
| คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5650/2567: สิทธิขอรับเงินรางวัลทนายความในคดีที่มีโทษเพียงปรับ
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของทนายความขอแรงในการขอรับเงินรางวัลในคดีอาญาที่มีโทษเพียงปรับ โดยศาลวินิจฉัยว่าประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 มีเจตนารมณ์เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่จำเลยในคดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกเท่านั้น คดีนี้ซึ่งมีโทษเพียงปรับไม่เข้าเกณฑ์ดังกล่าว ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินรางวัลให้แก่ทนายความ สรุปข้อเท็จจริงของคดี •ข้อกล่าวหา: โจทก์ฟ้องจำเลยฐานกระทำผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ซึ่งมีโทษปรับเพียงสถานเดียว •การแต่งตั้งทนายความ: ก่อนเริ่มพิจารณา จำเลยร้องขอให้ศาลตั้งทนายความ ศาลชั้นต้นแต่งตั้งผู้ร้องเป็นทนายความขอแรง •คำร้องขอเงินรางวัล: หลังศาลพิพากษาลงโทษจำเลย ผู้ร้องยื่นคำร้องขอรับเงินรางวัลทนายความ •คำสั่งศาลชั้นต้น: ยกคำร้อง เนื่องจากคดีไม่มีโทษจำคุกตามกฎหมาย •คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2: พิพากษายืน •ฎีกา: ผู้ร้องฎีกาขอให้มีการจ่ายเงินรางวัลทนายความ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5650/2567 ใช้มาตราใดอธิบาย กฎหมายหลักที่ใช้ในการวินิจฉัยคดีนี้ คือ 1. ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 2. พระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 และมาตรา 157 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 (ใช้ประกอบว่า “โทษปรับ” เป็นโทษทางอาญา) ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้พร้อมขยายความสั้น ๆ 1. สิทธิทนายความตาม ป.วิ.อ. มาตรา 173 บทบัญญัตินี้ให้ศาลตั้งทนายความให้จำเลยได้เฉพาะคดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุก ซึ่งเป็นเจตนารมณ์เพื่อป้องกันไม่ให้จำเลยเสียเปรียบในคดีที่มีความร้ายแรงหรือซับซ้อน 2. คดีปรับสถานเดียวไม่เข้าข่ายคดีที่ตั้งทนายความขอแรง คดีนี้มีโทษเพียง “ปรับ” ตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก มาตรา 43 และ 157 ซึ่งไม่ใช่คดีโทษประหารหรือโทษจำคุก จึงไม่เข้าเกณฑ์ที่ศาลจะสั่งตั้งทนายความตามมาตรา 173 3. ศาลไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินรางวัลทนายความ เมื่อคดีไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 173 ศาลจึงไม่มีอำนาจตามกฎหมายที่จะจ่ายเงินรางวัลทนายความให้แก่ผู้ร้อง แม้ผู้ร้องจะได้รับแต่งตั้งเป็นทนายความให้จำเลยในคดีชั้นต้นก็ตาม 4. ไม่อาจนำมาตรา 173 มาเทียบเคียง ศาลฎีกายืนยันว่าไม่สามารถ “เทียบเคียง” มาตรา 173 เพื่อจ่ายเงินรางวัลในคดีที่กฎหมายไม่ได้เปิดช่องไว้ เพราะจะเป็นการขยายสิทธิและอำนาจของศาลเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด 5. คดีโทษปรับเป็นคดีไม่ซับซ้อน จำเลยมีทางเลือกอื่น
ศาลให้เหตุผลเพิ่มเติมว่า คดีที่ลงโทษเพียงปรับเป็นคดีที่ศาลสามารถไต่สวนเองได้ง่าย และจำเลยยังมีทางเลือกในการชำระค่าปรับหรือทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับ จึงไม่จำเป็นต้องใช้มาตรา 173 เพื่อคุ้มครองสิทธิจำเลย คำวินิจฉัยของศาลฎีกา 1.เจตนารมณ์ของมาตรา 173 ป.วิ.อ. oวรรคหนึ่ง: สำหรับคดีที่มีโทษประหารชีวิต หรือจำเลยอายุต่ำกว่า 18 ปี oวรรคสอง: สำหรับคดีที่มีโทษจำคุก หากจำเลยต้องการทนายความ oจุดมุ่งหมายเพื่อให้จำเลยมีโอกาสต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ในคดีร้ายแรงหรือซับซ้อน 2.การใช้ในคดีนี้ oคดีนี้มีโทษเพียงปรับไม่เกิน 4,000 บาท ไม่มีโทษจำคุก oคดีประเภทนี้มักไม่ซับซ้อน ศาลสามารถไต่สวนและหาข้อเท็จจริงได้ง่าย oจำเลยยังสามารถเลือกชำระค่าปรับหรือทำงานบริการสังคมแทนได้ 3.ข้อสรุปของศาลฎีกา oศาลไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ทนายความขอแรงในคดีที่ไม่มีโทษจำคุกหรือประหารชีวิต oการนำมาตรา 173 มาเทียบเคียงเพื่อจ่ายเงินในกรณีนี้ไม่อาจทำได้ oฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย •หลักการตีความมาตรา 173 ป.วิ.อ. oเป็นบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองสิทธิจำเลยในคดีร้ายแรง oมีผลโดยตรงต่อสิทธิได้รับทนายความจากรัฐ oไม่ขยายความไปถึงคดีที่มีโทษเพียงปรับ เพราะขัดเจตนารมณ์ของกฎหมาย •ผลทางปฏิบัติสำหรับทนายความขอแรง oทนายความควรตรวจสอบประเภทโทษก่อนรับแต่งตั้ง oการขอรับเงินรางวัลต้องอยู่ในขอบเขตคดีที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ข้อคิดทางกฎหมาย •การตีความบทบัญญัติด้านสิทธิจำเลยต้องยึดเจตนารมณ์กฎหมายเป็นหลัก •ทนายความขอแรงไม่สามารถเรียกร้องค่าตอบแทนในคดีที่ไม่มีโทษจำคุกหรือโทษประหารชีวิต •เป็นแนวปฏิบัติสำคัญในการบริหารงบประมาณยุติธรรมและลดการใช้ทรัพยากรในคดีเล็กน้อย สรุปภาษาอังกฤษ The Supreme Court Decision No. 5650/2567 addressed whether a court-appointed defense lawyer is entitled to receive a fee in a case punishable only by a fine. The Court held that Section 173 of the Criminal Procedure Code applies only to cases punishable by death or imprisonment. Since this traffic offense carried only a fine and no imprisonment, the lawyer was not entitled to such payment. The judgment reaffirms that state-appointed counsel fees are limited to serious criminal cases. สรุปย่อฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มาตรา 173 ป.วิ.อ. ให้อำนาจศาลแต่งตั้งทนายความเฉพาะคดีที่มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุก เพื่อให้จำเลยได้รับความช่วยเหลือเต็มที่ คดีนี้มีเพียงโทษปรับไม่เกิน 4,000 บาท ไม่มีโทษจำคุก จึงไม่เข้าเกณฑ์กฎหมายและศาลไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินรางวัลทนายความ ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินดังกล่าว และฎีกาฟังไม่ขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5650/2567 ป.วิ.อ. มาตรา 173 มีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยมีทนายความช่วยเหลือไม่เสียเปรียบในการต่อสู้คดีเฉพาะคดีที่เป็นความผิดมีอัตราโทษประหารชีวิตหรือจำคุกอันเป็นการให้โอกาสจำเลยในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เท่านั้น เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ซึ่งมีระวางโทษปรับเพียงสถานเดียว ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินตามคำร้องของผู้ร้อง กรณีไม่อาจนำ ป.วิ.อ. มาตรา 173 มาเทียบเคียงเพื่อจ่ายเงินรางวัลทนายความให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอรับเงินรางวัลทนายความ คดีสืบเนื่องมาจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ก่อนเริ่มพิจารณา จำเลยขอให้ศาลชั้นต้นตั้งทนายความให้ ศาลชั้นต้นตั้งผู้ร้องเป็นทนายความให้จำเลย เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาให้ลงโทษจำเลยตามฟ้องแล้ววันที่ 22 ธันวาคม 2565 ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งจ่ายเงินรางวัลทนายความแก่ตน ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีนี้ไม่มีอัตราโทษจำคุกตามกฎหมายจึงไม่อาจจ่ายเงินรางวัลแก่ทนายความขอแรงได้ ยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืน ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินรางวัลทนายความหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคหนึ่ง บัญญัติว่า "ในคดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิต หรือในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปีในวันที่ถูกฟ้องต่อศาล ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีก็ให้ศาลตั้งทนายความให้" และวรรคสอง บัญญัติว่า "ในคดีที่มีอัตราโทษจำคุก ก่อนเริ่มพิจารณาให้ศาลถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่ ถ้าไม่มีและจำเลยต้องการทนายความ ก็ให้ศาลตั้งทนายความให้" บทบัญญัติดังกล่าวมีเจตนารมณ์เพื่อให้จำเลยมีทนายความช่วยเหลือไม่เสียเปรียบในการต่อสู้คดีเฉพาะคดีที่เป็นความผิดมีอัตราโทษประหารชีวิตหรือจำคุกอันเป็นการให้โอกาสจำเลยในการต่อสู้คดีได้อย่างเต็มที่เท่านั้น ส่วนคดีนี้มีโทษปรับเพียงสถานเดียวแม้เป็นโทษทางอาญาอย่างหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 18 ด้วยก็ตาม แต่ส่วนใหญ่ไม่ใช่คดีที่มีความสลับซับซ้อนและศาลทำการไต่สวนให้ได้ข้อเท็จจริงเพิ่มเติมเองได้ง่าย ทั้งหากฟังว่าจำเลยกระทำผิดจริง จำเลยก็ยังมีทางเลือกที่จะชำระค่าปรับหรือทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับได้ เมื่อคดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43, 157 ซึ่งมีระวางโทษเพียงปรับไม่เกินสี่พันบาท ไม่มีระวางโทษจำคุก เมื่อโทษดังกล่าวมิใช่โทษประหารชีวิตหรือจำคุกตามที่กฎหมายให้อำนาจศาลสั่งจ่ายเงินรางวัลแก่ทนายความได้ ศาลจึงไม่มีอำนาจสั่งจ่ายเงินตามคำร้องของผู้ร้อง กรณีไม่อาจนำประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 มาเทียบเคียงเพื่อจ่ายเงินรางวัลทนายความให้แก่ผู้ร้อง ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิขอรับเงินรางวัลทนายความ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 ยกอุทธรณ์ของผู้ร้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน IRAC Analysis Issue (ประเด็นปัญหา) ผู้ร้องซึ่งเป็นทนายความขอแรง มีสิทธิขอรับเงินรางวัลทนายความในคดีที่มีโทษเพียงปรับหรือไม่ Rule (กฎหมายที่ใช้บังคับ) ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 กำหนดให้ศาลแต่งตั้งทนายความและมีสิทธิรับเงินรางวัลเฉพาะคดีที่มีโทษประหารชีวิต หรือโทษจำคุก (รวมถึงกรณีจำเลยอายุต่ำกว่า 18 ปี) Application (การปรับใช้กฎหมายกับข้อเท็จจริง) คดีนี้เป็นคดีฝ่าฝืน พ.ร.บ.จราจรทางบก มีโทษเพียงปรับไม่เกิน 4,000 บาท ไม่มีโทษจำคุกหรือประหารชีวิต แม้จะมีการแต่งตั้งทนายความขอแรง แต่ไม่เข้าเงื่อนไขมาตรา 173 และไม่อาจนำบทบัญญัตินี้มาเทียบเคียงเพื่อจ่ายเงินรางวัลได้ Conclusion (ข้อสรุป) ผู้ร้องไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลทนายความ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ แนวคำถาม - ธงคำตอบ ข้อ 1 ปัญหาข้อกฎหมายที่ต้องวินิจฉัย คือ ในกรณีที่จำเลยถูกฟ้องในคดีความผิดตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 และมาตรา 157 ซึ่งมีโทษเพียงปรับสถานเดียว จำเลยได้ร้องขอตั้งทนายความขอแรงก่อนเริ่มพิจารณา และศาลชั้นต้นได้ตั้งผู้ร้องเป็นทนายความให้ตามคำขอ ต่อมาหลังศาลพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลจ่ายเงินรางวัลทนายความตามหลักเกณฑ์ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ภาค 2 และฎีกาต่อศาลฎีกา จึงต้องวินิจฉัยว่า คดีนี้เป็นคดีที่เข้าข่ายตามมาตรา 173 หรือไม่ และผู้ร้องมีสิทธิได้รับเงินรางวัลทนายความหรือไม่ ธงคำตอบ คดีนี้เป็นคดีที่มีโทษเพียงปรับสถานเดียวตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 43 และมาตรา 157 ไม่ใช่คดีที่มีอัตราโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุก ซึ่งเป็นเงื่อนไขตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 173 วรรคหนึ่งและวรรคสอง เจตนารมณ์ของมาตรา 173 มีไว้เพื่อให้จำเลยในคดีร้ายแรงหรือคดีที่มีความซับซ้อนมีโอกาสได้รับการช่วยเหลือจากทนายความอย่างเต็มที่เท่านั้น คดีที่มีเพียงโทษปรับเป็นคดีที่ศาลสามารถไต่สวนข้อเท็จจริงได้โดยไม่ยุ่งยาก และจำเลยเองยังสามารถเลือกชำระค่าปรับหรือทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับได้ ดังนั้น ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินรางวัลทนายความ และไม่อาจนำมาตรา 173 มาเทียบเคียงได้ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนยกคำร้องเป็นการวินิจฉัยถูกต้องแล้ว ข้อ 2 ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า การที่ศาลชั้นต้นตั้งผู้ร้องเป็นทนายความให้จำเลยก่อนเริ่มการพิจารณา โดยที่คดีนี้ไม่มีโทษจำคุกหรือโทษประหารชีวิต ศาลมีอำนาจในการตั้งทนายความตามมาตรา 173 หรือไม่ และหากศาลตั้งทนายความไปแล้ว ผู้ร้องสามารถอ้างการแต่งตั้งดังกล่าวเพื่อขอรับเงินรางวัลทนายความได้หรือไม่ ธงคำตอบ มาตรา 173 กำหนดให้ศาลมีอำนาจตั้งทนายความให้จำเลยได้เฉพาะคดีที่มีโทษประหารชีวิต หรือคดีที่มีโทษจำคุกเมื่อจำเลยร้องขอ เมื่อคดีตามพ.ร.บ.จราจรทางบกเป็นคดีโทษปรับสถานเดียว การที่ศาลชั้นต้นตั้งทนายความจึงเป็นเพียงการใช้ดุลพินิจที่กฎหมายไม่ห้าม แต่การตั้งทนายความเช่นนี้มิได้ทำให้ผู้ร้องมีสิทธิเรียกเงินรางวัลทนายความตามกฎหมายได้ เพราะสิทธิที่จะได้รับเงินรางวัลต้องเป็นไปตามเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดเท่านั้น ไม่ใช่อาศัยการแต่งตั้งโดยศาลเป็นตัวกำหนดสิทธิ เมื่อคดีไม่เข้าเงื่อนไขตามมาตรา 173 ผู้ร้องย่อมไม่มีสิทธิขอรับเงินรางวัลทนายความ ข้อ 3 ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า “คดีโทษปรับสถานเดียว” จะถือเป็นคดีอาญาที่มีความซับซ้อนหรือมีความยากแก่จำเลยถึงขั้นที่ต้องตีความให้ครอบคลุมมาตรา 173 หรือไม่ รวมถึงเหตุผลของศาลฎีกาในการปฏิเสธการขยายความตามหลักกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา ธงคำตอบ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีที่ลงโทษเพียงค่าปรับเป็นคดีที่โดยสภาพมิได้มีลักษณะซับซ้อน ศาลสามารถไต่สวนพยานหลักฐานเพื่อค้นข้อเท็จจริงได้โดยตรง และจำเลยยังมีวิธีการแก้ไขผลร้ายจากคำพิพากษาได้โดยการชำระค่าปรับหรือทำงานบริการสังคมแทนค่าปรับอีกด้วย ลักษณะเช่นนี้ไม่ถึงขั้นที่จะต้องคุ้มครองสิทธิจำเลยโดยการจัดทนายความให้ตามมาตรา 173 อันเป็นบทบัญญัติที่มุ่งคุ้มครองจำเลยในคดีที่มีความร้ายแรงหรือมีโทษจำคุก การนำมาตรา 173 มาเทียบเคียงเพื่อให้เกิดสิทธิเรียกรางวัลทนายความจึงเป็นสิ่งที่ทำไม่ได้ เพราะจะเป็นการขยายขอบเขตบทบัญญัติที่จำกัดสิทธิและหน้าที่ของรัฐโดยไม่มีกฎหมายรองรับ ข้อ 4 ปัญหาวินิจฉัยว่า เมื่อจำเลยในคดีนี้มีอายุเกิน 18 ปี และไม่มีอัตราโทษจำคุก การตีความมาตรา 173 วรรคหนึ่งที่กำหนดเรื่องการตั้งทนายความให้จำเลยอายุไม่เกิน 18 ปี จะสามารถนำหลักการดังกล่าวมาอ้างในการขอรับเงินรางวัลทนายความสำหรับผู้ร้องได้หรือไม่ ธงคำตอบ มาตรา 173 วรรคหนึ่งบัญญัติไว้โดยชัดเจนว่า ในคดีที่จำเลยมีอายุไม่เกินสิบแปดปี ศาลต้องถามจำเลยว่ามีทนายความหรือไม่และตั้งทนายความให้หากจำเลยไม่มี บทบัญญัตินี้เป็นข้อยกเว้นที่ออกแบบมาเพื่อคุ้มครองผู้เยาว์ซึ่งมีความอ่อนด้อยกว่าบุคคลทั่วไปและต้องการการช่วยเหลือมากกว่า แต่ในคดีนี้จำเลยมิใช่ผู้เยาว์ จึงไม่เข้าเงื่อนไขการคุ้มครองดังกล่าว และการขอรับเงินรางวัลทนายความต้องเป็นไปตามเงื่อนไขของกฎหมายเท่านั้น ผู้ร้องไม่อาจอาศัยหลักการทั่วไปเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้เยาว์เพื่อนำมาเทียบเคียงในกรณีที่คดีมิได้มีสถานการณ์เข้าลักษณะนั้น การฎีกาของผู้ร้องจึงฟังไม่ขึ้น ข้อ 5 ปัญหาต้องวินิจฉัยว่า ผู้ร้องสามารถอ้างว่าตนได้ปฏิบัติหน้าที่แทนรัฐในการคุ้มครองสิทธิของจำเลยในกระบวนการพิจารณาคดีอาญา เพื่อขอให้ศาลใช้หลักกฎหมายทั่วไปด้านความยุติธรรมและความเป็นธรรมในการ “ขยายขอบเขต” สิทธิขอรับเงินรางวัลทนายความได้หรือไม่ ธงคำตอบ
ศาลฎีกาชี้ชัดว่า สิทธิที่จะได้รับเงินรางวัลทนายความเป็นเรื่องที่กฎหมายต้องบัญญัติไว้โดยเฉพาะ ไม่อาจอาศัยหลักความเป็นธรรมหรือเหตุผลเชิงนโยบายทั่วไปมาใช้เป็นฐานในการขยายสิทธิของบุคคลได้ มาตรา 173 เป็นบทกฎหมายที่กำหนดเงื่อนไขเฉพาะกรณีและมีลักษณะเป็นข้อยกเว้น การขยายความให้ครอบคลุมคดีอื่นที่ไม่มีโทษประหารชีวิตหรือโทษจำคุกย่อมเป็นการตีความเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด เมื่อคดีนี้เป็นเพียงคดีปรับสถานเดียว ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิได้รับเงินรางวัลทนายความไม่ว่าด้วยเหตุผลใด ๆ ศาลฎีกาจึงพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ภาค 2
|





