
คืนของกลางพ้นกำหนด 1 ปี สิทธิขอคืนสิ้นสุด, ป.อ. มาตรา 36, (ฎีกา 2311/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ 🟩 บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิทธิของเจ้าของทรัพย์สินในการร้องขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 โดยเฉพาะการนับระยะเวลาหนึ่งปีนับแต่ “วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ศาลฎีกาวินิจฉัยอย่างชัดเจนว่าหากคู่ความมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาภายในกำหนด วันคำพิพากษาถึงที่สุดต้องนับจากวันครบหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ มิใช่วันที่ศาลอนุญาตขยายเวลา ดังนั้น การยื่นคำร้องขอคืนของกลางหลังพ้นหนึ่งปี ถือว่าขาดสิทธิและต้องห้ามตามกฎหมาย 🟩 สรุปข้อเท็จจริงของคดี โจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองในความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 และพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 พร้อมขอให้ริบไม้ประดู่และรถบรรทุกหกล้อของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยและริบของกลาง จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้เล็กน้อยแต่ยังคงให้ริบของกลาง ต่อมา เจ้าของรถบรรทุกหกล้อ (ผู้ร้อง) ซึ่งมิใช่คู่ความในคดีเดิม ยื่นคำร้องต่อศาลขอคืนของกลาง โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของรถที่แท้จริงและมิได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิด แต่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกอุทธรณ์ ผู้ร้องจึงฎีกา 🟩 ประเด็นแห่งคดี 1. วันเริ่มนับกำหนด “หนึ่งปี” เพื่อขอคืนของกลาง ตาม ป.อ. มาตรา 36 คือวันใด 2. ผู้ร้องที่ยื่นคำร้องหลังจากครบหนึ่งปี นับจากวันคำพิพากษาถึงที่สุด ยังคงมีสิทธิขอคืนของกลางหรือไม่ 🟩 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า • สิทธิร้องขอคืนของกลางเป็นสิทธิในการดำเนินคดี ตาม ป.อ. มาตรา 36 โดยกำหนดให้เจ้าของแท้จริงที่มิได้รู้เห็นเป็นใจต้องยื่นคำร้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด • “วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง หมายถึง วันครบหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง ในกรณีที่ไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกา หรือเมื่อคู่ความขอขยายเวลาแต่ไม่ใช้สิทธินั้น ต้องถือว่าคำพิพากษาถึงที่สุดตั้งแต่วันครบกำหนดเดิม ไม่ใช่วันครบกำหนดที่ขยาย ในคดีนี้ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อ่านคำพิพากษาเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2564 คู่ความใช้สิทธิฎีกาได้ถึง 15 มีนาคม 2564 แต่ไม่มีฝ่ายใดฎีกา แม้โจทก์ขอขยายเวลาได้ถึง 14 มิถุนายน 2564 แต่ไม่ได้ฎีกา ดังนั้น คำพิพากษาจึงถึงที่สุดตั้งแต่ 15 มีนาคม 2564 การที่ผู้ร้องยื่นคำร้องคืนของกลางวันที่ 10 มิถุนายน 2565 จึงเกินหนึ่งปี ขาดสิทธิร้องขอคืนของกลาง ตาม ป.อ. มาตรา 36 ศาลฎีกาจึงพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นที่ยกคำร้องของผู้ร้องไว้เดิม ⚖️ กฎหมายที่ศาลใช้เป็นหลักในการวินิจฉัย 🔸 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 “ในกรณีที่ศาลได้สั่งริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 เจ้าของแท้จริงซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดมีสิทธิร้องขอคืนของกลางต่อศาลได้ ภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ศาลฎีกาใช้บทบัญญัตินี้เป็นหลักในการพิจารณาว่า ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของรถบรรทุกหกล้อของกลาง มีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางหรือไม่ โดยมุ่งตีความคำว่า “วันคำพิพากษาถึงที่สุด” และ “ภายในหนึ่งปี” ว่าหมายถึงระยะเวลาการใช้สิทธิ ไม่ใช่ขั้นตอนทางพิจารณาความ 🧭 กฎหมายอื่นที่ศาลอ้างอิงประกอบ • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง อธิบายความหมายของ “คำพิพากษาถึงที่สุด” ว่าให้ถือวันครบหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาหรือคำสั่ง หากไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกา • ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15, 198 และ 216 วางหลักการนับกำหนดเวลาและการอ่านคำพิพากษาให้คู่ความฟัง ซึ่งศาลใช้ประกอบการตีความวันเริ่มนับระยะเวลา 1 ปีตามมาตรา 36 🔹 5 Keywords สำคัญที่สุดของคดีนี้ พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ 1. วันคำพิพากษาถึงที่สุด หมายถึงวันที่ครบหนึ่งเดือนหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ หากไม่มีการอุทธรณ์หรือฎีกา ศาลย้ำว่าหากขอขยายเวลาแต่ไม่ได้ใช้สิทธิก็ไม่นับจากวันขยาย 2. กำหนดเวลาใช้สิทธิ (หนึ่งปี) มาตรา 36 กำหนดระยะเวลาหนึ่งปีสำหรับเจ้าของแท้จริงในการร้องขอคืนของกลาง ซึ่งถือเป็น “กำหนดเวลาใช้สิทธิ” มิใช่ “กำหนดวิธีพิจารณา” พ้นกำหนดแล้วหมดสิทธิทันที 3. เจ้าของแท้จริงที่มิได้รู้เห็นเป็นใจ บุคคลที่มีกรรมสิทธิ์ในของกลางและไม่ได้มีส่วนร่วมในความผิดเท่านั้นที่มีสิทธิร้องขอคืน หากมีส่วนเกี่ยวข้องหรือปล่อยปละละเลยถือว่ารู้เห็นเป็นใจ 4. การขอขยายเวลาฎีกา ศาลตีความว่าการที่คู่ความขอขยายเวลาแต่ไม่ได้ใช้สิทธิตามที่ขอไว้ ไม่ทำให้วันคำพิพากษาถึงที่สุดเลื่อนออกไป ยังคงต้องนับจากวันครบหนึ่งเดือนเดิม 5. สิ้นสิทธิขอคืนของกลาง เมื่อเจ้าของยื่นคำร้องหลังพ้นกำหนดหนึ่งปี ศาลถือว่าขาดสิทธิ แม้เป็นเจ้าของทรัพย์จริงก็ไม่อาจขอคืนได้ เพราะเป็นการใช้สิทธิล่าช้าเกินกฎหมายกำหนด 💡 สรุปใจความสำคัญ ศาลฎีกาตอกย้ำหลักว่า “เวลาในกฎหมายคือขอบเขตของสิทธิ” ผู้มีสิทธิร้องขอคืนของกลางต้องยื่นคำร้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด การนับวันดังกล่าวต้องอิงตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด ไม่ใช่ตามวันขยายเวลาฎีกาที่ไม่ได้ใช้สิทธิ การยื่นช้ากว่ากำหนดย่อมสิ้นสิทธิ แม้เป็นเจ้าของแท้จริงก็ตาม 🟩 การวิเคราะห์ประเด็นทางกฎหมาย 1. ความหมายของ “วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ศาลฎีกาได้ตีความโดยอ้างอิง ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง และ ป.วิ.อ. มาตรา 15, 198, 216 ซึ่งกำหนดว่า หากคู่ความไม่อุทธรณ์หรือฎีกาภายในหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษา ให้ถือว่าคำพิพากษาถึงที่สุดตั้งแต่วันครบหนึ่งเดือน ไม่ใช่รอจนกว่าจะพ้นกำหนดขยายเวลา ดังนั้น แม้ศาลอนุญาตให้ขยายระยะเวลา แต่ถ้าไม่ได้ใช้สิทธินั้น ระยะเวลานับต้องย้อนกลับไปวันครบหนึ่งเดือนตามกฎหมาย 2. ลักษณะของกำหนดเวลาใน มาตรา 36 กำหนดเวลาหนึ่งปีเป็น “กำหนดเวลาใช้สิทธิ” ไม่ใช่กำหนดเวลาในกระบวนพิจารณา จึงมีลักษณะเป็นอายุความเฉพาะทาง หากพ้นกำหนด ย่อมขาดสิทธิร้องขอคืนของกลางโดยเด็ดขาด 3. หลักคุ้มครองเจ้าของแท้จริง แม้กฎหมายเปิดโอกาสให้เจ้าของทรัพย์ที่มิได้รู้เห็นกับความผิดร้องขอคืนได้ แต่ต้องอยู่ภายในกรอบเวลาที่แน่นอน ศาลฎีกาจึงตอกย้ำหลักความมั่นคงของคำพิพากษา และป้องกันมิให้กระบวนการคดีอาญายืดเยื้อโดยไม่สิ้นสุด 🟩 ข้อคิดทางกฎหมาย คดีนี้สะท้อนให้เห็นว่า “เวลา” ในกระบวนพิจารณาคดีมีผลเท่ากับ “สิทธิ” หากเจ้าของทรัพย์ประสงค์จะขอคืนของกลาง ต้องยื่นคำร้องภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดตามกฎหมาย มิฉะนั้นสิทธิจะสิ้นสุดโดยเด็ดขาด แม้เป็นเจ้าของที่แท้จริงก็ตาม 🟩 IRAC Analysis Issue: วันเริ่มนับหนึ่งปีเพื่อขอคืนของกลางตาม ป.อ. มาตรา 36 คือวันใด และหากยื่นเกินหนึ่งปี สิทธิยังคงอยู่หรือไม่ Rule: • ป.อ. มาตรา 36 : เจ้าของแท้จริงที่มิได้รู้เห็นในการกระทำความผิด มีสิทธิร้องขอคืนของกลางได้ ภายใน 1 ปี นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด • ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง : คำพิพากษาถึงที่สุดเมื่อพ้นกำหนดอุทธรณ์หรือฎีกา 1 เดือน หากมิได้ใช้สิทธิดังกล่าว • ป.วิ.อ. มาตรา 15, 198, 216 : การนับเวลาให้ถือวันอ่านคำพิพากษาหรือวันที่ถือว่าได้อ่านเป็นหลัก Application: ในคดีนี้ คำพิพากษาศาลอุทธรณ์อ่านเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ครบ 1 เดือนใน 15 มีนาคม 2564 คู่ความไม่มีการฎีกา แม้โจทก์ขอขยายเวลาแต่ไม่ได้ใช้สิทธิ จึงถือว่าคำพิพากษาถึงที่สุดตั้งแต่ 15 มีนาคม 2564 ผู้ร้องยื่นขอคืนของกลาง 10 มิถุนายน 2565 เกินหนึ่งปี จึงขาดสิทธิ Conclusion: วันคำพิพากษาถึงที่สุดคือนับจากวันครบหนึ่งเดือนหลังอ่านคำพิพากษา ไม่ใช่วันครบขยายเวลา การยื่นคำร้องหลังหนึ่งปีถือว่าหมดสิทธิขอคืนของกลาง ตาม ป.อ. มาตรา 36
🔹 คำถามที่ 1: ในกรณีที่คู่ความไม่ได้ยื่นฎีกาภายในกำหนดเวลา แต่ภายหลังได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาฎีกา ศาลอนุญาตให้ขยายแล้วไม่ฎีกา วันคำพิพากษาถึงที่สุดจะนับจากวันใด? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “วันคำพิพากษาถึงที่สุด” ต้องนับจาก วันครบหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15, 198 และ 216 แม้โจทก์จะยื่นคำร้องขอขยายเวลาและศาลอนุญาตถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2564 แต่เมื่อมิได้ใช้สิทธิฎีกาตามเวลาที่ขอขยายไว้ คำพิพากษาย่อมถึงที่สุดในวันที่ 15 มีนาคม 2564 ซึ่งเป็นวันครบหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้คู่ความฟัง 💡 หลักกฎหมายสำคัญ: การขยายระยะเวลาอุทธรณ์หรือฎีกา หากไม่ได้ใช้สิทธิตามที่ได้รับอนุญาต จะไม่ทำให้วันคำพิพากษาถึงที่สุดเลื่อนออกไป
🔹 คำถามที่ 2: เจ้าของทรัพย์ที่ถูกริบซึ่งมิได้เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด สามารถยื่นคำร้องขอคืนของกลางหลังพ้นหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุดได้หรือไม่? คำตอบ: ไม่ได้ครับ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า สิทธิของเจ้าของแท้จริงที่จะร้องขอคืนของกลางตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ต้องใช้ภายใน หนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ในคดีนี้ วันคำพิพากษาถึงที่สุดคือวันที่ 15 มีนาคม 2564 แต่ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางวันที่ 10 มิถุนายน 2565 ซึ่งพ้นกำหนดหนึ่งปี จึงเป็นการใช้สิทธิล่าช้าเกินกำหนด ต้องห้ามตามกฎหมาย และถือว่าสิทธิร้องขอคืนของกลางสิ้นสุด 💡 หลักกฎหมายสำคัญ: กำหนดเวลาหนึ่งปีตาม ป.อ. มาตรา 36 เป็น “กำหนดเวลาใช้สิทธิ” ไม่ใช่กำหนดวิธีพิจารณา หากพ้นกำหนดย่อมหมดสิทธิร้องขอคืนโดยเด็ดขาด แม้จะเป็นเจ้าของทรัพย์ที่แท้จริงก็ตาม ✅ สรุปสาระสำคัญของทั้งสองคำถาม 1. วันคำพิพากษาถึงที่สุดให้ถือวันครบหนึ่งเดือนหลังอ่านคำพิพากษา ไม่ใช่วันครบขยายเวลา 2. การยื่นคำร้องขอคืนของกลางต้องอยู่ภายใน 1 ปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด หากพ้นกำหนดถือว่าสิ้นสิทธิ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2311/2567 การร้องขอคืนของกลางตามที่บัญญัติไว้ใน ป.อ. มาตรา 36 นั้น เจ้าของที่แท้จริงซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดย่อมมีสิทธิร้องขอคืนของกลางต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งคำว่า "วันคำพิพากษาถึงที่สุด" นี้ ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง บัญญัติว่า "คำพิพากษาหรือคำสั่งใดซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกาหรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้น ถ้ามิได้อุทธรณ์ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนด ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง..." ซึ่งก็คือ เมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 198 และมาตรา 216 ในกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ฎีกาแล้วมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้ วันคำพิพากษาถึงที่สุดย่อมต้องกลับไปใช้ระยะเวลา ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบ ป.วิ.อ. มาตรา 15 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดโดยกฎหมาย คือ เมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง คดีนี้เมื่อมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้คู่ความความฟัง เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โจทก์และจำเลยทั้งสองใช้สิทธิฎีกาได้ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2564 ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้ขอขยายระยะเวลาฎีกา และมิได้ใช้สิทธิฎีกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาและศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2564 แต่โจทก์มิได้ฎีกา คำพิพากษาย่อมถึงที่สุดในวันที่ 15 มีนาคม 2564 อันเป็นวันครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้คู่ความฟัง สิทธิของผู้ร้องที่จะขอคืนของกลางต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด จึงต้องนับตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 มิใช่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนของกลางเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 จึงเป็นการยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องห้ามตาม ป.อ. มาตรา 36 ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น คดีสืบเนื่องจากโจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 4, 6, 7, 11, 69, 73, 74 พระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 มาตรา 92, 93, 151 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 32, 33, 83, 91, 92 และริบไม้ประดู่และรถบรรทุกหกล้อของกลาง ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสอง ริบไม้ประดู่และรถบรรทุกหกล้อของกลาง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นแต่ยังคงให้ริบของกลาง คดีถึงที่สุดแล้ว ผู้ร้องยื่นคำร้องและแก้ไขคำร้องขอให้คืนรถบรรทุกหกล้อของกลางให้แก่ผู้ร้อง โจทก์ยื่นคำคัดค้านขอให้ยกคำร้อง ศาลชั้นต้นไต่สวนแล้วมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ยกอุทธรณ์ของผู้ร้อง ผู้ร้องฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีสิ่งแวดล้อมวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงรับฟังเป็นยุติว่า เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม 2563 ศาลชั้นต้นพิพากษาริบรถบรรทุกหกล้อของกลาง จำเลยทั้งสองอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้น ต่อมาวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ศาลอุทธรณ์ภาค 5 อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้คู่ความฟังทางระบบสื่อสารทางไกลผ่านจอภาพ โจทก์ขอขยายระยะเวลายื่นฎีกา 3 ครั้ง ศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2564 โจทก์ไม่ได้ใช้สิทธิฎีกาภายในเวลาที่ขยายไว้และไม่มีคู่ความฝ่ายใดยื่นฎีกา ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนรถบรรทุกหกล้อของกลางเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของผู้ร้องว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและยกอุทธรณ์ของผู้ร้องมานั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า กำหนดเวลาในการยื่นคำร้องขอคืนของกลางตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้น เป็นกำหนดเวลาในการใช้สิทธิในการดำเนินคดี มิใช่ระยะเวลาที่เกี่ยวด้วยวิธีพิจารณาความตามที่กำหนดไว้เพื่อให้ดำเนิน หรือมิให้ดำเนินกระบวนพิจารณาใด ๆ ก่อนสิ้นระยะเวลานั้น ดังนั้น แม้ข้อเท็จจริงจะรับฟังได้ตามที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 วินิจฉัยว่า ผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางเมื่อพ้นกำหนด 1 ปี นับแต่คำพิพากษาถึงที่สุด ผู้ร้องจึงไม่มีสิทธิยื่นคำร้องซึ่งต่างกับคำวินิจฉัยของศาลชั้นต้นที่เห็นว่า ผู้ร้องไม่ใช่เจ้าของกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินของกลางที่แท้จริง แต่ก็หามีผลทำให้คำสั่งของศาลชั้นต้นที่วินิจฉัยไว้ดังกล่าวกลายเป็นคำสั่งที่ไม่ชอบไม่ เพราะมิใช่เป็นเรื่องที่ศาลชั้นต้นทำคำสั่งหรือคำพิพากษาโดยฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติว่าด้วยวิธีพิจารณาความ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้นและยกอุทธรณ์ของผู้ร้องเป็นการไม่ถูกต้อง ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น และเพื่อไม่ให้คดีล่าช้า ศาลฎีกาเห็นสมควรพิจารณาพิพากษาคดีนี้ไปโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิจารณาพิพากษาใหม่ก่อน มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของผู้ร้องว่า ผู้ร้องมีสิทธิยื่นคำร้องขอคืนของกลางหรือไม่ เห็นว่า การร้องขอคืนของกลางตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 นั้น เจ้าของแท้จริงซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจด้วยในการกระทำความผิดย่อมมีสิทธิร้องขอคืนของกลางต่อศาลได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ซึ่งคำว่า "วันคำพิพากษาถึงที่สุด" นี้ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง บัญญัติว่า "คำพิพากษาหรือคำสั่งใด ซึ่งอาจอุทธรณ์ฎีกา หรือมีคำขอให้พิจารณาใหม่ได้นั้นถ้ามิได้อุทธรณ์ ฎีกาหรือร้องขอให้พิจารณาใหม่ภายในเวลาที่กำหนดไว้ ให้ถือว่าเป็นที่สุดตั้งแต่ระยะเวลาเช่นว่านั้นได้สิ้นสุดลง..." ซึ่งก็คือเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่าน หรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟังตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 198 และมาตรา 216 ในกรณีที่คู่ความยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ฎีกาแล้วมิได้ใช้สิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามที่ได้ขอขยายระยะเวลาไว้ วันคำพิพากษาถึงที่สุดย่อมต้องกลับไปใช้ระยะเวลาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 ซึ่งเป็นระยะเวลาที่กำหนดโดยกฎหมายคือเมื่อครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาหรือคำสั่งให้คู่ความฟัง คดีนี้เมื่อมีการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้คู่ความฟังเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 โจทก์และจำเลยทั้งสองย่อมใช้สิทธิฎีกาได้ถึงวันที่ 15 มีนาคม 2564 ซึ่งจำเลยทั้งสองมิได้ขอขยายระยะเวลาฎีกาและมิได้ใช้สิทธิฎีกา ส่วนโจทก์ยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาฎีกาและศาลชั้นต้นอนุญาตถึงวันที่ 14 มิถุนายน 2564 แต่โจทก์มิได้ฎีกา คำพิพากษาย่อมถึงที่สุดในวันที่ 15 มีนาคม 2564 อันเป็นวันครบกำหนดหนึ่งเดือนนับแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 ให้คู่ความฟัง สิทธิของผู้ร้องที่จะขอคืนของกลางต่อศาลภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด จึงต้องนับแต่วันที่ 15 มีนาคม 2564 มิใช่วันที่ 14 มิถุนายน 2564 ดังที่ผู้ร้องอุทธรณ์ ผู้ร้องมายื่นคำร้องขอคืนของกลาง เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2565 จึงเป็นการยื่นคำร้องเมื่อพ้นกำหนดหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่ศาลชั้นต้นยกคำร้องของผู้ร้องมานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล อุทธรณ์ของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 โดยให้บังคับตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9090/2549 (คดีขอคืนรถยนต์ของกลาง) ประเด็นที่เกี่ยวข้อง: สิทธิขอคืนของกลาง, การพิจารณาว่าผู้ร้อง “รู้เห็นเป็นใจ” หรือไม่ ข้อเท็จจริงสรุป: ในคดีนี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาลงโทษจำเลยพร้อมสั่งริบรถยนต์ของกลาง ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ดังกล่าว ยื่นคำร้องขอคืนรถยนต์ของกลาง โดยอ้างว่า มิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิดของจำเลย แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ผู้ร้องอุทธรณ์และฎีกา คำวินิจฉัยโดยศาลฎีกา: • ศาลฎีกากล่าวว่าในคดีร้องขอคืนของกลางที่ศาลสั่งริบแล้ว จะวินิจฉัยเฉพาะประเด็นที่ผู้ร้องอ้างว่า “มิได้รู้เห็นเป็นใจ” เท่านั้น • หากข้อเท็จจริงปรากฏว่า ผู้ร้องเก็บกุญแจรถยนต์ไว้ในที่ที่จำเลยสามารถหยิบไปใช้ได้โดยสะดวก และผู้ร้องเคยมอบหมายให้จำเลยดูแลรถยนต์ หรือปล่อยให้จำเลยใช้โดยไม่ควบคุมอย่างเคร่งครัด ก็อาจถือได้ว่ามีการ “รู้เห็นเป็นใจ” โดยปริยาย ศาลจึงปฏิเสธให้คืนของกลางแก่ผู้ร้อง • ในคดี 9090/2549 นี้ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นต้นและอุทธรณ์ โดยถือว่า ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอคืนของกลาง บทเรียนเปรียบเทียบกับ 2311/2567: – ทั้งสองคดีมีประเด็นว่าผู้ร้องอ้างเป็นเจ้าของทรัพย์สินและมิได้มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำผิด – 9090/2549 มุ่งวินิจฉัยเรื่อง “รู้เห็นเป็นใจ” เป็นประเด็นสำคัญ ในขณะที่ 2311/2567 เน้นเรื่อง “การนับเวลาและวันคำพิพากษาถึงที่สุด” เป็นประเด็นหลัก – การวิเคราะห์พฤติการณ์ที่แสดงถึงความปล่อยปละละเลยของผู้ร้องใน 9090/2549 เป็นแนววิเคราะห์ที่อาจใช้เปรียบเทียบได้ในคดีอื่นหากมีข้อเท็จจริงใกล้เคียง 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3242/2531 (กรณีเจ้าของแท้จริงขอคืนโดยมิได้มีคดี) ประเด็นที่เกี่ยวข้อง: สิทธิร้องขอคืนของกลางตาม มาตรา 36 ต้องมีคดีขึ้นสู่ศาลหรือไม่ ข้อเท็จจริงสรุป: ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ของกลางซึ่งถูกจับกุมในคดีอาญาต่างประเทศ แต่ในคดีดังกล่าวไม่มีการฟ้องคดีต่อศาล (ไม่มีศาลมีคำพิพากษาหรือริบของกลางในคดีหลัก) แล้วผู้ร้องยื่นคำร้องขอให้ศาลสั่งคืนรถยนต์โดยอาศัย ป.อ. มาตรา 36 คำวินิจฉัยโดยศาลฎีกา: • ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า บทบัญญัติในมาตรา 36 กำหนดไว้เฉพาะในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 แล้ว • จึงเมื่อผู้ร้องไม่มีคดีขึ้นสู่ศาล ไม่มีคำพิพากษาหรือคำสั่งริบของกลาง ผู้ร้องจึงไม่อาจใช้ มาตรา 36 เป็นฐานยื่นคำร้องขอคืนของกลางได้ • “คำเสนอของเจ้าของแท้จริง … จะกระทำได้เฉพาะในกรณีที่ศาลสั่งให้ริบทรัพย์สินตามมาตรา 33 หรือ 34 แล้ว” • โดยเหตุนั้น ฎีกาของผู้ร้องฟังไม่ขึ้น บทเรียนเปรียบเทียบกับ 2311/2567: – 2311/2567 เป็นคดีที่มีคำพิพากษาริบของกลางในคดีหลักอยู่แล้ว จึงเข้าเงื่อนไขที่มาตรา 36 บัญญัติ – 3242/2531 ชี้ให้เห็นว่า ถ้าไม่มีคดีหลัก มาตรา 36 ไม่อาจใช้ได้ เป็นเกณฑ์จำกัดว่าสิทธิร้องขอคืนของกลางต้องยึดโยงกับคดีริบของกลางเดิม – ในบทความของคุณ สามารถนำ 3242/2531 มาใช้เปรียบเทียบในส่วน “เงื่อนไขเบื้องต้นในการใช้สิทธิร้องขอคืน” 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6463/2543 (กรณียื่นคำร้องขอคืนของกลางล่วงเลยเวลา) ประเด็นที่เกี่ยวข้อง: กำหนดเวลา 1 ปีตามมาตรา 36 และผลของการยื่นเกินกำหนด ข้อเท็จจริงสรุป: ผู้ร้องอ้างว่าเป็นเจ้าของรถยนต์ซึ่งศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาริบของกลาง และผู้ร้องยื่นคำร้องขอคืนของกลางหลังพ้นกำหนด 1 ปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด คำวินิจฉัยโดยศาลฎีกา: • ศาลฎีกาตีความว่า มาตรา 36 บัญญัติชัดว่า ผู้ร้องจะต้องยื่นคำร้องภายใน 1 ปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด • หากผู้ร้องมายื่นคำร้องหลังพ้นกำหนด 1 ปีแล้ว แม้เจ้าของทรัพย์และมิได้รู้เห็นเป็นใจ ก็ ต้องห้าม ตามบทบัญญัติของกฎหมาย ไม่อาจให้คืนของกลาง • ในคำพิพากษา 6463/2543 นี้ ศาลฎีกายืนยันหลักว่า การยื่นภายหลังเวลาที่กฎหมายกำหนดไม่อาจรับฟังได้แม้เหตุอ้างว่าไม่ทราบกฎหมายหรือเพิ่งทราบคำพิพากษา • บทเรียนเปรียบเทียบกับ 2311/2567: – 2311/2567 มีประเด็นคล้ายกันมาก คือผู้ร้องยื่นคำร้องคืนของกลางเกิน 1 ปี – 6463/2543 ใช้เป็นกรณีพิสัยว่า เมื่อพ้นกำหนด 1 ปีแล้ว ย่อมสิ้นสิทธิอย่างเด็ดขาด – คุณสามารถเชื่อมโยงหลักการจาก 6463/2543 มาเสริมความหนักแน่นในบทวิเคราะห์ของ 2311/2567 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1063/2521 (กรอบเวลายื่นคำร้องคืนของกลาง) ประเด็นที่เกี่ยวข้อง: ความหมายของ “คำพิพากษาถึงที่สุด” และสิทธิยื่นภายใน 1 ปี ข้อเท็จจริงสรุป: คดีที่มีคำพิพากษาริบทรัพย์ของกลาง จำเลยถูกพิพากษาแล้ว ผู้ร้องซึ่งอ้างว่าเป็นเจ้าของทรัพย์ของกลางยื่นคำร้องขอคืนของกลางภายในระยะเวลา คำวินิจฉัยโดยศาลฎีกา: • ศาลฎีกายืนยันหลักว่า เจ้าของทรัพย์ซึ่งมิได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำผิด มีสิทธิร้องขอคืนของกลางภายใน 1 ปี นับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด • โดยคำว่า “คำพิพากษาถึงที่สุด” หมายถึงคำพิพากษาที่การอุทธรณ์หรือฎีกาต่าง ๆ พ้นระยะเวลาแล้ว หรือไม่มีการใช้อุทธรณ์/ฎีกาที่ชอบด้วยกฎหมาย บทเรียนเปรียบเทียบกับ 2311/2567: – 1063/2521 เป็นตัวอย่างเก่าแก่ที่ใช้หลัก “1 ปี + คำพิพากษาถึงที่สุด” เป็นแนวปฏิบัติ – ใน 2311/2567 หลักการเดียวกันถูกนำมาปรับใช้ในกรณีที่ซับซ้อนขึ้น เช่น เรื่องการขอขยายเวลาฎีกา และการนับวันคำพิพากษาถึงที่สุด – คุณอาจอธิบายว่า 2311/2567 เป็นการประยุกต์แนวหลักใน 1063/2521 ในบริบทที่มีกระบวนการอุทธรณ์และขยายเวลาที่ซับซ้อน • แต่ละตัวอย่างสามารถถูกอ้างถึงในบทวิเคราะห์เพื่อแสดงว่า คำพิพากษา 2311/2567 ไม่ได้วินิจฉัยในสุญญากาศ แต่สอดคล้องกับแนวปฏิบัติของศาลฎีกาในหลากหลายคดี • ในบทความ คุณอาจจัดหัวข้อ “ตัวอย่างคำพิพากษาที่เกี่ยวข้อง” แล้วแทรกสั้น ๆ แต่ละคดี พร้อมข้อสังเกตว่า แตกต่างหรือตรงกับ 2311/2567 ด้านใด • ตัวอย่าง 9090/2549 และ 6463/2543 จะช่วยเสริมในประเด็น “รู้เห็นเป็นใจ” และ “กำหนดเวลา 1 ปี” • ตัวอย่าง 3242/2531 เหมาะนำมาเปรียบในเรื่องเงื่อนไขเบื้องต้นที่ต้องมีคดีริบของกลาง • ตัวอย่าง 1063/2521 ให้กรอบแนวปฏิบัติดั้งเดิมสำหรับหลัก 1 ปี และ “คำพิพากษาถึงที่สุด”
🟩 บทความ: ขอคืนของกลาง ต้องยื่นเมื่อไร ถึงไม่หมดสิทธิ? หลายคนอาจเข้าใจว่า “ขอคืนของกลาง” สามารถทำได้ตลอดเวลา ตราบใดที่เป็นเจ้าของแท้จริงของทรัพย์ แต่ในความเป็นจริงกฎหมายได้กำหนดเงื่อนไขและระยะเวลาไว้อย่างชัดเจน โดยเฉพาะตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 36 ที่ระบุว่า เจ้าของแท้จริงซึ่งไม่ได้รู้เห็นเป็นใจในการกระทำความผิด มีสิทธิ ขอคืนของกลางภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด หากพ้นกำหนดนี้ สิทธิย่อมสิ้นสุดโดยเด็ดขาด ในคดีที่ศาลฎีกาพิจารณา เจ้าของรถบรรทุกของกลางยื่นคำร้องขอคืนภายหลังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ครบหนึ่งปี โดยเข้าใจว่าการนับเวลาเริ่มจากวันที่ศาลอนุญาตให้ขยายเวลาฎีกา แต่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า วันคำพิพากษาถึงที่สุดต้องนับจากวันที่ครบหนึ่งเดือนหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้คู่ความฟัง ไม่ใช่วันครบกำหนดขยายเวลา หากคู่ความไม่ใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกา การยื่นคำร้องหลังหนึ่งปีจึงถือว่าขาดสิทธิ ไม่อาจขอคืนของกลางได้อีก คำพิพากษานี้ชี้ให้เห็นว่า การ “ขอคืนของกลาง” เป็นสิทธิที่ต้องใช้ภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด มิใช่สิทธิถาวร การรู้เท่าทันระยะเวลาเริ่มนับและวันสิ้นสุดสิทธิ จึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่ถูกริบทรัพย์ในคดีอาญา เพื่อไม่ให้เสียสิทธิไปโดยไม่รู้ตัว หลักการนี้ยังสะท้อนแนวคิดเรื่องความมั่นคงของคำพิพากษา ว่าทันทีที่คดีถึงที่สุดแล้ว สิทธิในการขอคืนทรัพย์สินจะต้องอยู่ภายใต้กรอบเวลาที่แน่นอนเท่านั้น
ดังนั้น หากท่านเป็นเจ้าของทรัพย์ที่ถูกริบในคดีอาญา และเชื่อว่าตนมิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความผิด ต้องรีบดำเนินการ ยื่นคำร้องขอคืนของกลางภายในหนึ่งปีนับแต่วันคำพิพากษาถึงที่สุด เพื่อรักษาสิทธิของตนให้สมบูรณ์ |