
หลักเกณฑ์รอการลงโทษตามมาตรา 56, คุมความประพฤติ, (ฎีกา 2515/2567)
ยินดีให้คำปรึกษากฎหมายแชทไลน์ 🟥 บทนำ คำพิพากษาศาลฎีกานี้มีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับ หลักเกณฑ์การรอการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ว่าจะต้องพิจารณาเฉพาะโทษสุทธิก่อนบวกโทษในคดีอื่น ไม่ใช่โทษรวมทั้งหมด ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยที่ 5 แม้เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน แต่หากคดีก่อนมีโทษไม่เกิน 6 เดือน ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขที่สามารถรอการลงโทษได้ อีกทั้งจำเลยได้แสดงความสำนึกผิดและชดใช้ค่าสินไหมแก่ผู้เสียหาย ศาลจึงใช้ดุลพินิจปรานีโดยให้รอการลงโทษและคุมความประพฤติเป็นเวลา 2 ปี 🟩 สรุปข้อเท็จจริงของคดี จำเลยทั้งเก้าถูกฟ้องในข้อหาบุกรุกเคหสถานและร่วมกันทำร้ายผู้อื่น ศาลชั้นต้นพิพากษาว่ามีความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 364, 365 และ 391 ให้จำคุกจำเลยแต่ละคน 1 ปี และปรับ 25,000 บาท โดยลดโทษให้ครึ่งหนึ่งเพราะรับสารภาพ เหลือจำคุก 6 เดือน และปรับ 12,500 บาท สำหรับจำเลยที่ 5 ซึ่งเคยต้องโทษมาก่อน ศาลเพิ่มโทษเป็น 8 เดือน แต่ให้รอการลงโทษไว้ จำเลยที่ 5 อุทธรณ์ขอให้พิจารณาใหม่ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน จำเลยจึงฎีกาต่อศาลฎีกา โดยยกปัญหาว่าการ “รอการลงโทษ” ต้องพิจารณาอย่างไรในกรณีที่มีโทษจำคุกเดิม ⚖️ ประเด็นสำคัญที่สุดของคดีนี้ คดีนี้ศาลฎีกาวินิจฉัยโดยใช้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) เป็นหลักในการพิจารณา ประเด็นสำคัญคือ การตีความคำว่า “โทษจำคุกไม่เกินหกเดือน” เพื่อวินิจฉัยว่าจำเลยมีสิทธิเข้าข่าย “รอการลงโทษ” หรือไม่ โดยศาลอธิบายว่า ต้องพิจารณาเฉพาะ โทษสุทธิในคดีนั้นก่อนบวกโทษจากคดีอื่น มิใช่โทษรวมทั้งหมด และเมื่อจำเลยได้สำนึกผิดและชดใช้ค่าเสียหายแล้ว ศาลจึงให้โอกาสรอการลงโทษเพื่อฟื้นฟูพฤติกรรม 📘 มาตรากฎหมายที่ศาลใช้ในการวินิจฉัย • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) – เกี่ยวกับเงื่อนไขและหลักเกณฑ์การรอการลงโทษ • มาตรา 78 – บรรเทาโทษกรณีจำเลยรับสารภาพ • มาตรา 92 – เพิ่มโทษกรณีกระทำผิดซ้ำ • มาตรา 29–30 – วิธีดำเนินการเมื่อไม่ชำระค่าปรับ 🔑 Key Words ที่เป็นแก่นของคดี (พร้อมขยายความสั้น ๆ) 1. รอการลงโทษ (Suspension of Sentence) ศาลเน้นว่าการรอการลงโทษเป็นมาตรการทางกฎหมายที่มุ่งเน้นให้โอกาสผู้กระทำผิดกลับตัว ไม่ใช่การหลีกเลี่ยงโทษ แต่เป็นการควบคุมพฤติกรรมภายใต้เงื่อนไข 2. โทษจำคุกไม่เกินหกเดือน (Six-Month Imprisonment Limit) เป็นเกณฑ์สำคัญในมาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งศาลตีความว่า ต้องหมายถึงโทษสุทธิคดีนั้น ไม่ใช่โทษรวมหลังบวกคดีอื่น 3. โทษสุทธิก่อนบวกคดีอื่น (Net Sentence Before Aggregation) ประเด็นหลักของคำพิพากษา ศาลยืนยันว่าการพิจารณาเงื่อนไขรอการลงโทษต้องดูเฉพาะคดีปัจจุบัน ไม่รวมโทษรอจากคดีอื่น เพื่อความเป็นธรรมต่อจำเลย 4. การชดใช้ค่าสินไหม (Compensation to Victims) จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้ผู้เสียหายจนพอใจ ศาลจึงเห็นความสำนึกผิดและนำมาเป็นเหตุบรรเทาโทษและให้โอกาสรอการลงโทษ 5. ดุลพินิจของศาล (Judicial Discretion) ศาลใช้ดุลพินิจอย่างมีเหตุผลภายใต้เจตนารมณ์ของกฎหมาย มุ่งเน้นเมตตาธรรมและการฟื้นฟู มากกว่าการลงโทษซ้ำซ้อน ✅ สรุปใจความสำคัญ: คดีนี้เป็นแนวทางสำคัญในการตีความ “มาตรา 56” ว่าการรอการลงโทษต้องพิจารณาเฉพาะโทษสุทธิในคดีนั้น เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่จำเลย และสะท้อนหลักเมตตาในการพิจารณาคดีอาญา ซึ่งเป็นรากฐานของกระบวนการยุติธรรมไทย 🟦 ประเด็นข้อกฎหมายสำคัญ 1. การพิจารณาหลักเกณฑ์การรอการลงโทษตามมาตรา 56 ว่าควรนับโทษจำคุก “ก่อน” หรือ “หลัง” การบวกโทษจากคดีอื่น 2. การใช้ดุลพินิจรอการลงโทษในกรณีที่จำเลยสำนึกผิดและชดใช้ค่าสินไหม 🟨 คำวินิจฉัยของศาลฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การรอการลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ต้องพิจารณาโทษจำคุกในคดีที่กระทำโดยตรง ไม่ใช่ผลรวมหลังจากบวกโทษจากคดีอื่น กล่าวคือ “โทษจำคุกสุทธิก่อนบวกโทษ” เท่านั้นที่เป็นเกณฑ์พิจารณา ในคดีก่อน จำเลยที่ 5 ถูกลงโทษจำคุกเพียง 6 เดือน แม้ศาลจะนำโทษที่รอการลงโทษไว้ในคดีอื่นมาบวกอีก 8 เดือน รวมเป็น 14 เดือน แต่ก็ถือว่าโทษสุทธิของคดีเดิมยังไม่เกิน 6 เดือน จึงยังอยู่ในเงื่อนไขที่ศาลสามารถใช้ดุลพินิจให้รอการลงโทษได้ นอกจากนี้ ศาลเห็นว่าจำเลยได้แสดงความสำนึกผิด ชดใช้ค่าสินไหมแก่ผู้เสียหายจนพอใจ จึงมีเหตุอันควรปรานี เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี 🟧 คำพิพากษา พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 25,000 บาท ลดโทษให้ครึ่งหนึ่ง คงจำคุก 6 เดือน และปรับ 12,500 บาท ให้รอการลงโทษจำคุก 2 ปี และให้คุมความประพฤติเป็นเวลา 2 ปี พร้อมให้รายงานตัวปีละ 3 ครั้ง และทำกิจกรรมสาธารณประโยชน์ 30 ชั่วโมง 🟦 การวิเคราะห์ทางกฎหมาย แนววินิจฉัยนี้ตอกย้ำหลักสำคัญของ มาตรา 56 ประมวลกฎหมายอาญา ที่มุ่งเน้นให้ศาลพิจารณา “ลักษณะความผิดในคดีปัจจุบัน” มากกว่าประวัติการกระทำผิดในอดีต หากคดีเดิมมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ศาลสามารถใช้ดุลพินิจรอการลงโทษได้ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดกลับตัว โดยเฉพาะเมื่อมีพฤติการณ์สำนึกผิดและชดใช้ค่าเสียหาย คำพิพากษานี้เป็นตัวอย่างของการใช้ “ดุลพินิจเพื่อปรานี” อย่างมีเหตุผลและอยู่บนพื้นฐานของการตีความกฎหมายที่เคร่งครัด โดยแยกแยะระหว่าง “โทษสุทธิคดีนั้น” กับ “โทษรวม” 🟩 ตัวอย่างมาตราที่เกี่ยวข้อง • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ผู้กระทำความผิดที่มีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และเคยรับโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน สามารถให้รอการลงโทษได้ หากศาลเห็นสมควร • มาตรา 78 – บรรเทาโทษในกรณีรับสารภาพ • มาตรา 92 – เพิ่มโทษกรณีกระทำผิดซ้ำ • มาตรา 29–30 – การจัดการเมื่อไม่ชำระค่าปรับ 🟨 สรุปข้อคิดทางกฎหมาย • ศาลต้องพิจารณา “โทษสุทธิในคดีนั้น” ก่อนการบวกโทษจากคดีอื่นในการตัดสินว่าจะรอการลงโทษได้หรือไม่ • การสำนึกผิดและการชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เสียหาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ศาลนำมาพิจารณาในการให้โอกาสกลับตัว • แนววินิจฉัยนี้เป็นตัวอย่างของหลักเมตตาธรรมในกระบวนการยุติธรรม ที่เปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดปรับปรุงตน 🟦 IRAC วิเคราะห์ฎีกา 2515/2567 Issue (ประเด็นปัญหา): โทษจำคุกไม่เกินหกเดือนตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) หมายถึงโทษก่อนหรือหลังบวกโทษในคดีอื่น และจำเลยที่ 5 มีสิทธิเข้าข่ายรอการลงโทษหรือไม่ Rule (กฎเกณฑ์กฎหมาย): มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) แห่งประมวลกฎหมายอาญา บัญญัติว่า ผู้กระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกินห้าปี และเคยต้องโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน สามารถให้รอการลงโทษได้ Application (การนำกฎหมายมาปรับใช้): จำเลยที่ 5 เคยได้รับโทษจำคุก 6 เดือนในคดีก่อน และถูกบวกโทษรอการลงโทษคดีละ 4 เดือน ศาลฎีกาเห็นว่า “โทษสุทธิที่ต้องพิจารณา” คือโทษของคดีนั้นก่อนบวกโทษในคดีอื่น ซึ่งไม่เกิน 6 เดือน จึงเข้าหลักเกณฑ์การรอการลงโทษ อีกทั้งจำเลยแสดงความสำนึกผิดและชดใช้ค่าเสียหาย ศาลจึงเห็นควรให้โอกาสกลับตัว Conclusion (ข้อสรุป): ศาลฎีกาแก้คำพิพากษาให้รอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 2 ปี พร้อมคุมความประพฤติ เป็นแนวทางตีความที่ชัดเจนต่อการใช้ มาตรา 56 ในทางปฏิบัติ ✅ สรุปภาพรวม บทความนี้ช่วยอธิบายแนวทางของศาลฎีกาในการตีความ มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) อย่างละเอียด โดยยึดหลักความเป็นธรรมและเปิดโอกาสให้ผู้กระทำผิดได้กลับตัว เป็นคำพิพากษาที่สะท้อนดุลพินิจแห่งเมตตาในระบบกฎหมายอาญาไทย
⚖️ คำถามที่ 1 คำถาม: ในการพิจารณาว่าจำเลยจะมีสิทธิเข้าเกณฑ์รอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) หรือไม่นั้น ศาลต้องพิจารณา “โทษจำคุกสุทธิ” อย่างไร? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า โทษจำคุกไม่เกินหกเดือนตามมาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ต้องหมายถึง “โทษจำคุกสุทธิในคดีนั้นก่อนบวกโทษจากคดีอื่น” มิใช่โทษรวมทั้งหมดจากหลายคดี ดังนั้น แม้จำเลยเคยต้องโทษจำคุกมาก่อน แต่หากโทษในคดีก่อนมีเพียงหกเดือน ก็ยังอยู่ในเงื่อนไขที่สามารถรอการลงโทษได้ การบวกโทษรอการลงโทษจากคดีอื่นภายหลัง ไม่ทำให้จำเลยพ้นสิทธิการรอการลงโทษ ศาลจึงเห็นว่าจำเลยอยู่ในเกณฑ์ที่จะได้รับประโยชน์ตามมาตรา 56
⚖️ คำถามที่ 2 คำถาม: เมื่อจำเลยได้แสดงความสำนึกผิดและชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหายแล้ว ศาลมีอำนาจใช้ดุลพินิจรอการลงโทษจำคุกได้หรือไม่ และต้องพิจารณาจากปัจจัยใดบ้าง? คำตอบ: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า แม้จำเลยกระทำความผิดจริง แต่เมื่อมีพฤติการณ์แสดงความสำนึกผิดและได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่ผู้เสียหายจนเป็นที่พอใจ ถือเป็นเหตุบรรเทาโทษและเป็นปัจจัยที่ศาลสามารถใช้ดุลพินิจปรานีได้ เพื่อให้โอกาสจำเลยกลับตัวเป็นพลเมืองดี ศาลจึงมีอำนาจให้รอการลงโทษจำคุกไว้ 2 ปี พร้อมกำหนดเงื่อนไขคุมความประพฤติและทำกิจกรรมบริการสังคม ถือเป็นการใช้ดุลพินิจอย่างเหมาะสมตามเจตนารมณ์ของมาตรา 56 ที่มุ่งเน้นการฟื้นฟูและแก้ไขผู้กระทำผิดมากกว่าการลงโทษอย่างเด็ดขาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2515/2567 หลักเกณฑ์การรอการลงโทษตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ต้องพิจารณาโทษจำคุกในความผิดที่ได้กระทำในคดีนั้น ๆ ว่าต้องคำพิพากษาให้จำคุกเกิน 6 เดือนหรือไม่ ซึ่งหมายถึงโทษจำคุกสุทธิก่อนบวกโทษที่รอการลงโทษในคดีอื่นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อคดีก่อนศาลลงโทษจำเลยที่ 5 ให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน แม้ศาลคดีก่อนจะนำโทษจำคุกของจำเลยที่ 5 ที่รอการลงโทษไว้ในคดีอื่นมาบวกคดีละ 4 เดือน เป็นจำคุก 14 เดือน ก็ยังถือว่าอยู่ในเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกตาม ป.อ. มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ได้ โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งเก้าตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33, 83, 92, 295, 364, 365, 391 เพิ่มโทษจำเลยที่ 5 หนึ่งในสาม และริบท่อนไม้กับแผ่นไม้ของกลาง จำเลยทั้งเก้าให้การปฏิเสธ แต่ก่อนสืบพยานโจทก์ จำเลยทั้งเก้าขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง และจำเลยที่ 5 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ ระหว่างพิจารณา นางรุ่งทิวา ผู้เสียหายที่ 1 นายฉัตรชัย ผู้เสียหายที่ 2 นายนพดล ผู้เสียหายที่ 3 และนายวราวุฒิ ผู้เสียหายที่ 4 ยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 1 เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหา (ร่วมกัน) บุกรุกเคหสถานโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป อนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 2 และผู้เสียหายที่ 4 เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหา (ร่วมกัน) ทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ อนุญาตให้ผู้เสียหายที่ 3 เข้าร่วมเป็นโจทก์เฉพาะข้อหา (ร่วมกัน) ทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ และโจทก์ร่วมทั้งสี่ยื่นคำร้องขอให้บังคับจำเลยทั้งเก้าชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสี่เพราะเหตุได้รับอันตรายแก่ร่างกายและได้รับความเสียหายแก่ทรัพย์สินเป็นเงิน 600,000 บาท ต่อมาโจทก์ร่วมทั้งสี่ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสี่ ศาลชั้นต้นอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งเก้ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 295, 365 (2) ประกอบมาตรา 362 (ที่ถูก มาตรา 364), 391 ประกอบมาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งเก้าเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานร่วมกันบุกรุกโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป จำคุกคนละ 1 ปี และปรับคนละ 25,000 บาท เว้นจำเลยที่ 5 ไม่วางโทษปรับ เพิ่มโทษจำเลยที่ 5 หนึ่งในสาม (ที่ถูก ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92) เป็นจำคุก 1 ปี 4 เดือน จำเลยทั้งเก้าให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 9 คนละ 6 เดือน และปรับคนละ 12,500 บาท คงจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 8 เดือน ให้รอการลงโทษจำเลยที่ 1 ถึงที่ 4 และที่ 6 ถึงที่ 9 ไว้มีกำหนดคนละ 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบของกลาง จำเลยที่ 5 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน จำเลยที่ 5 ฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 5 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 5 ว่า โทษจำคุกไม่เกินหกเดือนตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) หมายถึง โทษจำคุกสุทธิก่อนบวกโทษหรือโทษสุทธิหลังจากบวกโทษแล้ว โดยจำเลยที่ 5 ฎีกาว่า แม้จำเลยที่ 5 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน แต่คดีที่โจทก์อ้างเป็นเหตุขอให้เพิ่มโทษนั้น ศาลพิพากษาจำคุกจำเลยที่ 5 เพียง 6 เดือน และบวกโทษจำคุกคดีละ 4 เดือน ที่ศาลรอการลงโทษไว้ในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1405/2558 และ 1855/2558 ของศาลชั้นต้น รวมจำคุก 14 เดือน เป็นกรณีที่โทษจำคุกในคดีดังกล่าวมีอัตราโทษไม่เกิน 6 เดือน จึงอยู่ในเกณฑ์ที่จำเลยที่ 5 จะได้รับประโยชน์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นั้น ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 (ที่แก้ไขใหม่) บัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำความผิดซึ่งมีโทษจำคุกหรือปรับ และในคดีนั้นศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกินห้าปีไม่ว่าจะลงโทษปรับด้วยหรือไม่ก็ตามหรือลงโทษปรับ ถ้าปรากฏว่าผู้นั้น... (2) เคยรับโทษจำคุกมาก่อนแต่เป็นโทษสำหรับความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ หรือเป็นโทษจำคุกไม่เกินหกเดือน..."ศาลจะพิพากษาว่าผู้นั้นมีความผิดแต่รอการกำหนดโทษหรือกำหนดโทษแต่รอการลงโทษไว้ไม่ว่าจะเป็นโทษจำคุกหรือปรับอย่างหนึ่งอย่างใดหรือทั้งสองอย่าง เพื่อให้โอกาสกลับตัวภายในระยะเวลาที่ศาลจะได้กำหนดแต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ศาลพิพากษา โดยจะกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของผู้นั้นด้วยหรือไม่ก็ได้..." จากบทบัญญัติดังกล่าวหมายความว่า แม้จำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน แต่ถ้าโทษตามคำพิพากษาในคดีก่อนเป็นการลงโทษจำคุกไม่เกินหกเดือนก็ยังอยู่ในเงื่อนไขที่จะรอการลงโทษจำคุกจำเลยได้ ทั้งนี้การพิจารณาหลักเกณฑ์การรอการลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ต้องพิจารณาโทษจำคุกในความผิดที่ได้กระทำในคดีนั้น ๆ ว่าต้องคำพิพากษาให้จำคุกเกินหกเดือนหรือไม่ ซึ่งหมายถึงโทษจำคุกสุทธิก่อนบวกโทษที่รอการลงโทษในคดีอื่นเท่านั้น ดังนั้น เมื่อคดีก่อนศาลลงโทษจำเลยที่ 5 ให้จำคุกไม่เกิน 6 เดือน จึงอยู่ในเงื่อนไขหลักเกณฑ์ที่จะรอการลงโทษจำคุกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 วรรคหนึ่ง (2) ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยที่ 5 ข้อนี้ฟังขึ้น
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 5 ประการต่อไปว่า มีเหตุที่จะลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษจำคุกให้แก่จำเลยที่ 5 หรือไม่ เห็นว่า แม้ข้อเท็จจริงได้ความตามที่โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 5 กับพวกบุกรุกเข้าไปภายในบริเวณบ้านของโจทก์ร่วมที่ 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตโดยไม่มีเหตุอันสมควรและโดยร่วมกันกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป แล้วใช้กำลังทำร้ายร่างกายโจทก์ร่วมที่ 2 ถึงที่ 4 เป็นเหตุให้โจทก์ร่วมที่ 3 ได้รับอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ส่วนโจทก์ร่วมที่ 2 และที่ 4 ได้รับบาดเจ็บโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ แต่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 5 กับพวกได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมทั้งสี่จนเป็นที่พอใจและไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีแล้ว โจทก์ร่วมจึงได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามคำร้องลงวันที่ 6 กรกฎาคม 2564 อันเป็นการแสดงว่า จำเลยที่ 5 รู้สำนึกในความผิดแห่งตน จึงเห็นสมควรปรานีจำเลยที่ 5 เพื่อให้โอกาสกลับตัวเป็นพลเมืองดีโดยรอการลงโทษจำคุก แต่เพื่อให้จำเลยที่ 5 หลาบจำและเพื่อประโยชน์ในการแก้ไขฟื้นฟู สมควรลงโทษปรับจำเลยที่ 5 อีกสถานหนึ่ง โดยไม่เพิ่มโทษจำคุกและกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติของจำเลยที่ 5 ไว้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษาจำคุกโดยไม่รอการลงโทษให้จำเลยที่ 5 ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ส่วนที่จำเลยที่ 5 ขอให้ลงโทษสถานเบานั้น เห็นว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 ใช้ดุลพินิจวางโทษจำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี ก่อนลดโทษให้นั้น นับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งรูปคดีและเป็นคุณแก่จำเลยที่ 5 มากอยู่แล้ว ไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะเปลี่ยนแปลงแก้ไข ฎีกาของจำเลยที่ 5 ข้อนี้ฟังขึ้นบางส่วน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยที่ 5 มีกำหนด 1 ปี และปรับ 25,000 บาท อีกสถานหนึ่ง ลดโทษจำเลยที่ 5 ให้กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก 6 เดือน และปรับ 12,500 บาท โทษจำคุกของจำเลยที่ 5 ให้รอการลงโทษมีกำหนด 2 ปี และคุมความประพฤติของจำเลยที่ 5 ไว้ 2 ปี นับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษาศาลฎีกาให้จำเลยที่ 5 ฟัง ให้จำเลยที่ 5 ไปรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติปีละ 3 ครั้ง ตามเงื่อนไขและกำหนดระยะเวลาที่พนักงานคุมประพฤติเห็นสมควร และให้จำเลยที่ 5 กระทำกิจกรรมบริการสังคมหรือสาธารณประโยชน์ตามที่พนักงานคุมประพฤติและจำเลยที่ 5 เห็นสมควรมีกำหนด 30 ชั่วโมง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 คำขอให้เพิ่มโทษจำคุกให้ยก นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 |