
bulletป-อาญา มาตรา1- 398
bulletภาษาอังกฤษ
bulletการสมรสและการหมั้น
bulletแบบฟอร์มสัญญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2551-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-แพ่ง
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-วิ-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-อาญา
bulletข้อสอบเนติ-ปี2550-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2549-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2548-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2547-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2546-แพ่งพาณิชย์
bulletข้อสอบเนติ-ปี2545-แพ่งพาณิชย์
bulletนิติกรรมสัญญา
bulletพระธรรมนูญศาล
bulletทรัพย์สิน-สามีภริยา
bulletบิดามารดา-รับรองบุตร
bulletคดีครอบครัว
bulletสัญญาระหว่างสมรส
bulletสิทธิครอบครองที่ดิน
bulletสัญญาซื้อขาย
bulletแปลงหนี้ใหม่
bulletการได้กรรมสิทธิ์
bulletคดีเรื่องบุตร
bulletเช่าซื้อรถยนต์
bulletถอนผู้จัดการมรดก
bulletฟ้องค่าทดแทน
bulletฟ้องหย่า-ฟ้องหย่า
bulletสินสมรส-สินสมรส
bulletบันดาลโทสะ
bulletเบิกความเท็จ
bulletสิทธิ-สัญญาเช่า
bulletค้ำประกัน
bulletเจ้าของรวม
bulletจำนอง
bulletลูกหนี้ร่วม
bulletคำพิพากษาฎีกาทั่วไป
bulletกระดานถาม-ตอบ
bulletป-กฎหมายยาเสพติด2564
bulletขนส่งทางทะเล
bulletสมรสเป็นโมฆะ
bulletสามีภริยา
bulletตัวการไม่เปิดเผยชื่อ
bulletทนายความของสภาจัดให้
bulletอาวุธปืน
bulletรับช่วงสิทธิ
bulletแพ่งมาตรา1-1755




ภาษีที่ดินห้องชุด & การยกเว้น 50 ล้าน, กรรมสิทธิ์รวม, พ.ร.บ.ภาษีที่ดิน, (ฎีกา 3227/2568)

คำพิพากษาศาลฎีกา 3227/2568, คดีภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง, ภาษีห้องชุดเพนต์เฮาส์, การยกเว้นมูลค่า 50 ล้านบาท, กรณีกรรมสิทธิ์รวม, วิเคราะห์คดีภาษี, พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2562 มาตรา 35, มาตรา 41, กฎหมายห้องชุด มาตรา 12, การตีความ ป.พ.พ. มาตรา 1366, แนวปฏิบัติภาษีอสังหาริมทรัพย์ 

   ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์

     เพิ่มเพื่อนไลน์แชทกับทนายความลีนนท์ พงษ์ศิริสุวรรณ

บทนำ

คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ การตีความ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ว่ากรณีห้องชุดที่มีกรรมสิทธิ์รวม จะได้รับสิทธิยกเว้นมูลค่าฐานภาษี 50 ล้านบาทต่อเจ้าของหรือเฉพาะตัวทรัพย์ โดยศาลฎีกาวินิจฉัยว่าต้องพิจารณาตาม “ทรัพย์รวม” ไม่ใช่สิทธิรายบุคคล และไม่อาจใช้หลัก ป.พ.พ. มาตรา 1366 มาปรับใช้ จึงเป็นแนววินิจฉัยสำคัญที่ชี้ให้เห็นว่าการยกเว้นฐานภาษีในกรณีห้องชุด ต้องใช้มูลค่าของทรัพย์รวมเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ


ข้อเท็จจริงของคดี

โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมห้องชุดเพนต์เฮาส์ ราคาประเมิน 97,615,089 บาท

ทั้งสองมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านและใช้ห้องชุดเป็นที่อยู่อาศัย

พนักงานประเมินคำนวณภาษีโดยใช้ราคาทั้งห้องชุดรวม ยกเว้น 50 ล้านบาท แล้วคิดภาษีจากส่วนเกิน (47,615,089 บาท)

โจทก์ทั้งสองเห็นว่าควรแบ่งราคาประเมินออกเป็นคนละครึ่ง เพื่อให้แต่ละคนได้รับสิทธิลดหย่อน 50 ล้านบาทแยกกัน จึงฟ้องเพิกถอนการประเมิน


ประเด็นข้อกฎหมาย

1. การยกเว้นมูลค่าฐานภาษี – บุคคลธรรมดาที่เป็นเจ้าของที่ดิน/สิ่งปลูกสร้างที่อยู่อาศัย มีสิทธิยกเว้นฐานภาษีไม่เกิน 50 ล้านบาท ตามมาตรา 41

2. กรณีกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุด – จะต้องยกเว้นตามทรัพย์สินรวม ไม่ใช่สิทธิแยกรายบุคคล

3. การอ้างอิง ป.พ.พ. มาตรา 1366 – ใช้บังคับเฉพาะความรับผิดต่อบุคคลภายนอก ไม่อาจนำมาใช้ในกรณีคำนวณภาษี


คำวินิจฉัยของศาลฎีกา

ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น

ศาลชี้ว่า พ.ร.บ.ภาษีที่ดินฯ กำหนดชัดให้ใช้ “ทรัพย์” เป็นเกณฑ์ ไม่ใช่จำนวนเจ้าของ

ห้องชุดเป็นกรรมสิทธิ์รวมที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด มาตรา 12

ดังนั้น ยกเว้นฐานภาษี 50 ล้านบาท ต้องหักจากราคาประเมินรวม (97,615,089 – 50,000,000 = 47,615,089 บาท)

คำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่ยกฟ้อง ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย


การวิเคราะห์เชิงกฎหมาย

1. ฐานภาษีและการยกเว้น

o ตามมาตรา 35 และ 41 การคำนวณฐานภาษีต้องใช้ราคาประเมินรวม ไม่ว่าจะมีเจ้าของกี่คน

o การยกเว้น 50 ล้านบาทเป็นสิทธิที่ผูกกับทรัพย์ ไม่ใช่สิทธิรายบุคคล

2. หลักกรรมสิทธิ์รวม

o ป.พ.พ. มาตรา 1366 ว่าด้วยความรับผิดของเจ้าของรวมใช้กับบุคคลภายนอก แต่ไม่ใช่เกณฑ์ภาษี

o การจัดเก็บภาษีเป็นกฎหมายเฉพาะ จึงไม่อาจนำหลักแพ่งทั่วไปมาปรับใช้

3. แนวทางตีความกฎหมายภาษี

o ต้องตีความตามบทบัญญัติพิเศษของกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง

o การตีความในทางขยายเพื่อเพิ่มสิทธิลดหย่อนแก่ผู้เสียภาษี ต้องอาศัยกฎหมายบัญญัติไว้ชัดเจน ไม่ใช่ตีความโดยอนุโลม


IRAC Analysis

Issue: กรณีกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุด บุคคลแต่ละรายมีสิทธิยกเว้นภาษี 50 ล้านบาทแยกกันหรือไม่

Rule: พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง 2562 มาตรา 35, 41 กำหนดให้ใช้มูลค่าทรัพย์รวม และให้ยกเว้นไม่เกิน 50 ล้านบาทต่อทรัพย์สินที่เป็นที่อยู่อาศัย

Application: ห้องชุดพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์รวมตาม พ.ร.บ.อาคารชุด มาตรา 12 ไม่อาจแบ่งแยก จึงต้องใช้ราคาประเมินรวม (97,615,089 บาท) หัก 50 ล้านบาท เหลือ 47,615,089 บาท ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย โจทก์ไม่อาจอ้างสิทธิ 50 ล้านบาทแยกรายคนได้

Conclusion: ศาลฎีกาพิพากษายืน ยืนยันว่าการยกเว้น 50 ล้านบาทใช้กับทรัพย์รวม ไม่ใช่สิทธิรายบุคคล


ข้อคิดทางกฎหมาย

สิทธิยกเว้นมูลค่าฐานภาษี 50 ล้านบาท ในกฎหมายภาษีที่ดินฯ เป็นสิทธิที่ผูกกับ “ทรัพย์สินรวม” ไม่ใช่สิทธิรายบุคคล

ผู้ถือกรรมสิทธิ์รวมห้องชุด ไม่อาจเรียกร้องสิทธิยกเว้นแยกตามส่วนตน

เป็นแนวทางสำคัญสำหรับนักกฎหมาย เจ้าของห้องชุด และผู้วางแผนภาษี


1. พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 35 วรรคสอง (3) “(3) สิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุด ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ” ตามกฎหมายคือใช้ “ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด” เป็นเกณฑ์ในกรณีสิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุด 2. พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 41 วรรคหนึ่ง “ในกรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในวันที่ ๑ มกราคมของปีภาษีนั้น ให้ได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีไม่เกินห้าสิบล้านบาท”

 

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3227/2568

ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีถูกบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะโดยให้ใช้มูลค่าทั้งหมดของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุดที่ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 35 วรรคสอง (3) เมื่อบทบัญญัติในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง ให้สิทธิและบรรเทาภาระของผู้เสียภาษีโดยยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีให้กับทรัพย์สินไม่เกินห้าสิบล้านบาทสำหรับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ซึ่งสิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุดได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีตามราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดไม่เกินห้าสิบล้านบาทแรก โดยมิได้คำนึงถึงว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียวหรือเป็นกรรมสิทธิ์รวม หรืออีกนัยหนึ่งคือมิได้พิจารณาจากสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินหรือจำนวนผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่พิจารณาจากตัวทรัพย์เป็นสำคัญ เมื่อโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุดพิพาทจึงได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีในการคำนวณภาษีตามราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดในส่วนที่ไม่เกินห้าสิบล้านบาทตามมาตรา 35 วรรคสอง (3), 41 วรรคหนึ่ง ประกอบประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2562 ข้อ 1 ทั้งโจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุดพิพาทที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ตาม พ.ร.บ.อาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 12 จึงไม่อาจอ้างบทบัญญัติตาม ป.พ.พ. มาตรา 1366 มาใช้กับการคำนวณภาษีตาม พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ได้


โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างสำหรับห้องชุดของโจทก์ทั้งสอง และเพิกถอนคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีกรุงเทพมหานคร

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลภาษีอากรกลางพิพากษายกฟ้อง ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ 3,000 บาท

โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลภาษีอากรกลางรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้

ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษายืน ให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันใช้ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์แทนจำเลย โดยกำหนดเป็นค่าทนายความ 3,000 บาท ส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดีในชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสองฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา


ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมห้องชุดพักอาศัยแบบเพนต์เฮาส์ของอาคารชุด ค. พนักงานประเมินแจ้งการประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างไปยังโจทก์ที่ 1 ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมห้องชุดที่พิพาท โจทก์ที่ 1 ยื่นคำร้องคัดค้านการประเมิน ผู้อำนวยการเขตปทุมวันปฏิบัติราชการแทนผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร มีหนังสือแจ้งผลการพิจารณาคำร้องคัดค้านการประเมินภาษี โจทก์ทั้งสองยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีกรุงเทพมหานคร คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีกรุงเทพมหานครพิจารณาแล้วมีคำวินิจฉัยให้ยกอุทธรณ์


มีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสองว่า การประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีกรุงเทพมหานครชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ โจทก์ทั้งสองฎีกาว่า โจทก์ทั้งสองร่วมกันถือกรรมสิทธิ์ในห้องชุดพิพาท เมื่อเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมแต่ละคนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามส่วนของตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1366 โจทก์ทั้งสองจึงมีหน้าที่เสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีตามที่กฎหมายกำหนด การประเมินมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมจึงต้องแยกราคาประเมินของเจ้าของรวมแต่ละคนออกจากกัน นั้น โจทก์ทั้งสองมีนายอภิชัย ผู้รับมอบอำนาจโจทก์ทั้งสอง เป็นพยานเบิกความว่า การคำนวณภาษีต้องแบ่งราคาประเมินห้องชุดพิพาทออกเป็นคนละครึ่งตามหลักของกรรมสิทธิ์รวมและยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างคนละไม่เกินห้าสิบล้านบาท เพราะโจทก์ทั้งสองเป็นบุคคลธรรมดาและใช้ห้องชุดดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยโดยมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ดังนั้น ราคาประเมินเพื่อใช้คำนวณภาษีในส่วนของโจทก์ที่ 1 เป็นเงิน 48,807,544.50 บาท และราคาประเมินเพื่อใช้คำนวณภาษีในส่วนของโจทก์ที่ 2 เป็นเงิน 48,807,544.50 บาท เช่นกัน โดยที่พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 41 วรรคหนึ่ง ได้บัญญัติยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านเป็นเงินไม่เกินห้าสิบล้านบาท ดังนั้น เมื่อราคาประเมินห้องชุดในส่วนของโจทก์ทั้งสองเป็นเงินคนละ 48,807,544.50 บาท โจทก์ทั้งสองจึงได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง การคำนวณภาษีของจำเลยโดยสำนักงานเขตปทุมวัน มิได้เป็นไปตามหลักการดังกล่าวข้างต้น โดยจำเลยมิได้แยกราคาประเมินห้องชุดออกเป็นสองส่วนตามหลักกรรมสิทธิ์รวม แต่ได้ใช้ราคาประเมินห้องชุดทั้งจำนวนในการคำนวณภาษีโดยหักมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณออกไปเป็นเงินห้าสิบล้านบาท และคำนวณภาษีจากราคาประเมินที่เหลือคือ 47,615,089 บาท ทำให้โจทก์ทั้งสองได้รับความเสียหาย โดยถูกเรียกให้ชำระภาษีในส่วนนี้เป็นเงิน 18,807.54 บาท ได้รับการลดภาษีในอัตราร้อยละ 90 คงเหลือ 1,880.75 บาท ทั้งที่โจทก์ทั้งสองไม่จำต้องเสียภาษีดังกล่าวแต่อย่างใด ส่วนจำเลยมีนายวิทวัช พนักงานเจ้าหน้าที่ของจำเลย ผู้พิจารณาอุทธรณ์เบื้องต้นเพื่อเสนอคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีกรุงเทพมหานคร เป็นพยานเบิกความว่า ทรัพย์สินที่พิพาทเป็นห้องชุดพักอาศัยแบบเพนต์เฮาส์ของอาคารชุด ค. ซึ่งเป็นกรรมสิทธิ์รวมของโจทก์ทั้งสอง โจทก์ทั้งสองมีชื่อในทะเบียนบ้านดังกล่าวตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2562 เป็นกรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในวันที่ 1 มกราคมของปีภาษีนั้น ให้ได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีไม่เกินห้าสิบล้านบาท ดังนั้น ในส่วนมูลค่าของฐานภาษีที่เกินห้าสิบล้านบาท จำนวน 47,615,089 บาท โจทก์ทั้งสองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมจึงเป็นผู้มีหน้าที่ร่วมกันเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างประจำปีภาษี 2563 กฎหมายกำหนดให้ยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีคือมูลค่าของทรัพย์สินซึ่งบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัย เฉพาะส่วนที่ไม่เกินห้าสิบล้านบาท มิใช่ให้ยกเว้นภาษีตามสิทธิหรือตามส่วนของเจ้าของรวมคนใดคนหนึ่ง หรือตามจำนวนบุคคลที่ถือกรรมสิทธิ์รวม เมื่อทรัพย์สินที่โจทก์ทั้งสองต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นทรัพย์สินที่มีกรรมสิทธิ์รวม พนักงานประเมินได้แจ้งการประเมินภาษีไปยังเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมแล้ว ย่อมมีผลผูกพันต้องชำระภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 47 (6) แต่สิทธิหน้าที่ระหว่างเจ้าของรวมเกี่ยวกับค่าภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ได้ชำระไว้แล้ว เจ้าของรวมที่ชำระค่าภาษีต้องไปว่ากล่าวกับเจ้าของรวมอีกคนหนึ่งเป็นกรณีต่างหาก เมื่อทรัพย์สินที่พิพาทไม่อาจแบ่งแยกมูลค่าของทรัพย์สินมาเป็นฐานภาษีเพื่อคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้ การประเมินภาษีของพนักงานประเมินรวมทั้งคำวินิจฉัยอุทธรณ์ที่ให้ยกอุทธรณ์จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว พิเคราะห์แล้ว การจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเป็นการจัดเก็บภาษีทรัพย์สินซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างภาษีของประเทศและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ทั้งในการจัดเก็บรายได้และเป็นเครื่องมือที่ส่งเสริมการใช้ประโยชน์จากที่ดินและสิ่งปลูกสร้างให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 มาตรา 9 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ผู้ซึ่งเป็นเจ้าของหรือครอบครองที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างอยู่ในวันที่ 1 มกราคมของปีใด เป็นผู้มีหน้าที่เสียภาษีสำหรับปีนั้น ตามที่กำหนดไว้ในพระราชบัญญัตินี้" วรรคสอง บัญญัติว่า "การเสียภาษีของผู้เสียภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ ไม่เป็นเหตุให้เกิดสิทธิตามกฎหมายอื่น" มาตรา 35 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษีตามพระราชบัญญัตินี้ได้แก่ มูลค่าทั้งหมดของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง" วรรคสอง บัญญัติว่า "การคำนวณมูลค่าของที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้าง ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ ดังต่อไปนี้ ... (3) สิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุด ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ" มาตรา 41 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในกรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของซึ่งเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัย และมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎรในวันที่ 1 มกราคมของปีภาษีนั้น ให้ได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีไม่เกินห้าสิบล้านบาท" วรรคสาม บัญญัติว่า "ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อคำนวณการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษี..." ซึ่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้ออกประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2562 โดยข้อ 1 ของประกาศกระทรวงการคลังดังกล่าวกำหนดว่า กรณีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่เจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ให้นำมูลค่าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้นหักด้วยห้าสิบล้านบาท หากมูลค่าของฐานภาษีที่คำนวณได้ดังกล่าวมีมูลค่าน้อยกว่าหรือเท่ากับศูนย์ ให้มูลค่าของฐานภาษีดังกล่าวเท่ากับศูนย์ ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากร เห็นว่า จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า ฐานภาษีเพื่อการคำนวณภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างและการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีถูกบัญญัติไว้เป็นการเฉพาะโดยให้ใช้มูลค่าทั้งหมดของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างนั้น เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีของรัฐจากการครอบครองทรัพย์สินที่เป็นที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างให้ครบถ้วน รวมทั้งสิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุดที่ให้ใช้ราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดเป็นเกณฑ์ในการคำนวณ ตามมาตรา 35 วรรคสอง (3) เมื่อบทบัญญัติในมาตรา 41 วรรคหนึ่ง ให้สิทธิและบรรเทาภาระของผู้เสียภาษีโดยยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีในการคำนวณภาษีให้กับทรัพย์สินไม่เกินห้าสิบล้านบาทสำหรับบุคคลธรรมดาซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้าน ซึ่งสิ่งปลูกสร้างที่เป็นห้องชุดได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีตามราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดไม่เกินห้าสิบล้านบาทแรก โดยมิได้คำนึงถึงว่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้างดังกล่าวมีเจ้าของกรรมสิทธิ์เพียงคนเดียวหรือเป็นกรรมสิทธิ์รวม หรืออีกนัยหนึ่งคือมิได้พิจารณาจากสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินหรือจำนวนผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่พิจารณาจากตัวทรัพย์เป็นสำคัญ เมื่อข้อเท็จจริงที่จำเลยนำสืบโดยโจทก์ทั้งสองไม่ได้โต้แย้งรับฟังได้ว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุดพักอาศัยแบบเพนต์เฮาส์ของอาคารชุด ค. โดยโจทก์ทั้งสองมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านของห้องชุดดังกล่าวตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ตั้งแต่วันที่ 12 ธันวาคม 2562 ห้องชุดพิพาทของโจทก์ทั้งสองมีราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุด 97,615,089 บาท โจทก์ทั้งสองในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมจึงได้รับยกเว้นมูลค่าฐานภาษีในการคำนวณภาษี ตามราคาประเมินทุนทรัพย์ห้องชุดในส่วนที่ไม่เกินห้าสิบล้านบาท ตามมาตรา 35 วรรคสอง (3), 41 วรรคหนึ่ง ประกอบประกาศกระทรวงการคลัง เรื่อง หลักเกณฑ์และวิธีการคำนวณการยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างซึ่งเจ้าของเป็นบุคคลธรรมดาใช้เป็นที่อยู่อาศัยและมีชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านตามกฎหมายว่าด้วยการทะเบียนราษฎร ลงวันที่ 21 มิถุนายน 2562 ซึ่งเมื่อคำนวณมูลค่าของฐานภาษีโดยห้องชุดพิพาทมีราคาประเมินทุนทรัพย์ 97,615,089 บาท ได้รับยกเว้นมูลค่าของฐานภาษีห้าสิบล้านบาท จึงเหลือมูลค่าของฐานภาษีที่ไม่ได้รับยกเว้นจำนวน 47,615,089 บาท ที่ต้องเสียภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ส่วนที่โจทก์ทั้งสองอ้างว่า เจ้าของกรรมสิทธิ์รวมแต่ละคนต้องรับผิดต่อบุคคลภายนอกตามส่วนของตน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1366 จึงต้องแยกการประเมินของเจ้าของรวมแต่ละคนออกจากกันนั้น เห็นว่า โจทก์ทั้งสองเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมในห้องชุดพิพาทที่ไม่อาจแบ่งแยกได้ตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 มาตรา 12 กรณีโจทก์ทั้งสองจึงไม่อาจอ้างบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1366 มาใช้กับการคำนวณภาษีตามพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ได้ เมื่อโจทก์ทั้งสองไม่โต้แย้งอัตราภาษีตามการประเมิน การประเมินภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างของพนักงานประเมินและคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์การประเมินภาษีกรุงเทพมหานครชอบด้วยกฎหมายแล้ว ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ทั้งสองฟังไม่ขึ้น

พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ

 

มาตรา 1366 ป.พ.พ.

การตีความตามหลักกฎหมาย

มาตรานี้อยู่ในหมวด “ทรัพย์สินรวม” ซึ่งหมายถึงกรณีที่บุคคลตั้งแต่สองคนขึ้นไปมีกรรมสิทธิ์ร่วมกันในทรัพย์สินชิ้นเดียว เช่น บ้าน ที่ดิน รถ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ โดยไม่แบ่งแยกส่วนที่แน่นอน

เมื่อเจ้าของรวมตกลงกัน “แบ่ง” ทรัพย์สินรวมออกไปให้แต่ละคนได้เป็นเจ้าของเดี่ยวในส่วนที่ตนได้รับแล้ว กฎหมายกำหนดหลักเกณฑ์เรื่อง “ความรับผิดหลังการแบ่ง” ดังนี้

1. เปรียบเสมือนการขายระหว่างกัน

o หากเจ้าของรวม ก. ได้ที่ดินแปลงหนึ่งไปจากการแบ่ง และต่อมาพบว่าที่ดินนั้นมีปัญหา เช่น มีบุคคลภายนอกอ้างสิทธิ ทำให้ต้องคืนหรือเสียหาย

o เจ้าของรวม ก. มีสิทธิเรียกร้องให้เจ้าของรวมอื่น ๆ รับผิดเหมือนกับผู้ขายที่ต้องรับผิดเรื่องการรับประกันความสงบ (warranty against eviction) หรือความชำรุดบกพร่อง

2. ความรับผิดจำกัดตามส่วน

o เจ้าของรวมแต่ละคนจะไม่ต้องรับผิดเต็มจำนวน แต่รับผิด “ตามส่วน” ที่ตนเคยมีอยู่ในทรัพย์สินรวม

o เช่น เดิมมีเจ้าของรวม 3 คน ถือคนละ 1/3 เมื่อแบ่งกันแล้ว ปรากฏว่าทรัพย์สินที่เจ้าของรวมคนหนึ่งได้รับมีปัญหา → เจ้าของรวมอีก 2 คนต้องร่วมรับผิดเหมือนผู้ขาย แต่เฉพาะในสัดส่วน 1/3 ของตนเองเท่านั้น

3. หลักประกันความเป็นธรรม

o กฎหมายมุ่งให้เกิดความยุติธรรมแก่เจ้าของรวมที่ได้รับทรัพย์ไปในภายหลัง

o เพราะการแบ่งทรัพย์เสมือน “การแลกเปลี่ยน” ระหว่างเจ้าของรวมกันเอง หากทรัพย์ที่ได้ไปชำรุดหรือถูกเรียกคืน เจ้าของรวมผู้นั้นไม่ควรต้องรับความเสี่ยงแต่เพียงผู้เดียว


ตัวอย่างประกอบ

สมมติ นาย ก., ข. และ ค. ร่วมกันเป็นเจ้าของที่ดินแปลงใหญ่คนละ 1/3 ต่อมาแบ่งที่ดินกัน

o นาย ก. ได้แปลงย่อย ก1

o นาย ข. ได้แปลง ข1

o นาย ค. ได้แปลง ค1

ภายหลังปรากฏว่าแปลง ก1 ที่นาย ก. ได้ไป ถูกบุคคลภายนอกฟ้องเอาคืนเพราะมีกรรมสิทธิ์อยู่ก่อน → นาย ก. สูญเสียที่ดินทั้งแปลง

ตามมาตรา 1366 นาย ข. และนาย ค. ต้องร่วมรับผิดชดใช้ให้นาย ก. เหมือนเป็น “ผู้ขาย” ที่ต้องรับประกันสิทธิในทรัพย์สิน แต่ละคนรับผิดเพียง 1/3 ตามส่วน ของตน ไม่ใช่เต็มจำนวน


สรุปความสำคัญ

มาตรา 1366 ป.พ.พ. คุ้มครองเจ้าของรวมที่ได้รับทรัพย์จากการแบ่งไม่ให้เสียเปรียบ

หลักการคือ “แบ่งแล้วเหมือนซื้อขายกันเอง” เจ้าของรวมที่เหลือต้องรับผิดเหมือนผู้ขายในสัดส่วนของตน

 

เป็นกลไกสร้างความยุติธรรมและความมั่นใจในการแบ่งทรัพย์สินรวม

 




ประมวลรัษฎากร

ประมาณการกำไรสุทธิคลาดเคลื่อนเกิน 25% และการเสียเงินเพิ่ม(ฎีกา 5095/2565) article
สิทธิ ลดอัตราอากร และการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม (ฎีกา 1392/2567)
(ฎีกาที่ 731/2568) เงินไมตรีจิต & ภาษีลาออก
(ฎีกา 893/2568)คดีกู้ยืมเงิน & หลักฐานไม่ปิดอากรแสตมป์
การเครดิตภาษีหัก ณ ที่จ่ายในชื่อคู่สมรส และข้อจำกัดตาม ป.รัษฎากร มาตรา 60(ฎีกาที่ 6752/2567)
ภาษีมูลค่าเพิ่มกรณีผู้ประกอบการต่างประเทศขายสินค้าในราชอาณาจักรเป็นปกติธุระ(ฎีกาที่ 6753/2567)
รายจ่ายที่มีลักษณะของการทำนิติกรรมอำพรางโดยให้บริษัทในเครือกู้ยืมเงิน
ประมวลรัษฎากร
การหักลดหย่อนภาษีของผู้มีเงินได้ซึ่งเป็นบุตรบุญธรรม