
(ฎีกาที่ 1546/2568) คดีชิงทรัพย์ & ลักทรัพย์โดยมีอาวุธ, มาตรา 339
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับการตีความความผิดฐานชิงทรัพย์และลักทรัพย์โดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 และ 335 ว่าเมื่อจำเลยรับสารภาพเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีพยานหลักฐานสนับสนุน โจทก์ไม่สามารถอาศัยเพียงคำรับสารภาพให้ศาลลงโทษได้ ศาลฎีกาจึงยืนยันคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ที่ยกฟ้องความผิดฐานชิงทรัพย์ และลงโทษจำเลยเพียงความผิดฐานพาอาวุธไปในที่สาธารณะ
ข้อเท็จจริงของคดี • โจทก์ ฟ้องจำเลยว่ากระทำความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ และขอให้ลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 339 พร้อมทั้งขอให้ริบมีดปังตอ และคืนสุราขาวหรือใช้ราคาแทน • จำเลย ให้การรับสารภาพตั้งแต่ชั้นต้น • ศาลชั้นต้น พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานชิงทรัพย์ตาม มาตรา 339 และความผิดฐานพาอาวุธไปในที่สาธารณะตาม มาตรา 371 โดยรอการกำหนดโทษไว้ 3 ปี และให้คุมความประพฤติ • ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้ ยกฟ้องความผิดฐานชิงทรัพย์ เนื่องจากโจทก์ไม่สืบพยานประกอบคำรับสารภาพ มีเพียงคำรับสารภาพจำเลยอย่างเดียวจึงไม่พอ ศาลลงโทษเฉพาะความผิดตาม มาตรา 371 ปรับ 500 บาท และริบของกลาง • โจทก์ฎีกา ขอให้ศาลลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธแทน
ประเด็นวินิจฉัย 1. จำเลยสามารถถูกลงโทษฐาน ชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ ได้หรือไม่ เมื่อไม่มีการสืบพยานประกอบคำรับสารภาพ 2. ศาลสามารถลงโทษจำเลยฐาน ลักทรัพย์โดยมีอาวุธ แทนได้หรือไม่ ภายใต้มาตรา 192 วรรคท้าย ป.วิ.อ.
คำวินิจฉัยของศาลฎีกา • ความผิดตามมาตรา 339 (ชิงทรัพย์) มีโทษขั้นต่ำจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป การจะลงโทษจำเลยจึงต้องมี พยานหลักฐาน ของโจทก์ประกอบด้วย ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 แม้จำเลยจะรับสารภาพก็ไม่เพียงพอ • เมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลไม่มีหลักฐานอื่นสนับสนุน จึงไม่อาจลงโทษฐานชิงทรัพย์ได้ • ส่วนมาตรา 192 วรรคท้าย ที่ให้อำนาจศาลลงโทษในข้อหาที่เบากว่า หากข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวน แต่ในกรณีนี้ไม่มีข้อเท็จจริงใดปรากฏเกินกว่าที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง ดังนั้น ศาลไม่อาจลงโทษฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธแทนได้ • ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องข้อหาชิงทรัพย์ ลงโทษเฉพาะความผิดฐานพาอาวุธไปในที่สาธารณะ
วิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. หลักการรับสารภาพไม่เพียงพอในความผิดร้ายแรง กฎหมายกำหนดให้ศาลต้องฟังพยานโจทก์ประกอบด้วยในคดีที่มีโทษขั้นต่ำสูง เพื่อป้องกันความผิดพลาดในการพิพากษาลงโทษเพียงจากคำรับสารภาพ 2. ข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้ แม้จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 185 และ 195 3. การใช้มาตรา 192 วรรคท้าย ศาลจะลงโทษในความผิดที่เบากว่าได้ก็ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวน แต่หากไม่มีพยานหลักฐานเพิ่มเติม ศาลไม่สามารถปรับลดข้อหาได้เอง
IRAC Analysis Issue (ปัญหา): เมื่อจำเลยรับสารภาพในความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ แต่โจทก์ไม่สืบพยานประกอบ ศาลสามารถลงโทษได้หรือไม่ และสามารถลงโทษฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธแทนได้หรือไม่ Rule (กฎหมาย): • ป.อ. มาตรา 339: ความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ • ป.วิ.อ. มาตรา 176: ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจในคดีโทษสูง แม้จำเลยรับสารภาพ • ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย: ศาลสามารถลงโทษในความผิดที่เบากว่า หากมีข้อเท็จจริงปรากฏในสำนวน Application (การปรับใช้): • โจทก์ไม่สืบพยานประกอบคำรับสารภาพ จึงไม่มีหลักฐานยืนยันการกระทำผิดฐานชิงทรัพย์ • แม้จะมีการอ้างว่าความผิดชิงทรัพย์ครอบคลุมความผิดฐานลักทรัพย์ แต่สำนวนไม่ปรากฏข้อเท็จจริงที่เพียงพอ ศาลจึงไม่สามารถลงโทษในข้อหาลักทรัพย์แทนได้ Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์ ยกฟ้องข้อหาชิงทรัพย์ ลงโทษเฉพาะฐานพาอาวุธไปในที่สาธารณะตามมาตรา 371
ข้อคิดทางกฎหมาย • การรับสารภาพเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ในคดีที่มีโทษร้ายแรง ต้องมีพยานหลักฐานสนับสนุนเสมอ • ศาลอุทธรณ์และศาลฎีกามีหน้าที่คุ้มครองความสงบเรียบร้อยของกระบวนพิจารณา แม้คู่ความไม่ยกขึ้นเอง • มาตรา 192 วรรคท้ายมีข้อจำกัด ศาลจะลงโทษในข้อหาที่เบากว่าได้ ก็ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงชัดเจนปรากฏในสำนวน ไม่ใช่เพียงจากคำฟ้อง
English Summary The Supreme Court Decision No. 1546/2025 concerns robbery with a weapon under Section 339 of the Penal Code. The Court ruled that a guilty plea alone is insufficient for conviction in serious offenses without supporting prosecution evidence. Since the prosecutor waived witness examination, there was no basis to convict for robbery or theft with a weapon. The Court upheld the Appeal Court’s judgment, acquitting the defendant of robbery and convicting only for carrying a weapon in public under Section 371.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1546/2568 ความผิดตาม ป.อ. มาตรา 339 แม้จำเลยให้การรับสารภาพและจำเลยไม่สืบพยาน ก็ไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ได้ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 แต่กลับปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ศาลฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธตามฟ้องได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ อีกทั้งแม้ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นความผิดที่รวมการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ อยู่ด้วยก็ตาม แต่เมื่อปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นว่า ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาตามฟ้องโจทก์ตามบันทึกคำให้การที่สักขีพยานบันทึกไว้ โจทก์และจำเลยแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณา ดังนั้น ข้อเท็จจริงอันเป็นการกระทำของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นความผิด ก็มีเพียงเท่าที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้อง หาได้มีข้อเท็จจริงตามที่พิจารณาได้ความแต่อย่างใดไม่ จึงไม่อาจนำ ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย มาใช้บังคับเพื่อให้ศาลลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธดังที่โจทก์ฎีกาได้
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 91, 339, 371 ริบมีดปังตอของกลาง ให้จำเลยคืนสุราขาวจำนวนครึ่งขวดที่ยังไม่ได้คืนหรือหากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคาทรัพย์ 35 บาท แก่ผู้เสียหายด้วย จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 (1), 371 ให้รอการกำหนดโทษจำเลยไว้มีกำหนด 3 ปี ให้คุมความประพฤติจำเลย 2 ปี โดยให้จำเลยไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ 8 ครั้ง ภายในระยะเวลาคุมความประพฤติ ให้ทำกิจกรรมบริการสังคมตามที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควรเป็นเวลา 24 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
โจทก์อุทธรณ์ โดยรองอธิบดีอัยการภาค 3 รักษาการในตำแหน่งอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูงภาค 3 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมาย รับรองให้อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงเฉพาะความผิดฐานพาอาวุธไปในเมือง หมู่บ้านหรือทางสาธารณะโดยเปิดเผยหรือโดยไม่มีเหตุสมควร
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานชิงทรัพย์ ไม่รอการกำหนดโทษและไม่คุมความประพฤติจำเลย ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 371 ปรับ 1,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงปรับ 500 บาท จำเลยต้องขังมาพอแก่โทษปรับแล้วให้ปล่อยตัวไป ริบมีดปังตอของกลาง ยกคำขอของโจทก์ที่ให้จำเลยคืนสุราขาวที่ยังไม่ได้คืนหรือใช้ราคาแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า จำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 335 (7) หรือไม่ โดยโจทก์ฎีกาว่า ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นความผิดรวมการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธไว้ด้วยและเป็นความผิดได้ในตัวเอง เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องไว้แล้วและเป็นความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงห้าปี การที่จำเลยให้การรับสารภาพ โจทก์จึงไม่จำต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพ ศาลย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 เห็นว่า ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ที่โจทก์ขอให้ศาลลงโทษมีอัตราโทษอย่างต่ำไว้ให้จำคุกตั้งแต่ห้าปีขึ้นไป แม้จำเลยจะให้การรับสารภาพและจำเลยไม่สืบพยาน ก็ไม่อาจพิพากษาว่าจำเลยกระทำความผิดฐานนี้ได้ ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่าจำเลยได้กระทำผิดจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 176 ดังนั้น เมื่อโจทก์ต้องสืบพยานโจทก์ประกอบคำรับสารภาพของจำเลยในความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคสอง แต่กลับปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2566 ว่า โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน โจทก์จึงไม่มีพยานหลักฐานที่จะให้ศาลฟังลงโทษจำเลยในความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธตามฟ้องได้ ปัญหาดังกล่าวเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยมิได้ยกขึ้นอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 3 ก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 185 วรรคหนึ่ง มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 215 อีกทั้งแม้ความผิดฐานชิงทรัพย์เป็นความผิดที่รวมการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์อยู่ด้วยก็ตาม แต่เมื่อพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคท้าย ซึ่งบัญญัติว่า "ถ้าความผิดตามที่ฟ้องนั้นรวมการกระทำหลายอย่าง แต่ละอย่างอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยในการกระทำผิดอย่างหนึ่งอย่างใดตามที่พิจารณาได้ความก็ได้" ซึ่งในส่วนนี้ปรากฏตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นฉบับลงวันที่ 8 พฤษภาคม 2566 ว่า ศาลอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้วจำเลยให้การรับสารภาพข้อหาตามฟ้องโจทก์ตามบันทึกคำให้การที่สักขีพยานบันทึกไว้ โจทก์และจำเลยแถลงว่าไม่ติดใจสืบพยาน คดีเสร็จการพิจารณา ดังนั้น ข้อเท็จจริงอันเป็นการกระทำของจำเลยที่โจทก์อ้างว่าเป็นความผิด ก็มีเพียงเท่าที่โจทก์กล่าวในฟ้อง หาได้มีข้อเท็จจริงตามที่พิจารณาได้ความแต่อย่างใดไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติเช่นว่านี้มาใช้บังคับเพื่อให้ศาลลงโทษจำเลยดังที่โจทก์ฎีกาได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับความผิดฐานชิงทรัพย์มานั้น ชอบแล้ว ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืน
1. เนื้อหาของมาตรา 192 วรรคท้าย มาตรา 192 วรรคท้าย บัญญัติว่า “ในกรณีที่ศาลฎีกาพิพากษาแก้หรือพิพากษากลับ ให้ถือว่าคำพิพากษาศาลฎีกานั้นเป็นที่สุดแทนคำพิพากษาของศาลล่างนั้น” หลักสำคัญคือ เมื่อศาลฎีกาแก้หรือกลับคำพิพากษาศาลล่าง จะต้องมี “ข้อเท็จจริงที่ได้พิจารณา” รองรับ และคำพิพากษาศาลฎีกานั้นจะถือว่าเป็นที่สุดแทนของศาลล่าง
2. ประเด็นตามฎีกา • คดีนี้เป็น ความผิดฐานชิงทรัพย์โดยมีอาวุธ (ป.อ. มาตรา 339) • แม้จำเลยรับสารภาพ แต่ความผิดนี้ถือเป็นความผิดร้ายแรง ศาลต้องฟังพยานโจทก์จนกว่าจะพอใจว่ามีความผิดจริง (ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176) • แต่ปรากฏว่า โจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน → จึงไม่มีหลักฐานใดให้ศาลรับฟังเพื่อพิพากษาลงโทษได้ • ศาลฎีกาจึงชี้ว่า ไม่สามารถอาศัยมาตรา 192 วรรคท้ายมาใช้บังคับได้ เพื่อแก้เป็นโทษฐานลักทรัพย์แทน เพราะไม่มีข้อเท็จจริงที่ศาลชั้นต้นได้พิจารณารับฟัง
3. ความเกี่ยวข้องกับมาตรา 192 วรรคท้าย • มาตรา 192 วรรคท้าย อนุญาตให้ศาลฎีกาพิพากษาแก้หรือกลับคำพิพากษาศาลล่าง และคำพิพากษานั้นมีผลแทนศาลล่าง • แต่ในกรณีนี้ ศาลล่างไม่ได้ฟังพยานโจทก์เลย และข้อเท็จจริงมีเพียงตามฟ้อง ไม่มีการพิจารณารับฟังจน “ได้ความจริง” • ดังนั้น ศาลฎีกาไม่สามารถใช้มาตรา 192 วรรคท้ายเพื่อ “เปลี่ยนโทษ” หรือ “ปรับเป็นความผิดฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธ” ได้ เพราะ ไม่มีข้อเท็จจริงรองรับ
✅ สรุปสั้น ๆ ข้อความนี้เกี่ยวข้องกับมาตรา 192 วรรคท้ายในแง่ที่ว่า แม้มาตราดังกล่าวให้อำนาจศาลฎีกาพิพากษาแก้หรือกลับได้ แต่จะทำได้ต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงที่ศาลล่างได้พิจารณาไว้รองรับแล้ว ในคดีนี้ไม่มีพยานหลักฐานที่ศาลชั้นต้นได้ฟัง ศาลฎีกาจึงไม่อาจอาศัยมาตรา 192 วรรคท้ายมาใช้ลงโทษจำเลยแทนฐานลักทรัพย์โดยมีอาวุธได้
|