

มาตรา 91 ความผิดหลายกรรมต่างกัน
ปรึกษากฎหมายทางแชทไลน์ กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน, ความรุนแรงในครอบครัว, ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย, ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันหรือกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท โดยข้อเท็จจริงจากคำให้การของ พล.ต.ต.ภวัต ผู้ตรวจศพ ระบุว่าผู้ตายถูกทำร้ายทางเพศเป็นประจำ พบการฉีกขาดใหม่ที่เยื่อพรหมจรรย์และรูทวารถ่างกว้าง ซึ่งเกิดจากการชำเราซ้ำๆ นอกจากนี้ จำเลยยังทำร้ายผู้ตายด้วยความโมโหและกระทำความรุนแรงในครอบครัว เห็นได้ว่าเจตนาของจำเลยในข้อหาทำร้ายร่างกายและข้อหากระทำชำเรามีความแตกต่างกัน ศาลฎีกาจึงเห็นว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ขัดกับคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษที่เห็นว่าเป็นกรรมเดียว ฎีกาของโจทก์จึงฟังขึ้น คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2567 เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำชำเราผู้ตายในคราวเดียวกันกับที่จำเลยทำร้ายผู้ตาย โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมหลังจากที่มีการตรวจพิสูจน์ศพผู้ตายแล้ว การทำร้ายทางเพศเกิดขึ้นเป็นประจำไม่ใช่คราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งเจตนาของจำเลยที่ใช้มือตีไปที่ศีรษะและบริเวณหลังคือเจตนาทำร้ายผู้ตายที่เป็นเด็กด้วยความโมโห และเจตนากระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งสามารถแยกออกจากเจตนาของจำเลยที่กระทำความผิดข้อหากระทำชำเราได้ การกระทำของจำเลยจึงเห็นได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาประสงค์ต่อผลในการกระทำทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน จึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ****โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 277, 290 พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 4 จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาทำร้ายร่างกายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายอันเป็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว ปฏิเสธข้อหากระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี แต่ระหว่างสืบพยานโจทก์ จำเลยขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นรับสารภาพตามฟ้อง ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 วรรคสาม (ที่ถูก มาตรา 277 วรรคสอง) 290 (ที่ถูก มาตรา 290 วรรคหนึ่ง) พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 4 (ที่ถูก มาตรา 4 วรรคหนึ่ง) การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานกระทำชำเราเด็กหญิงอายุยังไม่เกินสิบสามปี ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 จำคุก 4 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี พิเคราะห์รายงานแสดงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเยาวชนของสถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร (สาขามีนบุรี) แล้ว เห็นว่า แม้จำเลยจะถูกดำเนินคดีเป็นครั้งแรก ความประพฤติไม่ปรากฏข้อเสียหายร้ายแรง และผู้ปกครองยังติดตามห่วงใยก็ตาม แต่พฤติการณ์ของจำเลยที่กระทำความผิดต่อผู้ตายซึ่งมีอายุเพียง 3 ปีเศษ เป็นบุคคลที่ต้องพึ่งพาอาศัยอยู่ในครัวเรือนเดียวกับจำเลย นับว่าจำเลยขาดจิตสำนึกที่ดีและไม่รู้จักยับยั้งอารมณ์ความใคร่ ทั้งเป็นภัยต่อสตรีเพศโดยทั่วไป ประกอบกับคดีนี้เป็นคดีอุกฉกรรจ์มีอัตราโทษสูง แต่หากจำเลยได้รับการฝึกอบรมและขัดเกลานิสัยและความประพฤติสักระยะหนึ่งอาจทำให้ดีขึ้น และจะเป็นประโยชน์แก่จำเลยมากกว่าที่จะลงโทษจำคุก ทั้งนี้ เพื่อสวัสดิภาพและอนาคตของจำเลยเอง อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นการส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร มีกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ขั้นสูง 4 ปี แต่ไม่เกินกว่าจำเลยจะมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์ หากจำเลยถูกควบคุมตัวเพื่อฝึกอบรมแล้ว แต่ยังไม่ครบกำหนดขั้นต่ำ 2 ปี ให้ส่งไปจำคุกในเรือนจำ มีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 142 วรรคสอง โจทก์อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีเยาวชนและครอบครัวพิพากษายืน โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาแผนกคดีเยาวชนและครอบครัววินิจฉัยว่า คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์เพียงประการเดียวว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทหรือเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยข้อเท็จจริงได้ความจากบันทึกคำให้การของพลตำรวจตรีภวัต ผู้บังคับการสถาบันนิติเวชวิทยาโรงพยาบาลตำรวจ ซึ่งพลตำรวจตรีภวัต เป็นผู้จัดทำรายงานการตรวจศพระบุรายละเอียดว่า ผู้ตายถูกทำร้ายทางเพศ เนื่องจากตรวจพบการฉีกขาดใหม่ที่เยื่อพรหมจรรย์ตำแหน่งที่ 2 และที่ 4 นาฬิกา ยาว 2 มิลลิเมตร รูทวารอ้ากว้าง พบติ่งเนื้อในรูทวารหลายแฉก โดยมากมักเกิดจากถูกทำร้ายทางเพศ และระบุว่า รูทวารถ่างกว้างและมีติ่งเนื้อแสดงว่ามีการถ่างขยายอวัยวะดังกล่าวเป็นประจำ อาจเกิดจากการถูกชำเราทางทวารหนักเป็นประจำ ทั้งจากทางนำสืบของโจทก์ ได้ความว่าผู้ตายถูกทำร้ายเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2563 ในชั้นสอบสวนจึงแจ้งข้อหาแก่จำเลยว่าทำร้ายร่างกายผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส และกระทำความรุนแรงในครอบครัว ต่อมาหลังจากผู้ตายถึงแก่ความตายและผลการตรวจพิสูจน์ศพผู้ตายปรากฏว่าพบบาดแผลฉีกขาดใหม่ที่เยื่อพรหมจรรย์ของผู้ตาย จึงแจ้งข้อหาเพิ่มเติมตามฟ้อง ส่วนจำเลยให้การรับสารภาพโดยไม่ได้นำสืบให้เห็นเป็นอย่างอื่น เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาว่าจำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกันและทางนำสืบของโจทก์ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยกระทำชำเราผู้ตายในคราวเดียวกันกับที่จำเลยทำร้ายผู้ตาย โดยพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อหาเพิ่มเติมหลังจากที่มีการตรวจพิสูจน์ศพผู้ตายแล้ว เมื่อพิจารณาจากบันทึกคำให้การของพลตำรวจตรีภวัตแล้ว พลตำรวจตรีภวัตให้ความเห็นว่าการทำร้ายทางเพศเกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ใช่ในคราวใดคราวหนึ่งโดยเฉพาะ ทั้งเจตนาของจำเลยที่ใช้มือตีไปที่ศีรษะและบริเวณหลังคือเจตนาทำร้ายผู้ตายที่เป็นเด็กด้วยความโมโหและเจตนากระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งสามารถแยกออกจากเจตนาของจำเลยที่กระทำความผิดข้อหากระทำชำเราได้ การกระทำของจำเลยจึงเห็นได้ชัดว่า จำเลยมีเจตนาที่ประสงค์ต่อผลในการกระทำทั้งสองข้อหาแตกต่างกัน จึงเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ที่ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่าเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบทนั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสอง, 290 วรรคหนึ่ง พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ถูกกระทำด้วยความรุนแรงในครอบครัว พ.ศ. 2550 มาตรา 4 วรรคหนึ่ง การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันใหลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ขณะกระทำความผิดจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดมาตราส่วนโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 75 ฐานกระทำชำเราแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี จำคุก 4 ปี ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตายและกระทำความรุนแรงในครอบครัว เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุก 7 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กระทงละกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ฐานกระทำชำเราแก่เด็กอายุยังไม่เกิน 13 ปี จำคุก 2 ปี ฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย จำคุก 3 ปี 6 เดือน รวมจำคุก 5 ปี 6 เดือน อาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2553 มาตรา 142 (1) ให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปควบคุมเพื่อฝึกอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชนกรุงเทพมหานคร มีกำหนดขั้นต่ำ 3 ปี ขั้นสูง 5 ปี หากจำเลยมีอายุครบ 24 ปีบริบูรณ์แล้ว ยังควบคุมเพื่อฝึกอบรมยังไม่ครบกำหนดขั้นต่ำให้ส่งตัวจำเลยไปจำคุกในเรือนจำมีกำหนด 2 ปี ตามมาตรา 142 วรรคท้าย นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ • คำพิพากษาศาลฎีกา 234/2567 • กระทำผิดหลายกรรมต่างกัน • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 • กระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี • ความรุนแรงในครอบครัว กฎหมาย • ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 • ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย • ศาลเยาวชนและครอบครัว พ.ร.บ. 2553 มาตรา 142 คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2567 (ย่อ) โจทก์ฟ้องว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน โดยจากผลการตรวจศพพบว่าผู้ตายถูกทำร้ายทางเพศและถูกทำร้ายร่างกาย โดยพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาเพิ่มเติมหลังการตรวจศพ พบว่าการกระทำทางเพศเกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ใช่ในครั้งเดียวกันกับการทำร้ายร่างกาย ซึ่งเจตนาในการทำร้ายและการกระทำทางเพศแยกกันชัดเจน ถือเป็นการกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามกฎหมายบทที่มีโทษหนักที่สุด โดยจำเลยอายุ 17 ปีเศษ ลดโทษกึ่งหนึ่ง และเปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวไปฝึกอบรมในสถานพินิจ โจทก์อุทธรณ์และฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า การกระทำของจำเลยเป็นการกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน โดยข้อเท็จจริงจากผลตรวจศพยืนยันว่า การทำร้ายร่างกายและการทำร้ายทางเพศเป็นเจตนาที่แตกต่างกัน ศาลฎีกาจึงแก้คำพิพากษาให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด •ฐานกระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี จำคุก 4 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 2 ปี •ฐานทำร้ายผู้อื่นจนถึงแก่ความตาย จำคุก 7 ปี ลดโทษกึ่งหนึ่ง เหลือจำคุก 3 ปี 6 เดือน รวมจำคุกทั้งสิ้น 5 ปี 6 เดือน แต่เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นส่งตัวจำเลยไปฝึกอบรมในสถานพินิจขั้นต่ำ 3 ปี สูงสุด 5 ปี หากถึงอายุ 24 ปีแล้วยังไม่ครบกำหนด ให้จำคุกในเรือนจำ 2 ปี นอกจากที่แก้ ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษ หลักกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, มาตรา 277 วรรคสาม, มาตรา 290 วรรคหนึ่ง 1. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 การลงโทษในกรณีที่กระทำผิดหลายกรรม มาตรา 91 วางหลักเกี่ยวกับการลงโทษในกรณีที่จำเลยกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยมีแนวทางดังนี้: •หากเป็นการกระทำผิดหลายกรรม ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด (แนวทางที่ศาลฎีกาใช้ในคำพิพากษานี้) •ศาลต้องกำหนดโทษในแต่ละกรรมแยกกัน และนำโทษเหล่านั้นมารวมกันตามหลักเกณฑ์ เช่น โทษจำคุกไม่เกิน 50 ปี •หลักนี้ช่วยให้การลงโทษเป็นธรรมและเหมาะสมกับลักษณะของการกระทำผิดที่เกิดขึ้น ในกรณีคำพิพากษานี้ ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่าจำเลยมีเจตนาแตกต่างกันในการกระทำผิดแต่ละกรรม การกระทำจึงถือว่าเป็น "หลายกรรมต่างกัน" และต้องลงโทษแยกตามกระทงความผิด 2. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 วรรคสาม ความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี มาตรา 277 กำหนดโทษสำหรับการกระทำชำเราเด็ก โดยวรรคสาม (ปรับเป็นวรรคสองในคำพิพากษานี้) ระบุว่า: •การกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี แม้เด็กจะยินยอม ก็ถือว่าเป็นความผิด •โทษจำคุกตั้งแต่ 7 ปี ถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับตั้งแต่ 140,000 บาท ถึง 400,000 บาท วัตถุประสงค์ของกฎหมายมาตรานี้ •เพื่อปกป้องเด็กจากการถูกล่วงละเมิดทางเพศ •เด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ถือว่ายังไม่มีวุฒิภาวะเพียงพอในการยินยอมต่อการกระทำดังกล่าว การกระทำต่อเด็กจึงเป็นความผิดโดยไม่ต้องพิจารณาเจตนาในการยินยอมของเด็ก ในกรณีคำพิพากษานี้ จำเลยถูกพิพากษาในข้อหานี้ เพราะพบหลักฐานชัดเจนจากการตรวจศพว่าผู้ตายถูกทำร้ายทางเพศ 3. ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ระบุว่า: •ผู้ใดทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี วัตถุประสงค์ของกฎหมายมาตรานี้ •เพื่อปกป้องชีวิตและร่างกายของบุคคล •การทำร้ายร่างกายที่นำไปสู่การเสียชีวิต ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตของผู้อื่น แม้ผู้กระทำอาจไม่ได้ตั้งใจให้ผู้ตายเสียชีวิต ในกรณีนี้ จำเลยมีเจตนาใช้กำลังทำร้ายผู้ตายซึ่งเป็นเด็กอายุ 3 ปี โดยเจตนาเกิดจากความโกรธและการกระทำความรุนแรงในครอบครัว แม้เจตนาแรกอาจไม่ถึงขั้นต้องการให้ผู้ตายเสียชีวิต แต่ผลของการกระทำทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตาย จึงเป็นความผิดตามมาตรานี้ บทสรุปเชื่อมโยงหลักกฎหมายกับกรณีในคำพิพากษา •มาตรา 91 ใช้สำหรับการพิจารณาความผิดหลายกรรมในคดีนี้ โดยศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน จึงต้องลงโทษแยกตามกระทงความผิด •มาตรา 277 วรรคสาม ใช้สำหรับความผิดฐานกระทำชำเราเด็กอายุต่ำกว่า 13 ปี ซึ่งพบหลักฐานการกระทำผิดทางเพศที่ชัดเจน •มาตรา 290 วรรคหนึ่ง ใช้สำหรับความผิดฐานทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นผลจากการกระทำที่เกิดจากความรุนแรงในครอบครัว การอธิบายหลักกฎหมายเหล่านี้ช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจเจตนาและการตีความของศาลในคดีนี้ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ****ความผิดหลายกรรมต่างกันคืออะไร ความหมายของความผิดหลายกรรมต่างกัน ความผิดหลายกรรมต่างกัน หมายถึง การกระทำที่ผู้กระทำได้กระทำความผิดหลายครั้ง โดยแต่ละการกระทำมีเจตนาอิสระต่อกัน และก่อให้เกิดความผิดต่างกรรมต่างวาระ ไม่ถือว่าเป็น "กรรมเดียว" หรือความผิดที่เกิดจากการกระทำเพียงครั้งเดียวแต่ฝ่าฝืนกฎหมายหลายบท ในกรณีที่เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน กฎหมายกำหนดให้ลงโทษทุกกรรมแยกเป็นกระทงความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 *หลักเกณฑ์ที่ใช้พิจารณาความผิดหลายกรรมต่างกัน 1.ความอิสระของการกระทำ การกระทำแต่ละครั้งมีเจตนาแยกต่างหาก ไม่ได้เกิดขึ้นในคราวเดียวกัน 2.ผลของการกระทำ แต่ละการกระทำก่อให้เกิดผลกระทบที่แตกต่างกันในทางกฎหมาย 3.เจตนาในการกระทำ ผู้กระทำมีเจตนาประสงค์ต่อผลที่เกิดจากการกระทำแต่ละกรรมแตกต่างกัน ตัวอย่างคำพิพากษาศาลฎีกาที่เกี่ยวข้อง 1. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 234/2567 กรณีจำเลยกระทำความผิดทั้งการกระทำชำเราเด็กและการทำร้ายร่างกายผู้ตาย เจตนาในการกระทำทั้งสองแตกต่างกัน กล่าวคือ การกระทำชำเราเกิดจากความต้องการทางเพศ ส่วนการทำร้ายเกิดจากความโมโห เป็นเหตุให้ถือว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ศาลจึงลงโทษแยกกระทงตามมาตรา 91 2. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 533/2553 จำเลยขับรถชนคนเดินถนนและชนรถอีกคัน ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ การกระทำของจำเลยแม้จะเกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ถือว่ามีการกระทำสองครั้งที่แยกจากกัน จึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน 3. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1835/2557 จำเลยกระทำชำเราเด็กหญิงสองคนในเวลาต่างกัน การกระทำแต่ละครั้งเกิดเจตนาแยกต่างหาก และกระทบสิทธิของผู้เสียหายแต่ละราย จึงถือว่าเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน 4. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3758/2561 จำเลยลักทรัพย์จากบ้านสองหลังในคืนเดียวกัน แต่ลักทรัพย์ในแต่ละหลังเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นแยกจากกันโดยสมบูรณ์ แม้จะเป็นช่วงเวลาใกล้เคียงกัน จึงถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน 5. คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2499/2564 จำเลยทำร้ายร่างกายบุคคลสองคนในเหตุการณ์เดียวกัน แต่กระทำต่อคนละบุคคลและมีเจตนาประสงค์ต่อผลแยกต่างหาก ทำให้การกระทำถือเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน สรุป ความผิดหลายกรรมต่างกัน เป็นแนวคิดที่แยกเจตนาและผลของการกระทำออกจากกันในกรณีที่มีการกระทำหลายครั้ง ผู้กระทำต้องรับโทษทุกกรรมแยกจากกันตามหลัก ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 การศึกษาคำพิพากษาศาลฎีกาเปรียบเทียบช่วยให้เห็นความแตกต่างระหว่าง "หลายกรรมต่างกัน" และ "กรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท" อย่างชัดเจน โดยพิจารณาจากเจตนา ความต่อเนื่อง และผลของการกระทำ |
![]() |